News:

ยินดีต้อนรับ สู่ Pall Swiss เว็บบอร์ดตัวใหม่



ได้เวลาตัดสินใจแล้วค่ะ

Previous topic - Next topic

เกี๊ยว

จากที่หนูได้ไปตั้งกระทู้ปรึกษาเรื่องที่ตอนนี้หนูมีทางเลือกที่หนูยังตัดสินใจไม่ได้คือ แม่หนูเปิดร้านอาหารอยู่ที่สวิส แล้ว ถ้าหนูจะไปอยู่กะแม่เพื่อทำงานส่งตัวเองเรียนไปด้วย ต้องจ้างแต่งงานเพื่อให้ได้สัญญาชาติก่อนจึงจะเข้าไปอยู่ได้ เพราะอายุหนูเกิน 18 ไม่สามารถโอนสัญชาติตามแม่ได้ 
 
ในกระทู้นี้นะคะ 
ตัดสินใจไม่ได้ค่ะ ขอคำปรึกษาหน่อยนะคะ
 
ก็ได้รับคำแนะนำดี ๆ หรือบางคนอาจจะนึกตำหนิหนูกะแม่ว่าทำไมคิดมักง่ายเอาเรื่องแต่งงานมาใช้เพื่อเปลี่ยนสัญชาติ ทำไมไม่หาทางอื่น 
คือตอนนี้ตำแหน่งที่ร้านว่าง แม่หนูอยากให้หนูขึ้นไปเพราะแทนที่จะจ้างคนอื่นมาทำงาน ถ้าหนูไปทำงานแทน หนูจะได้เรียนไปด้วย ทำงานไปด้วย ครอบครัวจะได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา เพราะตอนนี้หนูอยู่เมืองไทยคนเดียวค่ะ น้อง ๆ ขึ้นไปกันหมดแล้ว และในอนาคตข้างหน้าซึ่งไม่แน่นอน ไม่รู้ว่าโอกาสจะเปิดอีกเมื่อไหร่ บางที หนูอาจจะไม่มีโอกาสไปทำงาน หรือไปอยู่กับครอบครัวอีกเลยก็ได้ นอกจากไปเที่ยวเป็นครั้ง ๆ เพราะการจะเข้าประเทศสวิสนั้นยากมาก นอกจากจะแต่งงานกับคนสวิส ซึ่งเป็นวิธีที่ง่ายสุด แต่หนูและแม่ไม่เห็นด้วยกับความคิดที่จะแต่งงานอยู่กินกับคนสวิสจริง ๆ เพียงเพื่อเอาสัญชาติ โดยไม่มีความรัก เลยต้องใช้วิธีจ้างเค้ามาแต่ง จดทะเบียนกันแค่นั้น ซึ่งตามกฎหมายสวิส ผู้ชายมักเป็นฝ่ายเสียเปรียบมากกว่าหากมีการหย่า แม่มองว่าแค่การจดทะเบียน ไม่ได้แต่งกันจริง ๆ มันเป็นสิทธิส่วนบุคลที่แต่ละคนมีความเห็นกันไปแตกต่างกัน แต่ก็ไม่ได้ทำความเดือดร้อนหรือ ทำให้เกิดความเสื่อมเสียให้กับใคร 
 
ซึ่งหนูก็พยายามหาทางอื่นนั้นนอกจากการต้องจ้างแต่งอย่างที่สุดแล้วค่ะ แล้วก็หาไม่ได้ 
จากที่แนะนำมาว่าโรงเรียนเบเนดิกซ์ สามารถขอวีซ่าได้ ก็พบว่าเค้าคิดค่าใช้จ่ายแพงกว่าปกติมาก ซึ่งเงินเดือนหนูที่จะไปทำงานที่ร้านแม่ได้ประมาณเดือนละ 3000 ฟรังก์ ไม่สามารถจ่ายได้น่ะค่ะ 
 
อีกคำแนะนำนึงคือ ไปเรียนทำอาหาร ซึ่งพบว่าถ้าจะติดต่อขอกุ๊กเข้าไปทำงานในสวิสจะต้องมีประสบการณ์อย่างน้อย 7 ปี รวมเวลาเรียนด้วย ซึ่งตรงนี้หนูก็ไม่สามารถอีก 
 
ขอโทษนะคะที่ระบายยาว เพราะหนูรู้สึกไม่สบายใจกับทางเลือกที่มีอยู่เลย ไม่ว่าจะเลือกทางไหน 
 
ตอนนี้หนูตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ไปค่ะ จะเรียนที่นี่ให้จบ ถ้าโอกาสไม่เปิดให้ไปสวิส ก็จะทำงานที่เมืองไทย ได้เงินเดือนละหมื่นนี่แหละค่ะ 
 
ก็ขอบคุณพี่ ๆ ทุกคนที่สละเวลามาอ่าน และให้คำปรึกษาอย่างดีนะคะ 
 
** ยังมีข้อสงสัยนิดนึงค่ะ คือสวิสนี่เค้าเปิดโอกาสให้คนที่แต่งงานแล้วสามารถเข้าเรียนได้เหรอคะ หนูแปลกใจเพราะมันไม่เหมือนเมืองไทยตรงที่ต้องโสดถึงจะเข้าเรียนในระบบได้ 
 
** หนูรบกวนพี่ ๆ ในเรื่อง ในการเข้าเรียนที่สวิส หรือเรื่องของการทำงาน เข้ามาพูดคุย เล่าประสบการณ์น่ะค่ะ ถึงหนูจะไม่ได้ไปในตอนนี้ ก็อยากจะรู้ไว้ เพราะเผื่อในอนาคตข้างหน้า จะมีโอกาสได้ไปเรียน หรือได้ไปทำงานที่นั่นบ้าง 
 
ขอบคุณค่ะ

**กระทู้นี้เป็นกระทู้เดิมหมายเลข 0019 ห้อง openroom (เผื่อใช้ในการค้นหา)**

คารุสุ

หวัดดีค่ะน้องเกี๊ยว แต่งงานแล้วที่นี่สามารถเรียนต่อได้ค่ะแต่ว่ารายละเอียดยังไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร เอาไว้รอผู้รู้มาตอบนะค่ะ ว่าแต่ว่าร้า่นอาหารยังรับพนักงานอีกหรือเปล่าค่ะอยากทำงานค่ะ ติดต่อมาได้นะค่ะที่ sujirsmile@yahoo.com

Nannylein

ขอคุยเล่นด้วยหน่อยนะจ้า
 -ตอนนี้น้องเรียนไรอยู่อะ (ที่บอกว่ามะชอบนะ)
 -แล้วจริงๆ น้องอยากเรียน หรืออยากทำงานอะไรละ
 (เอาแบบคร่าวๆก็ได้นะ ถ้ายังเจาะจงมะได้)
 
 ดีแล้วที่น้องได้ใช้เวลาทบทวน ดูข้อดีข้อเสีย
 (ทำลิสออกมาเลยก็ดีนะ)  มะต้องรีบร้อน (แบบมาตายดาบหน้า)
 เพราะน้องก็มะได้เดือดร้อน มะมีภาระทางครอบครัวให้ต้องดูแล
 ตอนนี้ก็มีเวลานึกถึงอนาคตและหาทางที่จะพัฒนาศักยภาพของตัวเองได้อย่างเต็มที่ (ถ้ารู้ว่าชอบอะไรนะ)
 
 ส่วนเรื่องอนาคตก็คงไม่มีใครรู้ โอกาสที่จะได้มาก็มีตลอด เพราะร้านอาหารเป็นของแม่น้อง จริงๆก็น่าจะมาทำเมื่อไรก็ได้ เพราะตำแหน่งว่างก็น่าจะมีตลอด หรือว่าถ้าอยากจะมาเรียน ก็รอเอาไว้ตอนต่อโทก็ได้ (เช่น ช่วงปิดเทอมก็อาจจะมาทำงาน เก็บเงินไว้เรียนต่อเอง)
 
  ที่สวิสแต่งงาน มีลูกแล้ว ก็ยังเรียนได้จ้า หมายถึงมหาลัยนะ  
 อย่างม.รามกะสุโขทัย ก็ได้ไม่ใช่เหรอ มะแน่ใจ
 
 ส่วนที่ว่าจ้างแต่งงานมะได้ทำความเดือดร้อนให้ใคร  
 แต่ก็มะได้แต่งคนเดียวมะใช่เหรอ คนนึงที่เดือดร้อน ก็ผู้ชายละ
 แล้วก็ตัวเอง อย่างมาก อาจจะมีแม่เข้ามาเกี่ยวอีกคน (ถ้าแม่เป็นคนจ่าย) จารย์เคยพูดว่า แต่งแบบหลอกๆกะลังจะผิดกฏหมายนะ ก็มะเชิงหรอก ประมาณว่าจะเป็นโมฆะ แต่จะจับหรือตรวจสอบได้หรือป่าว มันก็อีกเรื่องนึง
 
 อย่าลืมตอบ 2 คำถามข้างบนน้า เผื่อมีอะไรพอจะแนะนำได้นะ  

เทียนหอม

สิ่งที่เคยเขียนไปไม่ได้มีความตั้งใจจะตำหนิหรือกล่าวหาว่ามักง่าย แต่อาจเป็นสิ่งที่อ่านแล้วไม่ชอบใจหรือไม่อยากได้ยิน ก็คงต้องขออภัย
 
 ขอยกข้อความของคุณมาอ้างอิง
 การจดทะเบียน ไม่ได้แต่งกันจริง ๆ ไม่ได้ทำความเดือดร้อน หรือ ทำให้เกิดความเสื่อมเสียให้กับใคร
 ผู้ชายและแม่ ต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์ ผู้ชายก็ได้เงิน ส่วนแม่ก็เป็นความต้องการของเค้าอยู่แล้วที่จะให้หนูไป  
 
 คำถามต่อมาคือ ถ้าไม่มีใครเดือดร้อน มีแต่คนได้ประโยชน์ แล้วทำไมต้องมีกฎหมายมาห้าม???

เทียนหอม

ลองมองใ้ห้กว้างขึ้น  
 
 แน่นอนคนที่เกี่ยวข้องโดยตรงมีสามคน คือ แม่ คนสวิสที่รับจ้างแต่ง และตัวหนูเอง
 
 ลองมองเพิ่มอีกคน คือ คนสวิสอีกคน
 
 สมมติว่ามีสวิสมีอาณาเขตเป็นเพียงบ้านเล็กๆหลังเดียว อยู่กันขนาดสามคนกำลังดี
 
 การรับเอาหนูเข้ามาอยู่ร่วมด้วย สามคนแรกมีความสุขมากมาย
 
 แล้วคนสวิสอีกคนหล่ะ เขาจะอึดอัด เพราะความแออัดไหม
 
 เงินกองกลางที่มีไว้ใช้ซ่อมแซมบ้าน ค่่ารักษาพยาบาล ค่่ากำจัดขยะหล่ะ ฯลฯ ต้องคิดจัดสรรกันใหม่ รายจ่ายอาจมากขึ้นกว่ารายได้ที่เข้ามาในบ้าน
 
 งบซ่อมแซมบ้านปีหน้าอาจต้องงดไว้ก่อน แต่ละคนต้องทำงาานหนักมากขึ้น เพื่อให้ได้คุณภาพชีวิตที่เท่าเดิม
 
 เขียนมาแค่อยากจะใ้ห้แง่คิด และด้วยความปรารถนาดีค่ะ เพราะไม่ได้เป็นใครในสี่คนนั้นเลย

เกี๊ยว

หนูต้องขอบคุณพี่เทียนหอมตังหากค่ะ คือที่ตั้งกระทู้นี่เพราะต้องการความเห็นตรงไปตรงมา ไม่ได้อยากได้คำชมรึคำตอบที่ไม่จริงใจ แล้วก็ไม่ได้รู้สึกไม่ชอบใจนะคะ ในเวบบอร์ดทุกคนมีสิทธิ์จะแสดงความเห็นยังไงก็ได้ แค่อย่าหยาบคาย ที่พิมพ์ไปคือหนูคิดว่าคงมีคนนึกตำหนิแม่รึหนูอยู่บ้างล่ะ แต่ก็ไม่ได้โกรธอะไรเลยค่ะ  
 ...พี่เทียนหอมก็ถือว่าเป็นคนนึงในสี่คนนั้นก็ได้รึปล่าว เพราะอยู่สวิส (รึปล่าว)...  
 
 มองให้กว้างยิ่งขึ้นไปอีก ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในโลกก็สามารถส่งผลกระกบให้คนอื่น ๆ ได้เหมือนกัน หนูอาจทำความเดือดร้อนให้คนไทยถ้าไปเพราะหนูเรียนมหาลัยรัฐบาลแล้วไม่อยู่พัฒนาประเทศไทยให้คุ้มเงินภาษี ^^ งั้นคำว่าไม่ได้เดือดร้อนใครก็ใช้ไม่ได้แล้วล่ะ  
 
 หนูว่าบางทีถูกกะผิดจะตัดสินยังไงอาจจะอยู่ที่ว่าเอาอะไรมาเป็นเส้นแบ่งด้วย
 อย่างหนูนี่แม่เห็นว่าอยู่เมืองไทยคนเดียว ไม่มีใครดูแล สุขภาพไม่ดี เคยแพ้ยาอย่างรุนแรง แล้วช็อค พอดีเพื่อนกลับมาที่ห้องพอดีเลยไปโรงพยาบาลทัน แล้วก็ดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายได้ไม่เต็มที่ในบางครั้ง เพราะก็มีค่าใช้จ่ายที่เร่งด่วนเข้ามาที่ร้าน ถ้าหนูไป  เกิดเงินช๊อตไม่มีเงินให้หนูก็ยังกินข้าวที่ร้านได้ แม่เค้าดูตรงนี้เลยอยากให้หนูไปอยู่ด้วย รึจะมองว่าเห็นแก่ตัวก็ได้นะ ^^
 
 แต่หนูว่าหนูดูแลตัวเองได้ขอแค่ทำประกันสุขภาพ (ที่ไม่ใช่ 30 บาทรักษาทุกโรค) แล้วก็ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยอะค่ะตอนนี้ เก็บเงินไว้เผื่อมีค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน
 
 โทดทีค่ะ ยาวอีกละ หุหุ แบบว่าอยู่คนเดียวอะตอนนี้ เหงา ๆ ^^
 
 
 

เทียนหอม

I don't live in Switzerland.
 
 My point is NOT that you shouldn't go and live your life in Swiss with your mother. My point is that you should not use  illegal methods or wrong ways to acheive your goal.
 
 To achieve your goal, there are so many other ways. I encourage you to choose those ways.  
 

เทียนหอม

To be honest, I will be very happy for you if you can go and stay with your mother so that you don't have to live alone.
 But I'm afraid I disagree if you use an inappropriate way.
 
 Society will be much better if people respect its rules.
 You may not see how much you alone can affect Swiss as a whole.  Imagine everyone does the same as you'll do.
 What will happen? Is this the reason for such the law?
 

เทียนหอม

ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในโลกก็สามารถส่งผลกระกบให้คนอื่น ๆ ได้เหมือนกัน หนูอาจทำความเดือดร้อนให้คนไทย
 
 That is fine. No one is perfect. We give and take.  
 
 The reason that we have a government is to facilitate people in sharing their resource.  
 
 The Thai government is responsible for Thais including you. The Swiss government is responsible for the Swiss people.  
 
 The government is each country designs a system to make the best society  as it could.  The tools the government uses are budget, tax, laws etc. The system will go smoothly and the society will be the best if people FOLLOW the rules.
 
 The Thai government also designs the system, taking into account that there are 65 million people including you in the society. Therefore, you need not worry if you will make the society เดือดร้อน.
 
 The Swiss government has its own system taking into account its own people and you are not in this group of people. So the system may not work as best as it should be if there are more than people than the system is designed for.    
 

เทียนหอม

However, the system can be adjusted for more people. But again you need to FOLLOW the rules.  
 
 By the wayt, this is my personal opinion. I aware that this issue is very subjective.  
 
 Arguments always bring wisdom. And I'm thankful for that as I myself also learn something out of this. I hope you do too.


เกี๊ยว

หนูอ่านเยอรมันไม่ออกอะ  
 
 
 ที่พิมพ์ยาว ๆ ไปคืออยากจะบอกว่าหนูเข้าใจแม่ ถ้าไม่มีทางอื่นจริง ๆ แม่คงไม่เสนอทางเลือกที่"ผิดกฎหมาย"มา  
 
 ส่วนตัวหนูเองหนูตัดสินใจว่าในตอนนี้ถ้ามันไม่มีทางอื่นก็ไม่ไป เพราะหนูคิดว่าหนูอยู่ที่นี่ได้
 นอกจากจะจำเป็นที่จะต้องไปจริง ๆ ไม่ไปไม่ได้  
 
 "ทางเลือกทางอื่น"  ตอนคุยกับแม่แม่บอกว่าไม่มี วันนี้หนูเพิ่งรู้ว่ายังมีอยู่ ^^ ดีใจจัง ลุ้น ๆ ไม่รุจะทำได้รึปล่าว  
 
 (ที่พิมพ์ ๆ ไปยาว ๆ หนูเกรงว่าจะมองดูเหมือนเถียงพี่เทียนหอมง่ะ ยังไงก็ไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นอย่างนั้นนะคะ)  
 
 ว่าแต่พี่เทียนหอมอยู่ประเทศอะไรอะคะ ^^
 
 ขอบคุณพี่เทียนหอมมากค่ะ

คนไทยในสวิสฯคนหนึ่งที่หวังดี

น้องเกี๊ยวจ๊ะ
 ยังไงพี่อีกคนหนึ่งที่ให้กำลังใจ และเข้าใจสิ่งที่น้องเล่ามาเสมอ
 ยังไงแล้วพี่ก็ไม่อยากให้หนูอยู่ที่เมืองไทยคนเดียว
 หนูมีความคิดที่ดี ที่จะเรียนให้จบปริญญาที่เมืองไทย
 ซึ่งเป็นมาตรฐานของการศึกษาสมัยนี้ที่เด็ก ๆ ควรตั้งใจทำกันให้ได้ เพราะนั้นมันเป็นมาตรฐานของสังคมที่เมืองไทยกันไปแล้ว
 แต่คุณน้องเกี๊ยวมี"โอกาส"ดีมากกว่าคนรุ่นเดียวกัน เพราะว่ามีแม่อยู่ประเทศสวิสฯแล้ว ซึ่งเป็นประเทศที่หลาย ๆ คนอยากมา แม้กระทั่งยอมแต่งงานกับคนแก่ราวพ่อ หรือ ปู่
 พี่ไม่ได้ตำหนิว่าคนพวกนั้น เพราะนั้นก็เป็นทางเลือกของแต่ละคน ซึ่งไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน ชีวิตใครชีวิตมัน อยู่ที่ตัวเขา ถ้าเขาทำแล้วมีความสุข
 
 เช่นเดียวกัน ถามอย่างจริงใจ พี่อยากให้น้องเกี๊ยวมาอยู่กับคุณแม่ที่สวิสฯให้ได้ ด้วยเหตุผลทั้งหมดที่คุณน้องเกี๋ยวเล่าให้ฟังก็น่าจะควรมาอยู่แล้ว
 และเหตุผลอีกอย่างหนึ่งของพี่คือ การจบปริญญาตรี หรือ โท ถ้าเป้าหมายชีวิตอยู่ในเมืองไทย ก็คืออยู่ในระดับสังคมและมาตรฐานที่ดี ใช้ได้  
 แต่เป้าหมายชีวิตของคุณน้องเกี๋ยวคือต้องการอยู่เป็นครอบครัวกับคุณแม่จะได้ไม่ต้องอยู่คนเดียวตลอดชีวิตที่เมืองไทย
 ทำไมไม่ทำตั้งแต่ตอนนี้เลยล่ะค่ะ ไม่เห็นจำเป็นต้องรอให้จบปริญญาตรีก่อนเลย
 เพราะปริญญาตรี หรือโท ที่เมืองไทย มาอยู่ต่างประเทศ ก็ทำงานเด็กเสริฟ และทำงานเด็กล้างส้วม หรือ รับจ้างเลี้ยงเด็ก เหมือนคนจบปอสี่  
 มันไม่ได้มีความหมายอะไรเลยค่ะ ปริญญาฯเมืองไทยในสวิส
 ลำพังคนจบปริญญาในสวิสแต่ละจังหวัดของเขาเอง เขายังไม่ค่อยยอมรับปริญญาฯของต่างจังหวัดกันเลยนะค่ะ จบซูริค มาทำ เจนีวา ก็ยังไม่ได้เลย ถ้าได้ก็ต้องสอบเทียบใหม่อะไรแบบนี้(เห็นสามีบอก) หรือต้องใช้ประสพการณ์ทำงานมากกว่าว่าต้องเก่งจริง ๆ
 เพราะฉะนั้น ทำอย่างไรก็ได้ค่ะ เพื่อให้มาอยู่ได้กับคุณแม่ให้เร็วที่สุด ไม่จำเป็นต้องเรียนแล้วค่ะ ที่เมืองไทย (แล้วแต่คุณน้องจะตัดสินใจด้วยนะค่ะ) เพราะพี่ไม่อยากจะให้คุณน้องเสียเวลาเปล่า
 เพราะถ้าพี่อายุเท่าคุณน้องพี่ พี่คงมาหาที่เรียนพวกการโรงแรมที่สวิสดีกว่า เรียนไปทำงานกับคุณแม่ไป ได้ประสพการณ์มากขึ้นด้วย และพอจบปริญญานี้ก็สามารถทำงานได้หลายอย่าง(จากที่เคยอ่านรายละเอียดของเขา)  
 พี่ก็อยากจะเรียนมากค่ะ แต่ว่าอายุเกินแล้ว ก็คงได้แต่ทำความสะอาดทั้งที่มีปริญญาฯ  
 คุณน้องเกี๋ยวถ้าหาใครที่รับจ้างแต่งงานได้ ก็ทำเถอะค่ะ ถ้าเรามีกำลังเงินทำ ขอตกลงรับได้พอใจด้วยกันทั้งผู้จ้างและผู้รับจ้าง  
 เราไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน ซึ่งมันผิดกฏหมายก็จริงอยู่ แต่เราก็ต้องรู้หลักระวังตัวว่าควรทำอย่างไรในเรื่องนี้
 สาวไทยที่นี่หลายคนที่มาตั้งแต่ยังสาว พออยู่นานได้พาส แล้วสามีตาย หรือ เลิกกับสามี ก็รับจ้างแต่งงานกับหนุ่ม ปากีสถาน อินเดีย หรือ หนุ่มไทยเองก็มี เพื่อหนุ่มคนนั้นจะได้เข้ามาทำงานในประเทศสวิสฯ
 ซึ่งค่ารับจ้างแต่งงานได้ยินจากผู้ที่เขารับจ้างเอง เล่าให้ฟังว่า อยู่ประมาณ ที่ 20,000 -30,000 frs.  
 จะจ่ายกันอย่างไรขึ้นอยู่กับข้อตกลงทั้งสองฝ่าย งวดเดียวหรือเป็นเดือน ๆ ไป  
 เพราะถ้าเราบอกผู้ที่รับจ้างเราว่า เราจะมาทำงาน เงินเดือนเราได้แค่ขั้นต่ำ 3,000 frs per month ขอความกรุณาจ่ายเป็นรายเดือนได้หรือไม่ ผ่อนเดือนละ 1,000 frs.นั้นก็หมายถึง สามสิบเดือน  
 
 ซึ่งสิทธพิเศษของผู้ที่ได้แต่งงานกับคนสวิสฯพี่ก็คงไม่ต้องอธิบายใด ๆ เพราะคุณน้องคงทราบดีแล้ว
 
 อย่างไรแล้ว ใคร ๆ เพื่อน ๆ และตัวพี่เอง ก็ได้เพียงแค่แนะนำเท่าที่รู้ แต่อย่างไรแล้ว "คุณแม่ของคุณน้องเกี๊ยว" นั้นแหละ คือคนรู้ดีมาก ๆ(กว่าพี่ หรือคนในนี้) ว่าอะไรทำได้ ไม่ได้ อย่างไร เพราะท่านก็มาอยู่สวิสฯนานแล้ว ถึงขนาดมีกิจการร้านอาหาร ก็ไม่ธรรมดาแล้วค่ะ  
 
 อย่างไรฟังคุณแม่นะค่ะ
 
 ส่วนแรงสนับสนุนของพี่คือ ควรมาเรียนรู้ชีวิต ใช้ชีวิต และ อยู่กันพร้อมหน้า พร้อมตา กับคุณแม่ และน้อง ๆ ที่สวิสฯค่ะ ไม่ต้องไปเสียเวลาแล้วกับการเรียนต่อปริญญาตรีที่เมืองไทย
 
 ขอให้โชคดี

คนไทยในสวิสฯคนหนึ่งที่หวังดี

เพิ่งเข้าไปดูในห้องคุณแม่น้องติ๊ดตี่ ที่เขียนให้คำแนะนำอย่างดี และถูกต้องไว้กับคุณน้องเกี๊ยวแล้ว
 
 ดีใจด้วยค่ะ ที่คุณน้องเกี๋ยวมีโอกาสได้มาอยู่กับคุณแม่เพราะอายุยังไม่ถึง 21 ปี
 
 อย่างไรก็ขอบคุณน้ำใจคุณแม่น้องติ๊ดตี่ด้วยนะค่ะ เพราะเคยได้รับน้ำใจแนะนำบางเรื่องกับคุณแม่น้องติ๊ดตี่อย่างจริงใจเช่นนี้มาแล้วเหมือนกัน ขอบคุณค่ะ ที่สาวไทยในสวิสฯยังมีคนน้ำใจ คอยช่วยเหลือคนไทยด้วยกัน..

เกี๊ยว

ขอบคุณพี่มากค่ะที่เข้าใจ แล้วก็ให้คำแนะนำดี ๆ
 
 เรื่องจ้างแต่ง ตัวหนูเองก็ไม่ได้รู้สึกกับคนที่ทำแบบนี้แตกต่างกับคนที่เข้าไปอย่างถูกต้อง เพราะแต่ละคนก็มีเหตุผลตื้นลึกหนาบางต่างกันไป  
 สำหรับหนูแล้วถ้ามันจำเป็นต้องทำจริง ๆ หนูก็เก็บไว้เป็นทางเลือกสุดท้ายละกัน
 
 ได้ข่าวว่าคนไทยโดนคนสวิสดูถูกเพราะไปทำไม่ดีไว้ ติดพนันไรอย่างนี้ หนูเองก็ไม่ทราบว่าเค้าเข้าไปด้วยวิธีไหน
 
 คิดว่าคนที่ได้เข้าไปแล้วไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนแล้วทำไม่ดีน่าจะโดนตำหนิมากกว่า
 (แต่ถ้าทุกคนจ้างแต่งหมดก็คงแย่อย่างพี่เทียนหอมบอก)  
 
 -นี่เป็นความเห็นของหนูนะคะ-
 
 ก่อนหน้านี้หนูสับสนมากเลยค่ะ
 หนูคิดแต่เรื่องเรียนอย่างเดียวเลยเพราะหนูยังตอบไม่ได้ว่าเป้าหมายของหนูจริง ๆ หนูจะอยู่สวิสตลอดมั้ย แล้วก็ไม่เคยไปสวิสจริง ๆ ด้วย ไม่ทราบว่าจะใช้ชีวิตที่นั่นได้รึปล่าว  
 เลยลังเลเรื่องปริญญา เพราะที่เมืองไทยเค้าให้ความสำคัญกับมันมาก ถ้าจ้างแต่งไปแล้วหนูคงกลับมาเรียนที่ ม. อีกไม่ได้ในกรณีที่หนูจะไม่อยู่สวิส
 จริง ๆ ในใจก็ไปสวิส ชีวิตที่นั่นดีกว่าที่นี่ แต่บางคนก็อยู่ที่นั่นไม่ได้ คิดไปคิดมาเหมือนพายเรือในอ่าง เวียนหัวมาก (พี่อ่านแล้วเวียนหัวปะคะ แหะ ๆ)
 
 เลยตัดใจไปตามที่บ่น ๆ ไว้ข้างบนก่อนหน้านี้ว่า บอกแม่ไม่ไปซะเลย ไม่ต้องลังเล ไม่ต้องเสี่ยง แฮ่~  
 
 ตอนนี้โล่งเพราะมีพี่ ๆ ช่วย
 รอแม่ไปถามอะค่ะ ช่วงคริสมาสเค้าไม่ค่อยจะอยากทำงานกัน แม่บอก
 ถ้าตัดเรื่องจ้างแต่งไปได้หนูก็ตัดสินใจได้โดยไม่ลำบากใจเลยค่ะ  จะรีบไปทันทีเลย แต่ไม่อยากฝันหวาน เดี๋ยวแป๊ก
 ได้เรื่องยังไงจะมาบอกนะคะ ^^