การซื้อบ้าน กับการลดหย่อนภาษี

Previous topic - Next topic

โคง่น

จริงมากน้อยเพียงใดค่ะ ถ้าเราซื้อบ้านที่ต้องผ่อนกับธนาคารนานๆ และ พอสิ้นปี เราจ่ายภาษีน้อยกว่า คนที่เช่าบ้านอยู่เป็นรายเดือน  
 หรือคนที่มีภาระที่ต้องจ่ายบ้านเป็นงวดๆ กับทางธนาคาร จ่ายภาษีถูกกว่า ตอนที่เช่าบ้านอยู่กี่เปอร์เซ้นค่ะ หรือไม่ต้องจ่ายเลย  
 

**กระทู้นี้เป็นกระทู้เดิมหมายเลข 0090 ห้อง stories_life (เผื่อใช้ในการค้นหา)**

pall

ขอพูดเกี่ยวกับที่พักอาศัยคร่าวๆ
 ไม่ได้เกี่ยวข้องกับที่ถามแต่อยากเขียนให้อ่านไว้
 ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับคำถามที่ถามมาตอนท้ายๆ
 
 **ที่อยู่อาศัย...**
 ที่อยู่อาศัยจะมี2แบบคือ
 1.แบบเช่าอยู่.....
 อพาตเม้นท์Wohnung
 2ซื้อเป็นของตนเอง...
 แบบบ้านส่วนตัวหรือห้องชุดส่วนตัวWohnung
 

pall

**ความแตกต่างของที่พักอาศัยที่ซื้อเองและเช่าเขาอยู่**
 
 **อพาตเม้นท์Wohnungแบบเช่าอยู่อาศัย**
 จะเป็นแบบรวมNebenkosten(NK)
 ซึ่งได้ทำสัญญาตกลงไว้ในMietvertrag,
 ซึ่งหมายถึงค่าน้ำ..ค่าไฟ.ค่าเครื่องทำความร้อน...
 การดูแลรักษาสถานที่นอกที่พักฯลฯ..เป็นต้น
 ไปเรียบร้อยแล้วหรือยังไม่ได้รวมเข้าไป
 เราแค่จ่ายค่าเช่าบ้านทุกเดือนก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว
 นอกจากบางปีที่นำมันมีราคาสูงเพิ่มขึ้นมาก
 อาจจะต้องจ่ายเพิ่มขึ้นแต่บางปีอาจจะได้รับเงินคืนกลับมา
 ถ้าค่า Nebenkosten(NK)ลดน้อยลง
 การเช่าอพาตเม้นท์Wohnungแบบนี้เราไม่ต้องกังวลกับปัญหาต่างๆตามมา
 เกี่ยวกับการซ่อมแซมของใช้ในที่พักที่ชำรุดเสียหาย
 เช่นน้ำรั่ว...น้ำไม่ไหล..เครื่องดูดควันเสียหาย..ฯลฯเป็นต้น
 แต่ถ้าเราทำของเขาเสียหายเช่นทำของหล่นใส่อ่างอาบน้ำ
 จนอ่างอาบน้ำกะเทาะ..หรืออ่างล้างหน้าสีกะเทาะ...ฯลฯ
 ถ้าเป็นแบบนี้เราต้องแจ้งประกันเราให้มาซ่อมแต่ถ้าไม่มีประกัน
 เราต้องออกเงินซ่อมเอง....
 **(อันนี้สำคัญ.)
 ถ้าของใช้ที่เราทำชำรุดเสียหายมีอายุมากเราไม่ต้องจ่ายเงินซ่อมของเหล่านี้
 เราต้องดูให้ดีไม่เช่นนั้นจะเป็นการเสียเปรียบไป
 

pall

***ที่พักอาศัยที่ซื้อไว้เองเป็นของเราเอง**
 **ถ้าเป็นแบบอพาตเม้นท์Wohnung**
 **ข้อดี..**
 เกี่ยวกับNebenkosten(NK)...
 เงินส่วนกลางที่เราต้องจ่ายNK..
 เงินNK...ส่วนนี้ทุกคนที่ซื้อห้องพัก..จะต้องช่วยกันออก  
 เขาจะคิดตามจำนวนห้อง... และเงินNK..เราจะต้องจ่ายทุกเดือน..  
 บางแห่งจะให้เราจ่ายปีละ2หน...  
 จะมีคนกลางทำหน้าที่ดูแลให้เรา..  
 บ้านพักที่เราซื้อแบบนี้เราเรียกว่า  
 Stockwerkeigentuemer Liegenschaft  
 การจ่ายจะคิดรวมกันทั้งหมดและช่วยกันจ่าย  
 
 NK..เป็นค่าใช้จ่ายข้างนอก.เช่นค่าน้ำ..ค่าไฟ..  
 ค่าเก็บขยะ..ที่จอดรถ(บางแห่งรวมไป..บางแห่งแยกจ่าย)  
 ค่าทำความสะอาดบันได..ทำสวน...ฯลฯ...  
 บ้านพักแบบนี้..จะมีทุนเงินกองกลาง..  
 ที่เราจ่ายเก็บสำรองไว้ใช้จ่ายซ่อมแซม  
 ทาสีรอบบ้าน..เครื่องทำความร้อนพัง..หรือ  
 ...ฯลฯ...เงินสำรองส่วนนี้เราเรียกกันว่าFond  
 เงินส่วนนี้จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับเจ้าของ  
 ที่ซื้อบ้านอยู่รวมกันยินยอมพร้อมใจจ่ายเงินเข้าFond  
 บางแห่งมาก..บางแห่งน้อย..  
 **เงินNK...นำมาลดหยอ่นภาษีไม่ได้**
 
 **ข้อเสีย..ของการซื้อบ้านพักWohung.**
 เราคิดอยากจะทำอะไร..ตัดสินใจทำอะไรตามอำเภอใจไม่ได้
 ต้องปรึกษาหารือกันก่อน..ถ้าทุกคนพร้อมใจกันก็ทำได้
 เช่นอยากตัดต้นไม้หรืออยากปลูกดอกไม้..หรืออยากขุดหลุม
 ก็ต้องถามความเห็นของคนอื่นๆก่อน...
 **ข้อดี...ของการซื้อบ้านพักWohung**
 เราไม่ต้องรับผิดชอบรายจ่ายคนเดียว
 มีคนช่วยออกค่าใช้จ่ายด้วย
 
 **ข้อดีของบ้านส่วนตัว**
 เป็นอิสระทำอะไรได้ทุกอย่างไม่ต้องปรึกษาหรือถามความเห็นของใคร
 ถ้ามีเงินพร้อมกับรายจ่ายทั้งหมด
 **ข้อเสียของบ้านส่วนตัว**
 ต้องออกค่าใช้จ่ายคนเดียว
 

pall

**การซื้อบ้านส่วนตัว..หรือแบบอพาตเม้นท์Wohnung**
 จะซื้อแบบจ่ายเป็นเงินสดหรือแบบขอยืมเงินจากธนาคารมาซื้อ
 แต่ส่วนมากจะเป็นแบบหลังคือขอยืมเงินจากธนาคารและจ่ายดอกเบี้ย
 ให้แก่ธนาคาร..ซึ่งสามารถขอลดหย่อนภาษีแต่ละปีได้
 การขอยืมเงินจากธนาคารมาขอซื้อบ้านหรือWohnungส่วนตัว
 สามารถขอยืมเงินจากธนาคารต่างๆได้หลายแห่งในสวิตฯ
 และแต่ละแห่งจะมีการคิดดอกเบี้ยให้ลูกค้าแตกต่างกันไป  
 ขึ้นอยู่กับสัญญาที่ทำกัน...และสัญญาปีที่ตกลงกันว่าทำกันกี่ปี  
 เช่น...
 เราตกลงทำสัญญาดอกเบี้ย2.80%ภายในกำหนด3ปี
 ไม่ว่าดอกเบี้ยจะขึ้นหรือลดลง...เราก็จ่ายดอกเบี้ยทีทำไว้กับธนาคาร
 2.80%จนครบ3ปี..ถ้าดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเราโชคดีไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น
 แต่ถ้าดอกเบี้ยลดลงเป็น2%แบบนี้เราขาดทุนที่ต้องจ่ายดอกเบี้ย2.80%
 จนครบ3ปี
 
 การขอยื่นเรื่องขอยืมเงินต่อธนาคาร  
 จะยุ่งยากซับซ้อน..และไม่เหมือนกัน.  
 การยื่นกรอกข้อมูลจะละเอียดมาก  
 เขาจะถามถึงรายละเอียดมากมาย  
 ไม่ว่าอาชีพ...อายุของผู้ขอยืมเงิน....
 หลักฐานที่นำมาค้ำประกันขอบอกว่าละเอียดมาก  
 จนบางครั้งคนที่อยากจะขอยืมเงินจากธนาคาร  
 แทบจะยกเลิกความคิดขอยืมเงินไปเลย  
 สรุปสั้นๆคือธนาคารจะระมัดระวังมาก  
 
 ถ้าเราจ่ายEK...ในวงเงินที่สูงพอควร  
 มีหลักฐานประวัติการเงินของคนยืม
 ไว้วางใจได้....แบบนี้มักจะไม่มีปัญหาธนาคารจะตกลงให้ยืมเงิน
 บางคนอาจจะไม่เข้าใจกับคำว่าEK  
 
 **EK…**
 คำว่าEK....ในที่นี้หมายถึง  
 Eigenkapital...เป็นเงินสดที่เราต้องจ่าย  
 ให้แก่คนที่ขายบ้านหรือห้องพักให้เรา  
 การคิดถึง%การจ่ายเงินสด..เป็นข้อตกลงกันระหว่าง คนซื้อและคนขาย..  
 บางแห่งคิดแค่10%....15%...หรือ20%.............  
 เช่นห้องพักWohnungหรือบ้านราคาขาย....จำนวน..4แสนสวิสฟรังก์  
 เจ้าของบ้านหรือWohnungต้องการให้เราจ่ายเงินสด Eigenkapital จ่าย 20%
 หมายถึงเราต้องวางเงินดาวน์จ่ายเงินสดให้คนขายบ้านหรือWohnung
 8หมื่นสวิสฟรังก์...(ราคาบ้านบอกขายราคา400,000 สวิสฟรังก์)  
 เอาเงินจำนวน8หมื่นสวิสฟรังก์...นี้หักออกจาก4แสนสวิสฟรังก์  
 เราจะเหลือเงินจำนวน3แสน2หมื่นสวิสฟรังก์  
 เงินจำนวนนี้เราไม่มีเงินที่จะจ่ายให้แก่เจ้าของบ้านหรือWohnungเลย
 เราจำเป็นต้องไปขอยืมจากธนาคาร......
 ดังนั้นเงินส่วนที่เหลือจำนวน3แสน2หมื่นสวิสฟรังก์
 เราเป็นหนี้ธนาคาร...ซึ่งเราจะต้องทำการจ่ายดอกเบี้ยให้ธนาคาร
 ตามที่ทำสัญญาเอาไว้ว่าทำกันกี่ปี
 และดอกเบี้ยที่เราต้องจ่ายให้ธนาคารตลอดเวลานี้เราเรียกว่า Hypothek..(ฮิโปรเทค)
 

pall

**Hypothek..(ฮิโปรเทค)**
 ธนาคารจะคิดเงินดอกเบี้ยที่เราขอยืมมา
 ดอกเบี้ยที่ทางธนาคารให้เราจ่ายนี้เราเรียกว่า Hypothek..(ฮิโปรเทค)
 Hypothek..(ฮิโปรเทค)  
 เป็นดอกเบี้ยที่เราตกลงกับธนาคารไว้  
 ว่าเราต้องจ่ายดอกเบี้ยเงินที่*้ธนาคารมา  
 แล้วแต่ธนาคารแต่ละแห่งเขาจะคิดกี่%  
 และ Hypothek...แบ่งออกเป็นหลายอย่าง  
 และบางธนาคารอาจจะเรียกชื่อไปอีกแบบหนึ่ง
 เช่นerste Hypothek...และ  
 zweite Hypothek
 แต่สรุปแล้วลักษณะจะคล้ายกัน
 ยกตัวอย่างเช่นของธนาคารUBS
 การทำสัญญาขอยืมเงินมาซื้อบ้านจะคิดดอกเบี้ย
 ลักษณะแบบนี้
 A..Portfolio-Hypothek  
 B.Festhypothek.....  
 

pall

A..**Portfolio-Hypothek **
 ธนาคารแต่ละแห่งจะเหมือนกันหมด
 คือเขาจะคิดจำนวนเงินที่เราขอยืมมา
 ออกมาก้อนหนึ่งขึ้นอยู่กับจำนวนเงิน
 แล้วเขาจะคิดออกมาจำนวนหนึ่งในวงเงินที่กำหนดให้
 และเงินจำนวนนี้เราสามารถผ่อนจ่ายแต่ละเดือน
 จนเราเลิกเป็นหนี้ธนาคาร....เงินแบบนี้คล้ายๆของไทยเราคือ
 จ่ายไปหมดแต่ละงวดและหักออกจากหนี้ที่เราขอยืมมา
 ส่วนวงเงินที่เหลือที่เราขอยืมมาเราไม่สามารถหักออกไปแบบนี้
 เราต้องจ่ายดอกเบี้ยไปตลอดจนกว่าเราจะหาเงินสดมาจ่ายลบหนี้
 ที่ขอยืมมา
 
 Portfolio-Hypothek เป็นเงินที่เราจ่ายให้แก่ธนาคาร  
 และจะหักหนี้สินออกไปเลย  เราไม่เป็นหนี้ธนาคารอีกต่อไป  
 และเงินจำนวนนี้จะหักออกจากเงินที่เราขอยืมออกไป  
 จะเหลือเงินที่เราขอยืมออกมาน้อยลง  
 Portfolio-Hypothek....  
 เป็นสัญญาการจ่ายเงินที่ทางกฎหมายได้วางไว้  
 เช่นเรายืมเงินจากธนาคารมาทั้งหมดจำนวน 3แสน2หมื่นสวิสฟรังก์  
 ทางธนาคารคิดเงิน Portfolio-Hypothek....  
 เป็นจำนวนเงิน17,000 สวิสฟรังก์  
 เงินจำนวน17,000 สวิสฟรังก์...เราต้องจ่ายให้เขาทุกเดือน
 **รวมดอกเบี้ยไปด้วย**
 เมื่อเราจ่ายแต่ละเดือนจนครบกำหนดจนครบ17,000 สวิสฟรังก์...
 ก็นำเงินจำนวน17,000 สวิสฟรังก์...นี้จะหักออกจาก3แสน2หมื่นสวิสฟรังก์  
 เป็นอันว่าเราจะเหลือเงินทีขอยืมจากธนาคารเป็นจำนวนแค่  
 303,000 สวิสฟรังก์ ....เท่านั้นเอง
 ที่เราต้องจ่ายFesthypothek....ต่อไปข้างหน้า  
 

pall

B…***Festhypothek..... ***
 เป็นอัตราดอกเบี้ยที่เราเริ่มทำสัญญาขอยืมเงิน
 ตอนที่ทำสัญญากันเอาไว้ว่าเงินที่ขอยืมมานั้นทำไว้ในจำนวนกี่ปี  
 กับทางธนาคาร...และเราต้องจ่ายจนกว่าจะหมดสัญญา  
 จึงทำกันใหม่..และดอกเบี้ยจะต่ำหรือสูง..ค่อยว่ากันใหม่  
 เราต้องาตัดสินใจว่าจะทำสัญญา ขอยืมเงินจากธนาคารกี่ปี
 หรือทำแบบปีต่อปี..แบบรอดูอัตราดอกเบี้ยว่าช่วงนี้เขาคิดกี่%  
 หรือถ้าเราไม่อยากเสี่ยงวัดดวงว่าดอกเบี้ยจะถูกลง  
 และเราทำสัญญา....2ปี...3ปี..หรือ5ปี..  
 ถ้าช่วงนี้ดอกเบี้ยลดลงเราก็ขาดทุนหน่อยที่ต้องจ่ายในราคาแพง  
 แต่ถ้าดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นมาก..เราจะได้กำไร..เพราะทางธนาคาร  
 ไม่สามารถคิดเงินเราเพิ่มได้...เพราะทำสัญญาตกลงกันไว้  
 เรื่องนี้คนขอยืมเงินจากธนาคารต้องคิดให้รอบคอบว่าอยากจะเสี่ยงหรือทำสัญญา  
 ระยะยาวไว้เลย...
 

pall

**Amortisation.**
 และถ้าบ้านพักของเรา..ทางธนาคารจะดูว่าเราปรับปรุง  
 หรือซ่อมแซมทำอะไรใหม่หรือเปล่า  
 ถ้าเราไม่ทำการปรับปรุงอะไร..บ้านหรือWohnung
 ยังอยู่ในสภาพเดิมทุกอย่างไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร
 เหมือนเราซื้อรถยนต์มาใหม่ซิงๆ
 เมื่อใช้ทุกวันรถก็อยู่ในสภาพเสื่อมลง
 บ้านก็คล้ายๆกันดังนั้นทางธนาคารจะคิดเงิน
 ให้เราต้องจ่ายแก่ทางธนาคารเพราะบ้านอยู่ในสภาพเสื่อมราคาลง
 เงินส่วนที่เราต้องจ่ายส่วนนี้เป็นเงินที่ทางธนาคารทำไว้เพื่อ
 ไม่ให้ธนาคารขาดทุนจากราคาบ้านที่เราไปขอยืมมา
 เงินส่วนที่ธนาคารคิดค่าสึกหรอของบ้านแบบนี้
 เราเรียกว่าAmortisation...ซึ่งธนาคารจะคิดประมาณ1%  
 ที่เราต้องจ่ายให้ทางธนาคาร.
 

pall

**Notariat +ค่าธรรมเนียมโอน**
 การซื้อขายจะทำกันเองไม่ได้ต้องผ่านNotariat  
 ซึ่งจะทำKaufvertrag...ให้คนซื้อและผู้ขาย..  
 ซึ่งมีทั้งKaufpreis...ราคาซื้อขายกัน  
 และรวมทั้งSchuldbrief...หนี้สินที่คนซื้อค้างอยู่  
 และจะยื่นเรื่องราวต่างๆไปยังเขตที่อยู่  
 การทำงานของNotariat  
 จะซับซ้อนมาก...บางคนอาจจะงง..  
 ที่เราต้องจ่ายเป็นเงินจำนวนมากนี้ขึ้นอยู่กับNotariat  
 การจ่ายเงินจะแบ่งออกหลายอย่างเช่น  
 Grundgebuehren...เป็นอัตราค่าธรรรมเนียม  
 Gebuehren und Honorar ..ค่าใช้จ่ายการติดต่อต่างๆ  
 Auslagen….เงินจ่ายทดลองต่างๆ  
 MWST  
 Grundbuchauszuege  
 
 Grundbuchamt  
 Handaenderungssteuer  
 Grundbuchgebuehren.....เป็นต้น  
 นี่คือเหตุผลว่าทำไมเราตอ้งจ่ายค่าโอนบ้านราคาแพงมาก  
 เป็นหมื่นกว่าสวิสฟรังก์ขึ้นไป.
 บางคนอาจจะจ่ายถูกลงถ้าเป็นคนรู้จักกันหรือคนภายในครอบครัวที่มีอาชีพนี้
 

pall

มาเข้าจุดที่เจ้าของกระทู้ถามมาว่า
 การซื้อบ้าน กับการลดหย่อนภาษี
 
 จริงมากน้อยเพียงใดค่ะ ถ้าเราซ์อบ้านที่ต้องผ่อนกับธนาคารนานๆ และ พอสิ้นปี เราจ่ายภาษีน้อยกว่า คนที่เช่าบ้านอยู่เป็นรายเดือน  
 หรือคนที่มีภาระที่ต้องจ่ายบ้านเป็นงวดๆ กับทางธนาคาร จ่ายภาษีถูกกว่า ตอนที่เช่าบ้านอยู่กี่เปอร์เซ้นค่ะ หรือไม่ต้องจ่ายเลย
 
 **คำถาม**
 จริงมากน้อยเพียงใดค่ะ ถ้าเราซื้อบ้านที่ต้องผ่อนกับธนาคารนานๆ
 **คำตอบ**
 ดอกเบี้ยที่จ่ายแก่ธนาคารทุกเดือนนั้น
 เป็นการจ่ายดอกเบี้ยเท่านั้นไม่รวมเงินต้น
 ดังนั้นขอตอบว่าจะนานแค่ไหน
 ขึ้นอยู่กับคนซื้อว่าจะนำเงินมาจ่ายคืนแก่ทางธนาคารที่ไปขอยืมมาเมื่อไร...
 ถ้านำเงินมาจ่ายคืนก็หมดหนี้สินกันไป
 

pall

**คำถาม**
 จริงมากน้อยเพียงใดค่ะ ถ้าเราซื้อบ้านที่ต้องผ่อนกับธนาคารนานๆ และ พอสิ้นปี เราจ่ายภาษีน้อยกว่า คนที่เช่าบ้านอยู่เป็นรายเดือน  
 **คำตอบ**
 เกี่ยวกับเรื่องนี้ขอบอกก่อนว่าเป็นเรื่องซับซ้อนยุ่งยากต่อการทำความเข้าใจ
 และป้าเองก็ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับกับเรื่องนี้ขอตอบคร่าวๆ
 เกี่ยวกับเรื่องนี้ตามประสบการณ์ของตัวเอง
 ที่เป็นทั้งคนเคยเช่าบ้านและคนมีห้องพักที่ซื้อไว้แล้ว
 
 **เช่าบ้านพักWohnung**
 อย่างในใบกรอกภาษีจะมีให้เรากรอกไว้
 ไม่ว่าจะเป็นค่าเช่าบ้าน..ค่าใช้จ่ายในบ้านต่างๆ...
 ทางเขตหรือรัฐที่อยู่จะคิดตามจำนวนคนในครอบครัว
 และให้กำหนดยอดที่สามารถนำมาหักขอลดภาษีได้ไม่เกินกว่าที่ตั้งเอาไว้
 
 **ถ้าซื้อบ้านส่วนตัวหรือบ้านพักWohnung**
 แต่คนที่ซื้อบ้านส่วนตัวหรือบ้านพักWohnung
 จะต้องจ่ายเงินGrundstueckwert
 (ราคาประเมิลของบ้านว่าบ้านที่ซื้อมาว่ามีค่าแค่ไหน..จะดูว่าอยู่ใกล้ไกล
 จากศูนย์กลางคมนาคมหรือไม่)
 ถ้าประเมิลในราคาสูงเราก็ต้องจ่ายภาษีโรงเรือนมากหน่อย
 และนอกจากนั้นก็จะคิดต่อไปอีกว่าบ้านหรือบ้านพักWohnung
 จะถูกคิดแบบMietwertว่าควรจะอยุ่ในราคาเท่าไรต่อเดือน
 ทั้งหมดจะถูกรวมเข้าไปในLiegenschaftssteuer
 รวมอยู่ในรายได้ของเรา
 แต่เราก็ยังสามารถขอลดหย่อยภาษีตามจำนวนคนภายใน
 ครอบครัวออกได้ตามที่ทางเขตหรือรัฐที่อยู่กำหนดเอาไว้
 **ข้อดี**
 เงินดอกเบี้ยที่เรายืมมาจากธนาคารสามรถนำมาลดหย่อนภาษีได้หมด
 และเงินค่าซ่อมแซมส่วนสึกหรอของบ้าน
 สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ด้วย
 และถ้าเราดัดแปลทำอะไรใหม่ในบ้านหรือนอกบ้าน
 **ต้องดูตามสถานการณ์...ไม่สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ทั้งหมด
   
 ภาษีที่จ่ายมากน้อยขึ้นอยู่กับหนี้สินที่เราไปขอ*้ยืมมาจากธนาคาร
 มาซื้อบ้านมากน้อยแค่ไหนเงินจำนวนนี้นำมาลดหย่อนภาษีได้
 เกี่ยวกับการจ่ายภาษีนี้....ทุกคนต้องจ่ายภาษีให้รัฐอยู่แล้ว
 ไม่มีใครที่ไม่ตอ้งจ่ายภาษีให้รัฐ...แต่จะจ่ายมากจ่ายน้อยกว่ากัน
 ขึ้นอยู่กับหนี้สินที่เรามีภาระอยู่
 หนี้สินที่พูดนี้หมายถึงการจ่ายดอกเบี้ยให้ทางธนาคาร
 หรือจ่ายประกันชีวิตเท่านั้น..หนี้สินอื่นๆนอกเหนือจากนี้
 ไม่สามารถนำมาขอลดภาษีได้
 
 **สรุป**  
 ดังนั้นถ้าคิดดูดีๆแล้วคนมีหนี้สินย่อมจ่ายภาษีน้อยลงกว่าคนที่ไม่มีหนี้สิน
 คนมีบ้านหรือบ้านพักWohnung
 จะได้รับการลดหย่อนภาษีมากกว่าคนไม่มีบ้านหน่อยหนี่ง
 เกี่ยวกับการคิด%ขึ้นอยู่กับเขตที่อยู่ด้วย
 

pall

รอคนที่มีประสบการณ์การซื้อบ้าน
 หรือคนที่รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้มาช่วยให้ข้อมูล
 และรายละเอียดเพิ่มขึ้นต่อไปอีกเพื่อเป็นความรู้กัน
 

โคง่น

หนูหลงไปรอคำตอบที่ห้องเก่าตั้งนาน กว่าจะเจอก็นานหน่อย ขอบคุณป้ามากๆๆๆๆเลยที่ให้ตอบตั้งเยอะ และก็ สละเวลาพิมพ์ให้หนูหนูเรื่องที่หนูถามอย่างละเอียดขอบคุณมากค่ะ ถ้าแต่ก่อนหนูพูดจาเป็นการไม่สมควรหรือความเห็นใดที่หนูลงไปไม่เหมาะสม ขอโทษป้าอีกครั้ง มา ณ ที่นี้ด้วย อละขอบคุณมากค่ะ