**จดทะเบียนสมรสที่เมืองนอก..และ..จดทะเบียนสมรสที่เมืองไทย**

Previous topic - Next topic

หนิง

สวัสดีคะป้าและพี่ๆๆ
                      หนูชื่อหนิงคะ 28 ปีคะหนูจดทะเบียนที่เมืองไทยคะหนูและสามีเราลงจะจัดงานแต่งงานที่อีสานบ้านเกิดหนูคะและเราก็ลงมาจดทะเบียนกันที่กรุงเทพคะตอนนั้นพวกเราจ้างร้านสวิสโฮปปิ้งพลอย คะ ราคาค่อนข้างสูงคะ1800กว่าเขาบอกว่าจะทำทุกอย่างให้เรียบรอ้ยคะแต่หนูคิดว่าเหมือนหนูได้เดินเรื่องเองทั้งหมดเลยคะตอ้งขึ้นๆลงๆอีสานกรุงเทพ กรุงเทพอีสาน ทางร้านสวิสโฮปปิ้งพลอย  บอกว่าจะทำเรื่องให้เรียบรอ้ยแต่ ไม่อย่างนั้นสิคะตอนนั้นหนูรอวีช่าแต่งงานอยู่ประมาณ 2 เดือนแล้วทางร้านสวิสโฮปปิ้งพลอย ก็โทรมาบอกหนูว่าจะเลิกเดินเรื่องให้หนูแล้วเพราะรอนานเกินไปหนูก็บอกเขาไปว่าเงินก็จ่ายไปแล้วทำไมมาเป็นอย่างนี้หนูก็เลยโทรมาบอกกับสามีหนูที่สวิสเขาสามีหนูก๊โทรไปถามเขาและตอ่ว่าเขาเขาก็เลยตกลงจะทำเรื่องให้เสร็จกอ่นที่จะจ่ายเงินก็บอกว่าจะพาไปส่งถึงสนามบินแต่ไม่ใช่คะทำเรื่องให้เรายังไม่อยากจะเสร็จเลยคะ!หลังจาก 2 เดือน ที่ทางร้านโทรมาบอกกันหนูว่าจะเลิกเดินเรื่องให้แล้วแต่โดนสามีหนูต่อว่าเขาก็เลยตกลงจะเดินเรื่องให้เสร็จและ 3 ถัดมาเขาก็โทรมาบอกว่าได้รับวีช่าแต่งงานแล้วหนูก็ดีใจมากเลยคะวันนั้น!!!!มาตอ่เรื่องสวิสโฮปปิ้งพลอยกันคะ เขาแค่พาเราไปที่จดทะเบียนแค่นั้นและที่สถานฑูตเราต้องลงมาทำเองหมดเลยคะสามีหนูบอกทุกวันนี้ว่ารู้อย่างนี้สู้เราทำเองไม้ดีกว่าหรือมีคุณค่าเท่ากัน ..สรุปแล้วหนูจดทะเบียนที่เมืองไทยคะ และมาทำเรื่องที่อำเภอและวหวัดต่อที่นี่คะ และหนูอยากจะถาม คุณป้าและคนที่รุ้คะ ว่า ดีหรือเปล่าที่หนูจดทะเบียนที่เมืองไทย บางคนบอกหนูว่า จดที่เมืองไทยไม่ดีเพราะสามีจะทิ้งเราเมื่อไหร่ก็ได้และเราจะไม่มีสิทอะไรเลยหนูก็สับสนคะ และหนูจะทำไงดีชอ่ยตอบด้วยคะขอบคุณคะ เรื่องที่หนูเขียนอาจจะสับสนไปหน่อยก็พยายามเข้าใจกันหน่อยนะคะ
 หนิง
 

แจง




สวัสดีจ๊ะป้าพอล พี่ส้มตำ พี่มิโก๊ะ พี่ต๋อย พี่ปุ๊ย คุณแอน และ คุณหนิง
 
 
 ก่อนอื่นขอออกตัวก่อนว่า ช่วงนี้ไม่มีเวลาเข้ามาเยี่ยมป้าที่เวปเลยค่ะ
 ละครเวทีที่ร้าน ทำพิษ ต้องช่วยทำงาน เยอะ
 
 ช่วงอีสเตอร์ ใครๆ ก็หยุดกัน แจงก็ต้องไปทำงาน บางวัน ยืน เดิน วิ่ง ติดต่อกัน 11 ชม. ยาวเลย กลับมา เกือบต้องตัดเท้าทิ้ง แบบว่า ปวด และร้อนเท้า สุดๆ เลยค่ะ  
 
 แฮ่ะๆ มาถึง ก็มาบ่นเลยอ่ะเรา ขอโทษค่ะ ทุกคน
 
 
 เข้ากระทู้
 
 แจงเอง คล้ายคนอื่นๆ ขอวีซ่ามาเที่ยว 3 เดือน และมาต่ออีก 3 เป็น 6 เดือน
 
 เข้าเดือนที่ 5 ขอยื่น แต่งงาน แต่ก่อน วีซ่าหมด แค่ 1 วัน เองค่ะ
 
 ไม่ได้แจ้งเรื่องที่เมืองไทย แต่แจ้งไปแล้ว ที่สถานทูต
 
 เมื่อต้นปีแจงกลับไทยก็ไปทำบัตร์ประชาชน(รอบ 2 ) ในบัตร และ ทะเบียนบ้าน ก็ยังเป็น นส อยู่เหมือนเดิมจ๊า
 
 
 ขอออกความคิดเห็นส่วนตัวกับคุณหนิง นิดนึงนะคะ
 
 แจงว่า การแต่งงาน ไม่ว่าจะแต่งที่ไหน ก็เทียบเท่ากับแต่งงานกันแล้ว  เรื่อง ที่ สามีจะทิ้งเรา เพราะสาเหตุนี้ คงเป็นไปไม่ได้ค่ะ
 
 ถ้ายังไงเสีย ก็ยื่นเรื่องแจ้งให้ทางสถานทูตไทย ที่นี่ รับทราบ ( อืม แต่ว่า คุณคงยื่นไปแล้ว ถึงอยู่ที่นี่ได้แบบพาส บี รึป่าวคะ)
 
 
 

pall

สวัสดีจ๊ะหนิง
 สวัสดีจ๊ะแจง
 และสวัสดีทุกๆคน
 
 หนิงอย่าวิตกกังวลอะไรไปเลย.
 ตอนนี้หนิงก็มาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่แล้วและ
 หนิงก็ได้ใบอนุญาติพำนักประเภท B..มาแล้ว
 ใบที่ป้าพูดนี้เป็นใบอนุญาติตาม
 ที่กฎหมายสวิสให้อาศัยพำนักอยู่ในสวิคเซอร์แลนด์ได้ถูกต้อง
 พอครบกำหนดตามที่กฎหมายระบุไว้ก็ขอยื่นรับสิทธิ
 เป็นคนสวิสได้.และสามารถถือหนังสือเดินทางสวิส
 มีสิทธิทุกอย่างเหมือนคนสวิสทั่วไป...
 
 เรื่องที่หนิงกลัวและวิตกทุกข์ร้อน
 เกี่ยวกับจดทะเบียนสมรสที่เมืองไทย
 และแฟนสามารถทิ้งหรือเลิกกับเรา..โดยที่เราไม่ได้อะไร..
 เรื่องนี้ตัดปัญหาไปได้อย่าวิตกกังวล....เลิกคิดได้...
 สิ่งที่หนิงควรทำคือการทำหน้าที่ภรรยาที่ดี...
 ดูและเอาใจใส่พูดคุยปัญหาปรับทุกข์กัน...
 หันหน้าเข้าหากัน..คุยกันให้อย่าปิดบัง...ไม่ว่าสุขหรือทุกข์.
 
 เรื่องเลิกกันหรือการหย่านี้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ...
 ถ้าเราต้องเลิกกันจริงๆและมีสาเหตุที่อ้างต่อการเลิกกัน
 และเป็นสาเหตุที่นำมาเป็นข้ออ้างได้...
 แบบนี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง...
 ถ้าหนิงไม่ผิดหรือมีเหตุผล...และอยู่ในกฎข้อบังคับที่กฎหมาย
 ระบุ..หรือ....หลายๆอย่างซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อนซับซ้อน..
 หนิงก็ยังมีสิทธิและสามารถอยู่ที่นี่ได้...ไม่มีปัญหา..
 ซึ่งขึ้นอยู่กับการตัดสินของศาล....
 เท่าที่ป้าเห็นมาผู้หญิงต่างชาติที่หย่ากับสามีสวิส
 ก็อยู่ที่นี่กันถึงแม้จะแต่งงานกันแค่ไม่กี่ปี..
 
 
 เป็นอันว่าหนิงเลิกวิตกกังวลได้นะ.
 ขอให้ชีวิตคู่ของหนิงกับแฟนจงมีความสุข
 และอยู่กันนานๆ...หนิงต้องพยายามอดทน..
 และพยายามแก้ไขปัญหาให้ลุล่วงไปด้วยดี.
 พยายามเอาใจเขามาใส่ใจเรา..ประคับประครอง
 ชีวิตคู่...ให้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข
 
 
 
 

ตุ้ม

เห็นดัวยกับคุณ Pall ค่ะ  ชีวิตสมรสคู่เป็นเรื่องละเอียดอ่อนต้องประกอบดัวยความรัก ความเห็นอกเห็นใจ  ทนุถนอมน้ำใจกันและกัน  ต้องให้เกียรติ์ต่อคู่สมรส  ซื่อตรงและให้ความไว้วางใจต่อกัน  ชีวิตคู่นั้นเราจะอยู่ร่วมกันไปประมาณสองในสามของอายุคน  นานกว่าอยู่กับพ่อแม่อีก  ทะเบียนสมรสเป็นการกระทำเพื่อให้ถูกกฎหมายแต่ความสำคัญที่สุดคือการใช้ชึวิตคู่ร่วมกันคือแบบอย่างเบื้องต้นที่กล่าวมา  ถ้าขาดองค์ประกอบนั้นแล้วจะจดทะเบียนที่ไหนก็อยู่ร่วมกันไม่ได้  

ส้มตำ




สวัสดีค่ะทุกๆคน
 
 ป้าพอลล่าที่รักคิดว่าปี....1992..หรือ..1993....นี่แหละที่เขาเปลี่ยนกฎหมายใหม่....เป็นห้าปีสำหรับต่างชาติที่แต่งกับสวิส....ถึงจะขอพาสสวิสได้

โอเลี้ยง

สวัสดีจากเมืองไทยค่ะป้า และทุกๆท่าน อากาศเมืองเชียงใหม่กำลังร้อนทีเดียว  โอเลี้ยงจดทะเบียนทีสวิสเหมือนกันค่ะ และก็จะมาเปลี่ยนสถานภาพตัวเองที่เมืองไทยด้วยเหมือนกันค่ะ อันนี้ส่วนตัวคิดว่าแต่งงานแล้วก็อยากจะเปลี่ยนให้เสร็จสิ้นไปเลยน่ะค่ะ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนสถานภาพเราก็สำคัญเหมือนกัน   และคิดว่ากฎหมายทางบ้านเราก็ให้ความคุ้มครองกับคนไทยที่มีคู่ครองต่างชาติพอสมควรในเรื่องที่อยู่อาศัยในเมืองไทย  เรื่องจะซื้อขายอะไร มีสามีอยู่ข้างกายยังไงก็จะต้องขอความเห็นร่วมกันน่ะค่ะ ถือว่าอยู่ด้วยกันแล้วก็เหมือนคนๆเดียวกัน

วนาลี

ขอแจมด้วยค่ะ เหะๆ วันนี้ได้ต่อคอมนานๆนิ๊ด จ่ายเพิ่มหน่อย เพราะคิดถึงเพือนๆ ของปาง จดทะเบียนที่สวิส ไม่ได้เปลี่ยนสถานะภาพในเมืองไทยด้วยเพราะขี้เกียจ ยังเป็นนางสาวนามสกุลยาวเหยียด อยู่เมืองไทย เป็น Frau Jones อยู่สวิส  เป็น Mrs Jones อยู่อังกฤษ  ไม่เห็นมีปัญหาอะไรเลยนะค่ะ เมือปีที่แล้วหนังสือเดินทางไทยหมดอายุ 10  ปี ก็ขอทำที่สถานทูตที่เบิรน์ ง่ายนิดเดียว หนังสือเดินทางมาไม่ทันก่อนที่ปางจะเดินทาง ทางสถานทูตก็ออกหนังสือชั่วคราว หนึ่งปี ให้เรา  
 
 ก็คิดว่าจะไม่เปลี่ยนอะไรแล้วค่ะ ทำแบบที่ทำทุกวันนี้ ไม่มีปัญหาเลย

pall

สวัสดีค่ะคุณตุ้ม
 
 สวัสดีจ๊ะส้มตำ ขอบใจมากจ้าที่มาบอก
 
 สวัสดีจ๊ะโอเลี้ยง
 เป็นอย่างไรบ้างจ๊ะเที่ยวสนุกไหม?ขอบใจมากที่มาส่งข่าว.
 ไปเที่ยวไหนมาบ้าง.แล้วมาเล่าสู่กันฟังตอนกลับมาที่นี่นะ
 ขอให้เที่ยวให้สนุกนะจ๊ะ.
 
 สวัสดีจ้าวนาลี
 ดีใจที่แวะเข้ามาทักทายกันจ๊ะ
 เป็นอย่างไรบ้าง?อีกไม่ช้าวนาลีจะมาที่เจนีวาแล้ว
 ถ้าย้ายไปอยู่อาฟริกาจะแวะไปเยี่ยมนะ.

blacktea

สวัสดีค่ะทุกคน
 ชาดำยังไม่ได้แต่งงาน
 แต่ถ้าแต่งก็คงจะจดทะเบียนแค่ที่นี่
 ตราบที่เรายังอยู่ที่นี่
 แล้วถ้าเมื่อไหร่ต้องย้ายไปอยู่เมืองไทย
 ก็ค่อยว่ากันอีกที เพราะอยากให้แฟนมีชื่อในทะเบียนบ้านด้วย
 (อันนี้ยังไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่เลย อิอิ)
 
 ส่วนเรื่องของการซื้อ การขาย พวกอสังหาริมทรัพย์นี่
 ไม่ใช่ว่าไม่ซื่อสัตย์กับสามีตัวเองนะคะ
 ถ้ามีความสามารถก็ซื้อไว้ในชื่อของตัวเองนั่นแหละค่ะ
 หมายถึงบอกสามีด้วยถ้ามันแปรงใหญ่ (เพราะเขาคงต้องจ่าย)
 ถ้าแปรงเล็กๆ ก็ไม่บอก อิอิ เพื่อหลักประกันเล็กๆของตัวเองเรา
 ตอนนี้ยังไม่แต่ง แต่ก็มีซื้อไว้ใส่ชื่อตัวเอง เพราะแฟนอยากให้เป็นหลักประกันกับเรา
 แต่งแล้วก็จะซื้ออีกแปรง อันนี้แฟนก็ซื้อให้อีก เป็นหลักประกันอีกอัน  
 และถ้ามีโอกาสก็จะซื้ออีก แปรงเล็กๆ คงไม่ต้องบอกแฟนมั้ง อิอิ
 
 เวลารักกัน น้ำต้มผักก็ยังว่าหวาน
 แต่พอเวลาเลิกกัน ยังกะไม่เคยรู้จักกันแน่ะ
 ชีวิตจะเอาแน่อะไรได้ ใช่ไหมคะ
 

เจ

ของเจ จดทะเบียนสมรสที่นี่ เพราะเจกับแฟนอยู่ที่เมืองไทยกัน
สถานทูตแจ้งให้ทราบก่อนแล้วว่า ให้เลือกก่อนว่าจะใช้นามสกุลใคร เค๊าจะมีฟอร์มมาให้กรอก
พอจดทะเบียนเสร็จเล้ว ต้องนำพาสปอร์ตใหม่ที่เปลี่ยนคำนำหน้านาม เป็นนาง เล่มใหม่ มาแสดงด้วย แล้วเค๊าก็ถ่ายเอกสารหน้าพาสเราไป เอกสารการจดทะเบียนสมรสทุกอย่าง รวมทั้ง ใบจดทะเบียนสมรส คร.2 ถ้าจำไม่ผิด ที่ไม่ใช่ กรอบกุหลาบ  เค๊าส่งหลักฐานทุกอย่างของเราไปที่สวิสให้ที่โน่นรับทราบ เราไปจดที่บางรัก เค๊าจะรู้ว่า เราต้องใช้เอกสารอะไรไปยื่นสถานทูตทีหลังด้วย ง่ายๆ เดินเรื่องไปตามลำดับขั้นที่สถานทูตบอก ไม่ต้องไปจ้างเอเจนท์ หรอก เค๊าเรียกราคาตั้งหมื่นนึงแน่ะ ทำเองก็ได้สบายๆ 
หลังจากนั้นเจ เลือกที่จะเก็บนามสกุลเดิม เป็นชื่อรอง สถานทูตบอกว่า ให้ไปเปลี่ยนเล้วเอาใบตัวจริงมาให้เค๊า แล้วเค๊าจะส่งไปที่สวิส เพื่อให้ที่นั่นอนุญาติ เราก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องให้ที่นั่นอนุญาติ แต่เราก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ แค่เอาเอกสารที่เค๊าอยากได้เอามาให้ ตอนนี้ 3 เดือนแล้ว ไม่รู้ว่าเราต้องรอฟังคำอนุญาติอะไรรึเปล่า ไม่มีใครติดต่อมา เดี๋ยวจะลองขอให้แม่ของสามี ติดต่อถามที่เขตดูว่าได้อัพเดท สามีของเราเกี่ยวกับการแต่งงานรึยัง แล้วชื่อเราคืออะไร คิดว่าไม่มีปัญหาอะไรนะ

เราเลือกใช้นามสกุลสามีเพราะ เราอยากให้เกียรติเค๊า แล้วเราแน่ใจว่าถ้าเราไม่ใช้ เค๊าคงน้อยใจแน่ๆ แอบดูจากหน้าเค๊านิดนึง ตอนแกล้งพูดว่าจะใช้นามสกุลเดิม อิอิ แต่ตลกดีพอพาสเราเป็นนามสกุลเดียวกับสามีแล้ว เค๊าเห็น แล้วเค๊าก็พูดออกมาว่าเหมือนเราเป็นพี่น้องกันเลย แล้วหัวเราะ


the sun

  สวัสดีค่ะป้าพอล และทุกคน ขอโทษด้วยนะคะ ที่ไม่เออชื่อสวัสดีให้ครบทุกคน เพราะจำไม่ได้ อิอิอิ ตะวันจดที่เมืองไทย และเปลียนแปลงทุกอย่างไม่ว่าจะเป็น ปปช. ทะเบียนบ้าน พาสปอร์ต รวมไปถึงบัญชีธนาคาร ยกเว้ณบัตรเคดิต (ขี้เกียจรอบัตรใหม่ เพราะต้องใช้รูดบ่อยๆ) ตะวันจัดการเปลี่ยนมาใช้นามสกุลแฟนหมดเลย คืองี้คะ  ถ้าเราไม่เปลี่ยนแปลงเอกสาร ถ้าเราไม่ไปทำธุระกรรมอะไร ถ้าเปลียนนามสกุลก้อคงไม่มีปัญหาค่ะ แต่เมือไรถ้าติดต่อทางหน่วยงานที่เขาออนไลน์ได้ ว่าเราแต่งงานเปลียนนามสกุล จะมีปัญหาที่ไทย แต่ถ้าดำรงชีพอยู่สวิสก้อไม่เป็นไรค่ะ แต่วันใด้วันหนึ่งข้างหน้าแล้วจะรู้ว่าลำบากอย่างไร เล่าต่อเลยนะค่ะ
   ตะวันเคยรู้จักคนๆ หนึ่ง เป็นเพือนแม่. . ทีอยู่เมืองนอก แล้วจดทะเบียนสมรส ที่เมืองนอก ดำรงชีวิตตลอดที่เมืองนอก ใช้นามสกุลแฟนที่เมืองนอก สมัยนั้นพาสปอร์ตหรือการต่อพาสปอร์ต ยังไม่มีการเปลียนแปลงค่ะ ต่อมา แฟนได้เสียชีวิต ภรรยาได้เงินประกันเสียชีวิตก้อนโต เขาแก่แล้ว เบื่อที่จะใช้ชิวิตเมืองนอก เลยให้ลูกสาวอยู่เมืองนอกต่อ ส่วนตัวเองหอบเงินก้อนโตกลับมาใช้ชีวิตตอนปลายทีเมืองไทย มาถ่ายบัตรประชาชนใหม่ที่ไทย ก้อถ่ายได้ เพราะใช้ชื่อเดิม แต่วันดีคืนดี เขาต้องการกลับไปเยียมลูกสาวเขาที่เมืองนอกอีก พร้อมทั้งต้องการไปตามเงินประกันเสียชีวิตสามีก้อนสุดท้ายที่จะต้องได้เป็นล้านบาทไทย แต่พาสปอร์ตกลับหมดอายุ ตลอดระยะเวลาที่อยู่เมืองนอกถ้าพาสปอร์ตเขาหมดอายุเขาจะไปติดต่อกงศลไทยที่โน้นต่ออายุพาสปอร์ตได้เลยไม่มีป้ญหา อีกอย่างเพราะว่าพาสปอร์ตยื่นทำที่ไทยสมัยก่อน ต่อเล่มได้เลย แต่สมัยนี้เขาให้ยกเลิกเล่มเก่าไปเล่มใหม่และเลขที่พาสปอร์ตก้อเปลียนไปด้วย ปรากฏว่าบัตรประชาชนกับพาสปอร์ตเดิมข้อมูลไม่ตรงกันค่ะ เขาไม่ให้ต่อพาสปอร์ตและไม่ทำเล่มใหม่ให้เลย ต้องไปเปลียนแปลงให้เหมือนและตรงกันก่อน แต่ประเด็นปํญหาติดที่ว่าเขาไม่ต้องการเปลียนนามสกุลแฟนเขาออก เพราะติดเงินประกันชีวิตที่ต้องได้หลายล้าน เพราะเขาได้มาแค่บางส่วน ถ้าเปลียนออกจะยุ่งยากขึ้นที่จะรับเงิน แต่พาสปอร์ตก้อหมดอายุ กลับไปเยี่ยมลูกสาวไม่ได้ ไปติดต่อรับเงินด้วยตัวเองก้อไม่ได้(ที่ประกันชีวิตไม่จ่ายหมดเพราะแฟนเขาฆ่าตัวตาย เขาสืบสวนอยู่) ไปต่อพาสปอร์ตแบบง่ายเหมือนที่เมืองนอกก้อไม่ได้. . เดินทางก้อไม่ได้ค่ะ แต่ถ้าไม่ติดปัญหาตรงที่ต้องการเงินประกันสามี แค่เอาทะเบียนสมรสไปยื่นยัน และใบมรณะภาพแฟนไปเขาก้อทำให้ค่ะ แต่ทำในนามที่ใช้ชื่อในเมืองไทยเดิมที่เคยใช้ค่ะ    นี่คือปัญหาค่ะ ป้าพอล ชีวิตคนเราใครว่าจะแน่นอน เรามั่นคงที่สวิสก้อจริง แต่วันใดวันหนึ่งชีวิตอาจผกผันไปก้อได้. .
  แต่ว่าข้อเสียถ้าแต่งงานเปลียนนามสกุลกับชาวต่างชาติที่เอกสารที่ไทยทุกอย่างแล้ว เวลาไปทำธุระกรรมด้านสินเชื่อที่ไทยเขาจะให้เรากู้ได้แค่ 50-59% เท่านั้นค่ะ(อันนี้เห็นเพือนสาวชีแต่งงานกับคน UK ชีไปกู้เงินซื้อบ้านที่ไทยเขาให้เท่านั้นกะธนาคารอาคารสงเคราะห์)อิอิอิอิ. .  ;)
    นี่แหล่ะจุดตะวันถึงเลือกที่จะเปลียนออกให้ตรงกันทุกเอกสาร เพราะไหนๆ เราก้อมาใช้ชีวิตเมืองนอก จะไปเสียสิทธิ์ที่ไทยก้อคงไม่มาก  เพราะเราไม่ได้ไปอยู่ที่ไทยเวลานี้ จะเสียนิดหน่อยก้อที่เวลาเราไปสมัครงานที่ไทยนี่แหล่ะ ที่ว่าเสียสิทธิ์  เพราะเขาจะดูคนโสด ทำงานคล่องตัวกว่าคนมีครอบครัว เราอยู่เมืองนอก นานๆ ที่กลับไทย คงไม่กลับไปทำงานที่ไทยหรอกเน๊าะ  แต่ถ้าเมือไรเราคิดจะกลับไปใช้ชีวิตเมืองไทยหล่ะก้อ นั้นแหล่ะคือปัญหา จะยุ่งยากภายหลัง. .  ตะวันเลยเลือกที่จะใช้นามสุกุลแฟนและทำให้ตรงกันในเอกสาร ไม่ใช่ว่าไม่เสียดายคำว่า นางสาว และ นามสกุลพ่อนะ เสียดายเหมือนกัน แต่เราก้อไม่ใช่ตระกูลใหญ่ ชินวัตรเน๊าะ ที่จะได้ใช้นามสกุลนี้แล้วได้ประโยชน์ต่างๆ นาๆ อิอิอิ หรือบางคนอาจใช้ เป็นนามรองไปก้อได้ ถ้าเสียดายนามสกุลพ่อ. .

the sun

ตะวันขอเพิ่มเติมนิดหน่อยค่ะ อัพเดรทข้อมูลจากไทยค่ะ
ตอนนี้ที่ไทยถ้าจดทะเบียนสมรสแล้วหย่ากัน สามารถกลับมาใช้ นางสาวได้แล้วนะคะ เริ่มมาตั้งแต่กลางปี08 มาแล้วค่ะ  ;)

Jojo

สวัสดีค่ะป้าและทุก ๆ คน
โจ้จดที่เมืองไทยค่ะ ก่อนที่จะย้ายมาอยู่ที่สวิส และที่ต้องแจ้งเรื่องที่อำเภอและเปลี่ยนแปลงเอกสารต่าง ๆ เพราะเราอาศัยที่เมืองไทยและมีลูกด้วยกัน อยากใช้นามสกุลให้เหมือนกัน 3 คนพ่อแม่ลูกค่ะ และการที่แจ้งเรื่องไปยังสถานฑูต ก็เพื่อรักษาผลประโยชน์ของตนเองที่ควรจะได้จากประเทศสวิส 

ส่วนปัญหาหลังการสมรส สำหรับการทำธุรกรรมต่าง ๆ นั้น ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร หากคุณเปิดเผยทุกอย่างกับสามี เพราะถ้าต้องการกู้เงินหรือยื่นขอไฟแนนซ์จากสถาบันการเงิน หรือค้ำประกันให้ใคร คนที่แต่งงานแล้ว ต้องให้สามีเซ็นรับรู้ด้วยเท่านั้น (นั่นก็แย่หน่อยถ้าจะแอบทำ)  ส่วนเรื่องการซื้อบ้าน กฎหมายไทยเค้ารักษาสิทธิ์ให้กับคนไทย คือ สามีต้องเซ็นต์ยินยอมที่กรมที่ดินว่า บ้านและที่ดินนี้ไม่ใช่สินสมรส ดังนั้นถ้าซื้อเพื่อเก็บไว้พอเป็นที่อยู่อาศัย ไม่ได้เก็บไว้ทำธุรกิจ คงไม่มีปัญหาอะไรหรอกค่ะ (ความคิดเห็นส่วนตัวนะคะ) ส่วนเรื่องซื้อที่ดินเปล่านั้นยังไม่มีประสบการณ์ค่ะ จึงไม่ทราบว่าจะมีปัญหาหรือเปล่าในกรณีแต่งงานกะชาวต่างชาติ

ถ้าจำไม่ผิดทางประเทศสวิส เค้าให้สิทธิในการถือสัญชาติสำหรับผู้หญิงที่แต่งงานกับชาวสวิส สามารถถือได้สองสัญชาติ ซึ่งจะแตกต่างกับลูกที่ต้องสละสัญชาติใดสัญชาติหนึ่งก่อนอายุ 20 ฉะนั้นถึงเราจะได้สัญชาติสวิสหรือพาสสวิสแล้ว แต่ถ้าเรายังคอยต่ออายุบัตรประชาชนอยู่ไม่ให้ขาด เราก็ยังคงสัญชาติไทยไว้ได้อยู่หรือเปล่าค่ะ เพราะเราไม่ได้แจ้งเรื่องขอสละสัญชาติไทย ???
อย่าหยุดที่จะเดินหาโอกาส

pall

สวัสดีค่ะ คุณ jojo1081009
สวิสไม่ได้ห้ามเกี่ยวกับการถือสองสัญชาติ เราแต่งงานกับคนสวิสแต่เราไม่ได้สละสัญชาติไทย ดังนั้นเรายังเป็นคนไทยคงสัญชาติไทยอยู่ค่ะ
http://www.bfm.admin.ch/bfm/en/home/themen/buergerrecht/faqs.html