มาแบ่งปันประสบการณ์การมีลูกครึ่งกันเถอะ

Previous topic - Next topic

naddyswiss

โหน่งมีลูกครึ่งไทย สวิส พี่ชาย ชื่อแอนดี้ อายุสี่ขวบห้าเดือนค่ะ แอนดี้ไม่ค่อยอ่้วนค่ะ ผอมมากจ้า ตัวเล็กกว่าชาวบ้านชาวเมือง ไปพบหมอแต่หมอบอกปกติ เลยไม่ได้สนใจก้อให้ลูกกินทุกอย่างที่เค้าสามารถกินได้กันไป

ลูกสาง นาตาลี อายุสามขวบสองเดือน ก้อไม่ค่อยอ้วนเช่นกัน

ลูกๆสองคนที่บ้านพูดไทย และ เยอรมันสวิสค่ะ และพูดภาษาไทยได้ชัดมากๆ (ลูกชาย) ตอนนี้หัดอ่านก. ไก่ ลูกชายชอบให้เราสอนอ่าน ก. ไก่มากๆค่ะ ภูมิใจมากๆที่ลูกเราสองคนพูดไทยได้ แต่อาจจะเป็นเพราะเราไม่เคยพูดภาษาอื่นกับลูก นอกจากภาษาไทยค่ะ เพราะภาษาเยอรมันเราไม่ดีเราจึงไม่อยากให้ลูกฟังสำเนียงที่ประหลาดจากแม่ค่ะ

วิธีเลี้ยงก้อเลี้ยงตามแบบไทย ให้มีสำมาคาระวะ แต่ให้รู้จักตรงต่อเวลา และมีระเบียบแบบคนสวิสจ้า เลี้ยงแบบมิกซ์ อันไหนของฝรั่งดีรับเข้ามา อันไหนไม่ดีไม่เอามาใช้ค่ะ

Jojo

ต่อค่ะ...

ความโชคดีของโจ้อีกอย่าง ที่สามารถมีเวลาออกไปทำงานนอกบ้านได้ก็เพราะอพาร์ทเม้นที่โจ้อยู่ กะอพาร์ทเม้นของพ่อแม่สามีอยู่ห่างกันแค่ 1 ช่วงตึกเท่านั้น  ;D
พ่อแม่สามีถึงจะล่วงเลยวัยเกษียณมาหลายสิบปีแต่ก็เป็นคนแก่มีไฟ ยังทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ กันอยู่ทั้งคู่ แต่ก็ได้ตกลงกันได้ลงตัวเรื่องวันที่ดูแลลูกสาวให้หลังเลิกเรียน อีกทั้งพวกเค้าทั้งคู่ก็เป็นคนแก่ที่แอ๊คทีฟ ไม่ชอบให้หลานอยู่แต่ในห้องสี่เหลี่ยม ดูแต่ทีวี ฉะนั้นเวลาหลานอยู่ด้วย พวกเค้าจะหากิจกรรมให้ทำตลอด ถ้าไม่เล่นด้วยกัน ก็ไปตีเทนนิส เดินเขา นั่งรถไฟพาหลานไปโน่นไปนี่บ้างล่ะ พาไปดูละครเวที แม้กระทั่งพาไปนั่งเม้าส์ที่สมาคมกาแฟ (มีแต่คนแก่ ๆ อ่ะ...555)และก็พวกเค้าอีกนั่นแหละที่คอยสอนการบ้านให้ด้วย ตั้งแต่ลูกขึ้นป.2 มาเนี่ย ความสามารถด้านภาษาเยอรมันของโจ้ช่วยอะไรลูกไม่ได้เลย บางครั้งสอนกันที ก็ต้องขอเวลาแม่เปิดพจนานุกรมหาความหมายก่อนว่ามันคืออะไร ครั้นจะสอนอ่าน พออ่านผิดลูกสาวก็ขำแล้วก็กุมขมับ เพราะลิ้นมันไม่ไปอ่ะ สำเนียงมันเลยเพี้ยน....คิดแล้วท้อใจตัวเองจัง :'( :'( มีแต่เอาการบ้านลูกมาอ่านให้ลูกฟัง แล้วให้ลูกเป็นคนสอนแทน...555

แต่จะบอกว่าการที่เด็กถูกเลี้ยง 2 บ้านก็มีข้อเสียอ่ะคะ คือ เค้าจะสับสนกับกฎ ระเบียบ และข้อห้ามต่าง  ๆ อยู่บ้าง เช่น อยู่กะปู่กะย่าอย่างนี้ทำได้ แต่เวลาอยู่กะพ่อกะแม่อย่างนี้กลับทำไม่ได้ เป็นต้น

รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี...ถ้ามีดื้อก็ต้องตีกันบ้างค่ะ ลูกสาวโจ้จะรู้ทันทีโดยอัตโนมัติเลยว่าการที่ถูกแม่ตีนี่ คือการที่ดื้อสุด ๆๆๆ แล้ว เพราะโจ้จะพูดก่อนตีเสมอว่า "แม่ไม่ไหวแล้วนะ ขอตีหน่อยเถอะลูก..." เวลาตีจะตีที่ต้นแขนและที่ก้น หรือที่ปากเวลาพูดจาแบบเถียงคำไม่ตกฟาก หรือพูดจาไม่มีสัมมาคารวะ เค้าจะได้รู้ว่าสิ่งที่เค้าทำนั่นคือสิ่งไม่ถูกไม่ควรและไม่ควรจะทำอีกในครั้งต่อไป แต่จะไม่ตีหัว ตีหู หรือตีหลังลูกค่ะอันตราย เนี่ยล่ะค่ะบทโหดของตัวเอง >:( เพราะคอยสอนเค้าเสมอว่าสิ่งไหนที่พ่อแม่บอกแล้วลูกคิดว่าไม่ใช่ ลูกสามารถโต้แย้งได้ แต่ต้องโต้แย้งแบบมีเหตุผล หาเหตุผลของตัวเองมาพูดให้พ่อแม่เห็นเด้วย ไม่ใช่โวยวายหรือใส่อารมณ์อย่างเดียว ต้องรู้จักช่างคิด ;)

เลี้ยงลูกต้องอดทนค่ะ และต้องพยายามเข้าใจเด็กในแต่ละช่วงวัย เด็กแต่ละวัยนิสัยก็จะเปลี่ยนค่ะ  ตอนนี้ก็เริ่มจะกังวลใจเหมือนกันตอนลูกเข้าสู่วัยรุ่น ไม่รู้จะเป็นยังไงต่อไป ::) ::)
อย่าหยุดที่จะเดินหาโอกาส

spa

สวัสดีค่ะทุกท่าน
มีลูกเล็กปัญหาเล็กมีลูกโตปัญหาโตตามตัวแต่เราแม่ๆก็ต้องตามพวกเค้าทันให้คิดถึงตอนเราเป็นวัยรุ่นเอาความรู้สืกที่เราเคยมีตอนนั้นมาใช้บางทีก็ได้ผลไม่ได้ผลบ้างแล้วแต่สถานะและโอกาส

มีการลองของบ้างเป็นของธรรมดาเราก็ยังเคยทำดังนั้นไม่ต้องไปกังวลใจอะไรล่วงหน้าเพราะเราก็เรียนรู้ไปกับเด็กๆทุกวันแล้วก็จะรู้ว่าตัวเราก็จะแก่ลงทุกวันด้วย

วัยรุ่นก็ต้องมีปัญหาส่วนตัวอยู่แล้วเพราะโฮโมนมันทำงานจากเป็นเด็กถ้าเป็นหญิงก็เป็นเรื่องการมีรอบเดือนเข้ามาอารมณ์เปลี่ยนแปลงตัวเราเองต่างหากที่ต้องปรับตัวให้เข้ากับลูกยกตัวอย่างเช่นลูกสาวเป็นเด็กที่โตเร็วมากอายุ 10 ย่าง11 ปีก็มีรอบเดือนแล้วจากเมื่อวานยังบอกให้ทำอะไรที่เค้าเคยทำแล้วก็กระทำตามโดยดีตื่นเช้ามาบอกให้ทำสิ่งเดียวกันมันดันเถียงแถมบอกให้แม่ทำเองงงงงงงงงงงงงงงงเป็นไก่ตาแตกต้องค้นคว้าหาหนังสืออ่านตาแทบถลนเลยเข้าใจว่าทำไม

ส่วนลูกชายก็อีกแบบจะต้องมีพ่อเป็นต้นแบบพยายามให้พ่อคุยกับลูกชายให้มากๆทำอะไรด้วยกันสร้างความสัมพันธไว้แต่เนินๆเพราะต่อไปจะมีข้อโต้แย้งและก็ต้องมานั่งปรับตัวเหมือนกัน

เรื่องอารมณ์ของเด็กยังไม่พอมันเกี่ยวพันไปทุกเรื่องโดยเฉพาะเรื่องโรงเรียนมันเป็นช่วงที่สำคัญกับเด็กมากๆว่าจะได้เรียนหนังสือสูงๆอย่างที่เราคาดหวังหรือตัวเด็กเองก็คาดหวังในตัวเค้าเอง

ต้องมีเวลามากๆพอๆกับช่วงขวบปีแรกของลูกมีคนบอกว่าคนเราจะมีช่วงชีวิต 7 ปีและก็มีการเปลี่ยนแปลงไม่รู้ว่าจะจริงหรือเปล่าลองเอาไปนับดูเล่นๆนะ

เอาไว้วันหลังจะเล่าเรื่องการเรียนของเด็กๆเพราะดูเหมือนว่าที่สวิสจะให้โอกาสกับทุกคนแต่โอกาสนั้นคุณจะคว้าได้หรือเปล่านั้นมันขื้นอยู่กับตัวของเด็กเองทั้งนี้พ่อและแม่มีหน้าที่อบรมสั่งสอนให้เป็นคนดีที่โรงเรียนมีหน้าที่แค่สอนหนังสือเท่านั้นเค้าไม่สนใจว่าเด็กจะเป็นอย่างไรนอกจากถ้าเรียนไม่ทันเพื่อนก็จะส่งให้หมอโรคจิตไปจัดการคนที่จะช่วยลูกได้จริงๆหรือปกป้องลูกได้จริงๆคือพ่อและแม่เรื่องนี้สำคัญมากมันแตกต่างจากเมืองไทยมาก

โชคดีจ้ะแม่ๆทั้งหลาย
สปาร์

ohmygod

สวัสดีค่ะคุณเทวี และทุกๆ ท่านค่ะ

   เป็นสมาชิกใหม่มาสวัสดีค่ะ เป็นคนนึงที่ได้ติดตามผลงานของคุณเทวีมาตลอดค่ะ (เนื่องจากอ่านกระทู้เกือบทุกกระทู้ในเวปทั้งหมดแล้ว ว่างจัด555) ยอมรับว่าคุณเทวีเป็นอีกท่านที่ยอมสละเวลาเพื่อแบ่งปันข้อมูลดีๆ ให้กับหลายๆท่าน จริงๆค่ะ พอดีเห็นกระทู้นี้ประสบการณ์การมีลูกครึ่ง โดยส่วนตัวก็อยากมีลูกเป็นลูกครึงเหมือนกันค่ะ เพราะน่ารักกกกมากกกกกกก แต่คงไม่มีโอกาสแล้ว เพราะสามีเป็นคนไทยอ่ะ เคยพูดเล่นๆ กะคุณแม่เหมือนกันว่าอยากมีลูกเป็นลูกครึ่งอ่ะ แม่บอกให้เคลียร์กันเอาเอง หุหุ

     ปัจจุบันมีลูกสาวปีนี้ก็ครบสิบขวบแล้วค่ะ ก็เลยมาขอแจมด้วยนิดนึงค่ะ ตอนนี้ลูกสาวเริ่มเข้าวัยรุ่นก็เิริ่มกังวลเหมือนกันค่ะว่าเค้าจะเปลี่ยนไปรึเปล่า แต่ที่ผ่านมาก็เลี้ยงเค้าแบบเป็นเพื่อนกันมากกว่า มีอะไรก็คุยกัน ให้เค้ามีส่วนในการตัดสินใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ บางเรื่อง กะจะเลี้ยงเค้าแบบ คนไทยแต่หัวใจอินเตอร์อ่ะค่ะ เราจะบอกรักกันทุกวัน แสดงความรักกับเค้าตลอด เพราะอยากให้เค้ามีความมั่นคงทางจิตใจ แล้วเมื่อเค้าโตขึ้น เค้าจะได้รู้สึกว่าไม่ว่ายังไงเค้าก็ยังมีครอบครัวที่อบอุ่นคอยสวมกอดเค้าเสมอค่ะ แรกๆ เค้าก็เขินนะคะ เค้าบอกเค้าอายเพื่อน เราก็จะบอกว่าไม่เห็นต้องอายแม่ลูกแสดงความรักกัน ไม่ใช่สิ่งที่ผิดนะแล้วเราก็ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน ที่สำคัญเราเลี้ยงเค้าด้วยเหตุผลค่ะ เวลาเค้าทำอะไรไม่ถูกต้อง จะบอกเค้าว่าทำอย่างนี้แล้วจะมีผลอย่างไร แล้วย้อนถามเค้ากลับอีกทีว่า ถ้าผลที่ได้เป็นอย่างนั้นแล้วเค้าต้องการรึเปล่า ถ้าเค้าไม่ต้องการอย่างนี้แล้วหนูคิดว่าควรทำมั้ย อะไรประมาณนี้ค่ะ

     โชคดีที่เค้าชอบและสนใจภาษาอังกฤษ เวลาอยู่ด้วยกันเค้าจะชอบให้เราคุยกะเค้าเป็นภาษาอังกฤษ แต่เค้ารก็เข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้างนะคะ เพราะก่อนหน้านี้ไม่ได้อยู่ด้วยกันเค้าอยู่กับย่าอ่ะค่ะ เพิ่งกลับมาอยู่ด้วยกันเมื่อ ธ.ค.ปีที่แล้วค่ะ ตอนนี้ลูกสาวเรียนพิเศษภาษาอังกฤษที่ London House ด้วยเค้าก็ชอบค่ะ เพราะเรียนพิเศษแล้วเค้าก็เหมือนได้ความรู้บางอย่างก่อนเพื่อนค่ะ และได้เรียนกับฝรั่งเจ้าของภาษา ทำให้เค้ากล้าที่จะพูดค่ะ 

     ในอนาคตก็วางแผนไว้จะให้เค้าได้ติดตามแม่ไปอยู่ที่สวิสเหมือนกันค่ะ แต่ตอนนี้รอให้เรื่องเราเรียบร้อยก่อน ก็คิดไว้ step by step ค่ะ ถึงเวลานั้นเค้าก็ต้องเรียนรู้ในภาษาที่สาม สี่ ห้าต่อไป

ohmygod ค่ะ

spa

สวัสดีค่ะคุณเทวีและทุกๆท่าน
วันนี้มาต่อเรื่องโรงเรียนของเด็กๆ เรื่องอายุและเกณ์เข้าโรงเรียนเริ่มนับจากอนุบาลไปจนถึงมัธยมปลายจะไม่พูดถึงนะคะจะพูดเฉพาะเรื่องที่คนเป็นผู้ปกครองจะต้องเอาใจใส่ดูแลเรื่องการเรียนของเด็กๆเพราะที่สวิสไม่มีโรงเรียนติววิชาเหมือนเมืองไทยอย่างดีก็มีแค่ช่วยทบทวนตำราและรับจ้างฝีกฝนวิชาที่เด็กอ่อนเป็นการส่วนตัว
เริ่มต้นที่อนุบาลจะไปเล่นซะเป็นส่วนใหญ่เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมที่จะเข้าประถมครูก็จะดูเด็กๆว่ามีการพัฒนาการทางด้านอารมณ์และการใช้มือสัมผัสและสมองเป็นอย่างไร

แต่อย่าลืมนะคะว่าคนที่จะรู้จักลูกดีก็คือพ่อและแม่ครูเป็นส่วนประกอบในการตัดสินใจเพราะถ้าเค้าแนะนำว่าเด็กมีปัญหาเรื่องอะไรก็ตามเค้าจะแนะนำให้ไปตรวจกับจิตแพทย์ที่ทางโรงเรียนจัดให้และมีจดหมายประกอบจากการสังเกตุของครูและจะแนะนำให้ไปเรียนในชั้นต่อไปในกลุ่มที่เล็กลงพูดง่ายๆคือเด็กที่มีการพัฒนาการช้ากว่าเพื่อนแต่ไม่ได้หมายความว่าเด็กโง่นะคะ
จากประสบการณ์ถ้าวัดกันแล้วส่วนมากเด็กผู้ชายจะมีการพัฒนาการช้ากว่าเด็กผู้หญิงถือว่าเป็นเรื่องปกติไม่ต้องกังวลอะไรถ้าจำไม่ผิดเค้าจะตัดให้เกณ์ในการเข้าโรงเรียนช่วงปลายเดือนมีนาคมเช่น ถ้าเด็กเกิดมกราคมไปจนถึงมีนาคมปีถัดไปถือว่ารุ่นเดียวกันช่วงเดือนเกิดและอายุก็ต่างกันการพัฒนาการทางสมองก็ต่างกันฉะนั้นเวลาที่เราเห็นลูกคนอื่นเค้าเก่งกว่าลูกของเรานั้นไม่ต้องไปเสียใจหรือน้อยใจเพราะถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา

พอเด็กๆเข้าชั้นประถมก็แล้วแต่เขตขื้นอยู่ว่าคุณอยู่ที่ไหนในจังหวัดเดียวกันตำราที่ใช้อาจจะไม่เหมือนกันหรือแม้กระทั่งในแต่ละอำเภอยังเรียนไม่เหมือนกันถ้าเป็น Kanton Aagau จะนับจากประถม 1 ไปจนถึงประถม5 แล้วตัดให้ขื้นไปเรียนชั้นมัธยมเป็นเวลา 4 ปีหลังจากนั้นก็เข้ามัธยมปลายเรื่องนี้สำคัญมากจะเจาะให้เข้าใจอีกในภายหลังเช่นตัดเกรดอย่างไรตัดสินเมื่อไหร่บลาาาาาาาาาาาาา

ถ้าเป็น Kanton อื่นเช่น Zug เท่าที่ทราบจะเป็นอีกแบบคือ ประถม 1 ถีง 6 และตัดเข้ามัธยมต้นและปลายรวมเป็น 6 ปีการศีกษา

ขออนุญาตแค่นี้ก่อนนะคะต้องทำงานต่อ
สปาร์






Jojo

สวัสดีค่ะทุก ๆ คน

คุณสปาร์...ประสบการณ์ที่นำมาเล่าให้ฟังเริ่มจะใกล้ตัวโจ้มากเลย มีประโยชน์มากเลยค่ะ โดยเฉพาะเรื่องการตัดเกรด สนใจค่ะ ;D
โจ้อยู่ Solothurn เรียนประถม 1-6 แล้วถึงขึ้นมัธยม ระดับมัธยมที่เมืองที่โจ้อยู่ก็แบ่งโรงเรียนออกเป็น 3 ระดับตามความสามารถของเด็ก คือ A B C (ขอเรียกเอาเองอ่ะคะ) สิ่งนี่ล่ะค่ะที่โจ้ยังกังวลใจอยู่ เพราะที่สวิสไม่มีโรงเรียนกวดวิชาเหมือนเมืองไทย ใจตัวเองอยากให้ลูกสาวเรียนในโรงเรียนระดับ A เพราะใกล้บ้านไม่ต้องนั่งรถเมล์ กลับมาทานข้าวที่บ้านได้ จะเดิน หรือปั่นจักรยานไปก็ได้ และคิดว่าสภาพแวดล้อมของโรงเรียน เพื่อนร่วมชั้นเรียน น่าจะดีกว่า  ::)

แต่ปัญหาก็คือ ลูกสาวปัจจุบันอยู่ ป.2 เป็นเด็กที่เรียนปานกลางค่ะ แต่ขยันทำการบ้าน ไม่เคยบ่นถึงจะเยอะจะยาก บอกอย่างเดียวว่า "แม่หนูเหนื่อยสมองจัง" เค้าจะค่อนข้างถนัดไปในด้านศิลปะ วิชาที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์ หรือทำกิจกรรมซะมากกว่า แต่พวกวิชาการอย่างเลข หรือภาษาเยอรมันยังกลาง ๆ ไม่ถึงกับดี ตัวโจ้เองก็ไม่ได้เคี่ยวเข็ญลูกให้ต้องเรียนให้เก่ง ต้องได้ที่ 1 แต่ต้องการให้ลูกเกาะกลุ่มแล้วได้ตัดเกรดไปเรียนในโรงเรียนระดับ A นะคะ   ;D

จึงอยากรบกวนคุณสปาร์เข้ามาเล่าให้ฟังหน่อยค่ะว่าเค้าตัดเกรดกันยังไงในระดับประถมเพื่อขึ้นระดับมัธยม และใช้เกณฑ์อะไรตัดสิน โจ้จะได้เตรียมปูพื้นฐานลูกได้ถูกและทัน ทุกครั้งที่เข้าไปฟังเวลาประชุมผู้ปกครอง ก็จะคอยจำว่า ระดับนี้เค้าสอนอะไรกัน เด็กต้องรู้เรื่องอะไรบ้างในระดับนี้ แล้วก็ช่วยสอนเสริมให้ลูกเท่าที่ตัวเองทำได้ แล้วลูกจะจำได้อ่ะคะ ;D
อย่าหยุดที่จะเดินหาโอกาส

spa

สวัสดีค่ะคุณโจโจ้
เรื่องตัดเกรดนั้นขอยำ้ว่าแต่ละ Kanton ไม่เหมือนกันแต่ถ้าเป็นที่ kanton ที่อยู่นั้นเค้าตัดที่ 5.2 เคยได้ยินลูกเพื่อนที่อยู่ kanton Zug ตัดเกรดที่ 5.5 โหดมากเพราะว่าเด็กแต่ละคนมีความสามารถไม่เหมือนกัน
ลูกสาวคุณโจ้อยู่ ป.2 ยังมีเวลาเตรียมตัวทางโรงเรียนจะเน้นวิชาหลักเช่น เลข และภาษาเยอรมัน และวิชาประวิติศาสตร์ ส่วนที่เหลือเป็นส่วนประกอบถ้าลูกเรียนอยู่ที่ระดับปานกลางเค้ายังมี Capacitiy ที่จะรับได้ขยันหัดฝึกฝนไม่ว่าเลขหรือภาษาเยอรมันส่วนวิชาประวัติศาสตร์นั้นอาศัยท่องจำ
จำไม่ได้ว่าชั้น ป.2 เค้าเรียนอะไรกันบ้างเลขก็คงจะนับจากหลักหน่วยไปจนถึงหลักพัน บวกและลบ และวิธีการของเค้าที่เรียนก็ต่างจากที่เราเรียนฉะนั้นคุณโจ้จะปวดหัวมากเวลาที่สอนเค้าเพราะเค้าจะเถึยงว่าครูไม่ได้สอนอย่างนี้ตัวเราต้องมาหัดเรียนอย่างที่เด็กเรียนแล้วก็ค่อยๆสอนไปไม่ยากเกินความสามารถ
ส่วนภาษาขยันเปิดดูแกรมม่าส่วนมากเค้าจะสอนไม่เหมือนคนต่างชาติที่เรียนภาษาเยอรมันเค้าจะสอนแบบธรรมชาติเหมือนที่เราโตมากับภาษาไทยพอถามเราก็จะตอบไม่ได้ว่ามันมาอย่างไรเพราะเก็บเอาไว้กับครูหมดแต่ก็จะโชคดีอย่างถ้าเด็กเป็นเด็กสองภาษาคือภาษาแม่เป็นต่างภาษาที่ไม่ใช่สวิสนั้นทางโรงเรียนเค้าก็จะช่วยเน้นสอนภาษาเยอรมันให้พิเศษได้กำไรไป
เพราะอย่าลืมว่าเด็กสวิสก็ต้องเรียนภาษาเยอรมันที่เป็นภาษาเขียน
คุณพ่อบ้านจะมีส่วนช่วยได้มากหากเอาเวลามาใส่ใจเด็กอย่าปล่อยเวลาให้ผ่านเริ่มแต่เนิ่นๆแต่ไม่ใช่ยัดเยียดเด็กจะเบื่อหัดให้เค้ารู้จักเวลาว่าเวลาไหนควรจะทำอะไรเช่นอนุญาติให้ดูทีวีได้หลังจากทำการบ้านและให้เวลาเด็กเล่นเพราะว่าเด็กก็ยังเป็นเด็กวันเสาร์อาทิตย์มีเวลาก็ให้เค้าทบทวนวิชาที่เรียนเช่นประวัติศาสตร์ถ้ายังไม่ได้เรียนวิชานี้ในชั้น ป.2 ก็ช่วยเค้าทบทวนวิชาเลขหรือภาษาไป
ลูกๆของพี่เรียนอยู่ในระดับปานกลางก็อยู่ในกลุ่มท่ีเอาตัวรอดได้ถ้าเด็กอยู่ในสังคมที่ดีสภาพแวดล้อมที่ดีบรรยากาศในบ้านดีเรื่องเรียนก็เป็นปัญหาน้อยแต่เราต้องเป็นตัวดัน
มีข้อเตือนใจอยู่อย่างจริงๆแล้วชีวิตของเด็กในเรื่องนี้มันเพิ่งจะเริ่มต้นถ้าจะวัดกันจริงๆก็ต่อเมื่อเด็กออกไปทำมาหากินแล้วอย่าพยายามเอาลูกไปเปรียบเทียบใครอันนี้สำคัญมาก
การคาดหวังก็เป็นสิ่งสำคัญวิธีที่จะทำให้เด็กไม่รู้สีกอึดอัดใจนั้นก็คือพยายามคุยกับลูกมากๆถามเค้าก่อนว่าเค้าต้องการเป็นอะไรวาดฝันและพยายามทำให้ดีที่สุดเวลาที่เค้าผิดหวังก็ปลอบใจและให้กำลังใจแก้ไขในสิ่งที่ผิดพลาดและอย่าไปยำ้และตั้งเป้าหมายใหม่
ส่วนตัวจะบอกลูกว่ามันเป็นชีวิตของพวกเค้าอนาคตอยู่ในมือของเค้าเองคนเป็นพ่อและแม่ต้องการให้สิ่งที่ดีที่สุดส่วนที่เหลือเด็กจะตามเราหรือเปล่าก็เป็นอีกเรื่องหนื่ง
เลี้ยงเด็กวัยรุ่นก็สนุกไปอีกอย่างนะทำตัวให้กลมกลืนกับเด็กแล้วความลับอะไรก็ช่างเค้าก็จะบอกเราแต่ก็ให้อยู่ในเขตแดนที่เรากำหนดเพราะว่าเราเป็นพ่อแม่ถึงเวลาที่จะใช้กฏก็ต้องใช้ขื้นอยู่กับเหตุการณ์และพูดหรือสัญญาอะไรก็ต้องทำอย่างนั้นไม่อย่างนั้นจะมีข้ออ้างสารพัด
วันหลังมีอะไรถามได้นะคะ
สปาร์
สิ่งที่อึดอัดใจที่สุดของพี่ก็คือเรื่องนี้เพราะว่าเด็กสวิสจะเคร่งเครียดยิ่งโตไปยิ่งเคร่งเครียดให้สังเกตุดูพวกเค้าไม่ค่อยหัวเราะ

spa

ต่อ
ครอบครัวของพี่เป็นอะไรท่ีต่างจากคนอื่นพ่อบ้านไม่ค่อยอยู่บ้านแต่เรามีวิธีสื่อสารคือโทรศัพท์ช่วงที่เด็กๆมาทานอาหารกลางวันพ่อจะถามว่าเด็กมีปัญหาเรื่องเรียนอะไรบ้างวันเสาร์อาทิตย์ก็จะเอาเวลานั้นมาทบทวนกัน

เรื่องกิจกรรมก็จะเข้ามามีส่วนอย่างมากกับเรื่องเรียนอยู่ที่การจัดการของแต่ละครอบครัวเรื่องนี้สำคัญถ้าเด็กชอบทำอะไรก็สนับสนุนอย่ายัดเยียดและอย่าเอาอย่างใครถ้าเด็กบอกว่าเพื่อนเล่นอย่างนั้นอย่างนี้หนูอยากทำบ้างให้ไปลองดูก่อนแล้วค่อยมานั่งคุยกันว่าจะทำจริงหรือเปล่าถ้าอยากทำมากแทบจะถวายชีวิตเพื่อสิ่งที่เค้าต้องการอันนี้ตกลงห้ามเลิกกลางคันและเน้นยำ้ว่าต้องมีวินัยตรงต่อเวลา

อะไรๆมันจะเกี่ยวพันกันหมดรวมทั้งเวลาของผู้ปกครองว่าเราสามารถทำได้หรือเปล่าถ้าเราทำไม่ได้เราก็ต้องปฏิเสธ

เราอยากให้ลูกเราเป็นอย่างไรเราต้องทำอย่างนั้นเช่นบอกลูกให้รักษาความสะอาดแล้วตัวเราเองไม่ทำเด็กมันก็จะเถียงแถมย้อนให้เราแสบๆอีก

ถ้าเด็กอ่อนวิชาอะไรเราก็เน้นตัวนั้นส่งเค้าไปเรียนกับคนที่เค้ารับจ้างสอนมันจะมีติดประกาศตามร้านค้าขยันไปดูและเก็บเบอร์โทรเอาไว้เผื่อเด็กมีปัญหาจะได้ปูพื้นแต่เนิ่นๆ

คนส่วนใหญ่ในสวิสไม่ได้จบมหาวิทยาลัยเพราะเค้าาจะคัดเด็กออกไปเรื่อยๆจนกว่าจะได้หัวกะทิจริงๆ

เอาไว้ต่อวันหลังนะคะต้องทำงานบ้านแล้ว
สปาร์

spa

ต่อ
เรื่องระบบการศีกษาในสวิสนั้นถ้าให้เขียนแล้วยาวดังนั้นขอความกรุณาเข้าไปค้นหาข้อมูลเก่าของป้าพอลที่เคยโพสเอาไว้แล้วจะได้ข้อมูลที่ถูกต้อง

สิ่งที่เขียนนั้นเป็นประสบการณ์ล้วนๆถ้าคุณโจ้มีคำถามอะไรเกี่ยวกับลูกถามได้นะคะเพราะว่ามีทั้งลูกสาวและลูกชายปัญหาคนละแบบ

ความวิตกกังวลของพ่อแม่เป็นเรื่องปกติทางที่ดีพยายามอย่าไปวิตกกังวลล่วงหน้าเพราะว่ามันเกิดขื้นกับตัวเองบ่อยๆพอถึงเวลาที่มีปัญหาเข้าจริงมันไม่ได้เป็นอย่างนั้น

คิดวันต่อวันวัยรุ่นไม่เคยคิดเกิน 24 ชั่วโมงอย่าคาดหวังกับเค้ามากเพราะอะไรที่เราวางแผนไว้ส่วนมากจะไม่เป็นตามนั้นพวกเค้าดูเหมือนจะโตแต่ความจริงพวกเค้าต้องเรียนรู้อีกมากมายไม่ว่าในตำราหรือการใช้ชีวิตประจำวันรวมทั้งการเข้าสังคม

โชคดีค่ะ
สปาร์

Jojo

ขอขอบคุณ พี่สปาร์อย่างมากอีกครั้งค่ะ (ขออนุญาตเรียกพี่เลยนะคะ  ;D)ยังไงคงจะได้ถามในเรื่องต่อ ๆ ไปอีกแน่นอนค่ะ  :-* :-*


อย่าหยุดที่จะเดินหาโอกาส