ช่วงนี้หลายท่านคงยุ่งกับธุุระส่วนตัว บ้านนี้เลยดููเหงาๆ ห้องอาหารก็เงียบเชียบเชียว แม่จิ๋วจิ้วฯเลยอยากจะตั้งกระทู้แก้เครียด ชวนคุยเรื่องเบาๆเกี่ยวกับความแตกต่างของการใช้ชีวิตที่นี่กับที่เมืองไทยค่ะ จะเรื่องเล็กกระจิ๋วริ๋วหรือเรื่องใหญ่ได้ทั้งนั้นค่ะ
แม่จิ๋วจิ้วฯขอเริ่มก่อนนะคะ
*ร้านอาหาร*
บ้านเราเปิดตั้งแต่เช้ายันค่ำ ดึกดื่นแค่ไหน หิวขึ้นมาก็หาที่กินได้ ส่วนที่สวิสเปิดปิดเป็นเวลา เช่น กลางวันเปิด 11 โมงถึงบ่าย 2 ตอนเย็นเปิด 6 โมงเย็น ถึง 4 ทุ่ม เป็นต้น
*ทิ้งขยะ*
บ้านเราทิ้งวันไหนก็ได้ ทิ้งได้ฟรี ขวดแก้ว ขวดพลาสติก กระดาษ เก็บไว้ขายซาเล้งได้ ส่วนที่สวิส เมืองที่แม่จิ๋วจิ้วฯอยู่ จะทิ้งขยะต้องเสียตังค์ซื้อแสตมป์มาติดที่ถุงขยะด้วย ถุงใหญ่ต้องติดแสตมป์แพงกว่าถุงเล็ก กระดาษทิ้งได้วันพฤหัสฯ ขยะทั่วไปและขยะเปียกทิ้งได้วันศุกร์ ส่วนพวกขวดแก้ว ขวดพลาสติก แบตเตอรี่ ต้องแยกทิ้งในที่ที่กำหนด
ขอออเดิร์ฟแค่นี้ก่อนนะคะ
**กระทู้นี้เป็นกระทู้เดิมหมายเลข 0282 ห้อง openroom (เผื่อใช้ในการค้นหา)**
เรื่องร้านอาหาร ดีสำหรับเรามากเลยค่ะ เพราะกำลังลดความอ้วนอยู่ 5555555
เรื่องทิ้งขยะ เดือนก่อน ก่อน เราซื้อสติกเกอร์หมด สี่สิบกว่าฟรังค่ะ โละตู้เก่าทิ้งสองใบ ใบใหญ่กับใบเล็ก ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเงินหมด
เรื่องอากาศและความสัมพันธ์ของผู้คน
ที่นี่หนาวจัด หนาวนาน บ้านใคร บ้านมัน ไม่ค่อยได้มีโอกาสพบปะพูดคุยกันบ่อย ทำให้เกิดบรรยากาศเหงาและน่าเบื่อ เด็ก เด็ก ไม่ค่อยได้มีโอกาศไปเล่นข้างนอกเพราะหนาวจัดเกินไป
เรื่องภาษา
ภาษาที่นี่เขาพูด "คุณ" กันนะทำให้รู้สึกเหิน*ง อย่างบอกไม่ถูก บางครั้งก็เกิดอาการสับสน ไม่รู้จะใช้ "คุณ" หรือ "เธอ" ดูเหิน*งกันจัง
เรื่องโรงเรียน
ดีมาก มาก เลย ไม่เก็บค่าเล่าเรียน ให้โอกาสทุกคนได้เรียนเสมอภาค ชอบมากที่สุดเลย
เรื่องคนชั้นกลาง
อันนี้ก็ชอบมาก มาก เช่นกัน ไม่มีรวยสุดโต้ง จนสุดขีด ลูกได้ไปโรงเรียนเหมือนกัน ทุกบ้านมีรถขับ มีทีวีดู มีเครื่องซักผ้า อบผ้า คือมีเหมือน เหมือนกัน มีโทรศัพท์ใช้
ว๊าย..เหนื่อยแล้วจ้า..ไว้มาเขียนต่อวันหลัง
ชอบที่สุดก็คง ไม่มีใครมาสอดแนมเรื่องของเราเหมือนที่เคยเป็นที่บ้าน(นอก)ค่ะ ต่างคนต่างอยู่แต่ก็พึ่งพาอาศัยกับเพื่อนบ้านได้เหมือนกัน แล้วที่ถูกใจอีกอย่างมาก ๆ เลยก็คือเรื่องกฎหมายที่นี่ใช้ได้จริง ๆไม่ใช่แค่เขียนไว้แต่สามารถนำมาปฏิบัติได้จริง ๆ แล้วเพื่อน ๆ ละ อะไรที่โดนใจกันบ้างฮะ
ไชโย มีคนเข้ามาคุยด้วย 2 คนแล้ว ขอบคุณมากค่า
*โทรทัศน์*
ที่สวิสต้องเสียเงินรายเดือน มี 30-40 ช่อง บ้านเราดููฟรี มี 6 ช่อง
*ผัก*
บ้านเรานับไม่ถ้วน ที่สวิสนับได้ไม่ยาก คือ
- หอมใหญ่ ( ถูกสุด )
- มันฝรั่ง ( มีหลายชนิด ทั้งลูกเล็กลูกใหญ่ ลูกเล็กผิวบางไม่ต้องปลอกเปลือก มีมันฝรั่งที่เนื้อเป็นสีม่วงด้วย )
- มะเขือเทศ ( มีทั้งลูกเล็กลูกใหญ่เช่นกัน แบบเป็นพวงไว้ประดับก็มี )
- แตงกวา ( ลูกใหญ่กว่าบ้านเราเยอะ ของสวิสผิวขรุขระสั้นประมาณคืบ ของนำเข้าผิวเรียบยาวเกือบฟุต )
- ขึ้นช่าย ( ต้นใหญ่มาก นิยมกินก้านมากกว่าใบ )
- คะน้า ( มีหัวด้วย กลมประมาณลูกเทนนิส นิยมกินหัวมากกว่าใบ )
- พริก ( มีหยวกสีแดงเหลืองเขียว พริกสดเม็ดใหญ่สีแดงสีเขียว และก็พริกชี้ฟ้าสีแดง ส่วนพริกขี้หนููต้องไปซื้อร้านไทยในเมือง )
- ผักกาดขาว
- บล็อคโคลี่
- กระหล่ำดอก ( มีดอกหลายแบบ )
- แครอท
- ถั่วฝักยาว ( แต่สั้นแค่คืบ )
- กระเทียม ( กลีบใหญ่ ขายเป็นหัว )
- สมุนไพร ( ตะไคร้ และใบกระเพรา บรรจุถุงพลาสติกเล็กๆขาย ราคาแพงมากเมื่อเทียบกับผัก )
- ฟักทอง ( หน้าตาประหลาด มีหลายรูปทรง เคยซื้อแบบจานบินมากิน เนื้อสวกๆไม่มันเลย )
*ครู*
มีครููแบบสอนเต็มเวลา และครูแบบพิเศษ ที่สอนแค่ 25% หรือ 50% จำนวนครููทั้ง 2 แบบจะพอๆกัน ครููผู้หญิงที่สอนเต็มเวลา เมื่อแต่งงานมีลูก มักจะลดเหลือสอนแค่สัปดาห์ละครั้งสองครั้ง เพื่อจะได้มีเวลาดููแลลูก เงินเดือนก็ลดลงตามไปด้วย
*รถยนต์*
รถยนต์ที่สวิสราคาถูกมากเมื่อเทียบกับรายได้ของคนที่นี่ ความรู้สึกน่าจะเหมือนคนบ้านเราซื้อมอเตอร์ไซค์ ( รถยนต์ราคาพอๆกับบ้านเรา แต่รายได้ของคนสวิสมากกว่าคนบ้านเราเป็น 10 เท่า ) แต่ถึงกระนั้นแฟนแม่จิ๋วจิ้วฯก็ยังไม่มีรถขับค่ะ ยังขี่จักรยานไปโรงเรียนอยู่เลย แต่ก็ไม่เดือดร้อนค่ะเพราะปั่นขึ้นเขาแค่ 10 นาทีก็ถึงโรงเรียน สถานีรถไฟก็ใกล้แค่เดิน 3 นาทีถึง
*แฟลต*
เท่าที่สังเกตเอาเอง 80% ของคนสวิสอยู่แฟลตค่ะ มีทั้งแบบเช่าและแบบซื้อ มีทั้งแฟลตรูปทรงสี่เหลี่ยมแบบสมัยใหม่และแบบหน้าตาเหมือนบ้านหลังใหญ่ มีแฟลตแบบห้องเดียวและแบบหลายห้อง ของแฟนแม่จิ๋วจิ้วฯเป็นแฟลตที่อยู่ชั้นล่างของบ้านหลังหนึ่ง ขนาด 3 1/2 ห้อง ( ห้องนอน 1 ห้อง, ห้องรับแขก 1.5 ห้อง และ ห้องทำงาน 1 ห้อง ส่วนห้องครัวและห้องน้ำ เขาจะไม่นับรวมไปด้วยค่ะ เพราะถือว่าเป็นห้องสามัญที่ต้องมีกันอยู่แล้ว ) ค่าเช่า 1,100 ฟรังค์ต่อเดือน หรือประมาณ 15% ของรายได้
สวัสดีค่ะทุกๆคน
ป้าเพิ่งเอาข้อมูลการแต่งงานมาลงในห้องกฎหมาย
แล้วจะเข้ามาคุยด้วย..
เป็นทู้ที่น่าสนใจมากจริงๆ
เรื่องเรียนภาษาขอบอกว่าแพงสุดๆๆ ไม่มีฟรีหรือถูกคะ ตกเดือนละ 30.000 บาทคะ
สวัสดีค่ะทุกๆคน
มาช่วยเขียนต่ออยู่อย่างในสวิตฯต่อ...
**เกี่ยวกับการส่งเสียงดัง...อยู่ในสวิตฯ**
จะมีกฎเขียนบอกไว้เลย
บางแห่งในใบสัญญาเช่าบ้านจะมีระบุกฎไว้
หรือบางแห่งจะมีแผ่นประกาศที่เขาเขียนไว้การอยู่ร่วมกัน
มีกฎห้ามอย่างไรบ้าง...และถึงแม้เราจะมีบ้านเองก็ไม่ละเว้น
**ยกตัวอย่าง**
**เวลา12.00น.-13.00.น.ห้ามการทำงานที่ใช้เสียงดัง
ไม่ว่าจะเป็นการตัดหญ้าหรือ...ฯลฯ..
เพราะถือว่าเป็นเวลาพักผ่อน
หลัง22.00น.ไปแล้ว...เราต้องระมัดระวังการส่งเสียงดัง
ถ้าเราเปิดเพลงดังมาก...คนไปแจ้งตำรวจได้
อันนี้เป็นเรื่องจริง....มีคนแจ้งตำรวจและตำรวจมาจริงๆด้วยนะ
ฯลฯ...เป็นต้น
**การเด็ดดอกไม้**
ไปเที่ยวบนเขาระวังถ้าเห็นดอกไม้สวยๆห้ามไปเด็ดถ้าเขามี
ประกาศเขียนดอกไม้สงวนไว้ไม่เช่นนั้นจะโดนปรับ
**เก็บเห็ดในป่าหรือบนเขา
7วันแรกของต้นเดือนห้ามไปเก็บเห็ดถ้ามีคนมาตรวจเจอ
เราจะโดนปรับ
และเขาให้เก็บได้คนละ2กก.ห้ามเก็บเกิน
ถ้าเกินจะโดนปรับ
**คนสวิสรักสัตว์มากกกกกกกกกกกกกกก
ถ้าจะอยู่อย่างสงบและมีสุขห้ามไปด่าสัตว์ของเพื่อนบ้าน
**โดนด่ามาแล้วตอนหลังเขามาขอโทษ
ขอเล่าตัวอย่าง
มีแมวมาบ้านป้า..มันมากินอาหารที่วางให้นก
ป้าส่งเสียงดังจนแมวตกใจวิ่งหนีไป
ซวยมากกกกกกกกกกก....เจ้าของแมวยืนดูแมวเขาอยู่ป้าไม่เห็น
เขาส่งเสียงhkp[[j,h,j;kl]]ll]ง....จนป้าสะดุ้งขี้หูสะเทือน
และบอกว่าแมวเขาน่ารักมาก...ไม่ชอบเสียงดัง
ถ้าไม่อยากให้แมวเขามาก็หั้นรั้วซี...
ป้าบอกเขาว่าที่ไล่เพราะไม่อยากให้แมวเขามีปัญหา
หรือท้องเสียหรือตายถ้ามีกินอาหารที่วางไว้
มีปัญหากันมาแล้วเกี่ยวกับเรื่องนี้ขอบอก...
คนสวิสเจ้าเรือ่งมากเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง
ถ้าใครเดินจูงหมาจูงแมว....
ถ้าเราบอกเขาว่าน่ารัก...มาก........
เจ้าของจะยิ้มเป็นมิตรเลย....
ตอนนี้นึกได้แค่นี้ถ้านึกออกอีกจะมาเขียนใหม่
กระทู้โดนใจ.....555 ไม่ตอบไม่ได้
สวิตเซอร์แลนด์ แดนสวรรค์ ประเทศ "เด-โม-คา-ที่...(555.......อ่านให้เป็นไทยหน่อยนะจะบอกให้)
ข้อห้ามนะมีเยอะมาก จนคิดว่าทำไมยังทนอยู่ที่นี่ได้อีกว่ะ...........5555 หลังสีทุ่ม ถ้าอยู่แฟต ห้ามอาบน้ำ ห้ามทำเสียงดัง ห้ามซักผ้า ห้ามทำอาหารที่มีกลิ่นรบกวนชาวบ้าน ห้าม ๆ ๆ และก็อีกหลายห้าม พวกนี้น่าไปขุดรูอยู่ที่กลางทะเลทราย..................หุหุ (คาทีเจง ๆ ค๊า) .................ตอนนี้เลยโชคดีไปมีบ้านเก่าๆ เล็ก ๆ อยู่หลังนึง ตีหนึ่งยังตำส้มตำโป๊ก ๆ อยู่เลยค๊า แถมซักผ้ากลางดึกแบบค่าไฟถูก วันอาทิตย์ก็ทำสวน ให้เพื่อนบ้านคนอื่นมอง ๆ ว่าคนต่างชาติ ไม่รู้ไปซะเลยว่าวันอาทิตย์เค้าห้ามทำอะไรกัน..........เออจะให้นอนขึ้นอืดอยู่ได้ไงฟ่ะ งานมันจ่อก้นอยู่ประจำนะ แล้วก็มะอยากจะอ้วนเหมือนพวกคุณ ๆ ทั้งหลายนะ
ขอบคุณคุณป้่า Pall และคุณ มน.ตต. ค่ะ แล้วเข้ามาเขียนเพิ่มอีกนะคะ คนมาอยู่ใหม่อย่างแม่จิ๋วจิ้วฯและท่านอื่นๆจะได้เข้ามาเก็บข้อมูลเอาไว้ เรื่องอาบน้ำ คนไทยจะชินกับการอาบน้ำเช้าเย็นเป็นปกติ วันไหนร้อนมากมีแถมอาบตอนกลางวันด้วย ตอนอยู่เมืองไทยแม่จิ๋วจิ้วฯชอบอาบน้ำก่อนนอนเพราะมันสบายตัวดี ทำให้หลับสบาย พอมาอยู่นี่จะอาบก่อนนอน แฟนบอกหลัง 4 ทุ่ม เขาไม่อาบน้ำกันแล้วนะเธอเพราะมันรบกวนเพื่อนบ้าน เราคิดในใจ เหอ..มีกฏยังงี้ด้วยเหรอ แต่อย่างว่าแหละนะคะ เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม
เรื่องเสื้อผ้าก็เหมือนกัน บ้านเราใส่ครั้งเดียวก็ซักแล้ว เพราะอากาศร้อนเหงื่อออกกลิ่นตัวแรง ตอนมาอยู่ใหม่ๆเห็นเสื้อผ้าที่แฟนใส่แล้วกองอยู่ แม่จิ๋วจิ้วฯก็เก็บไปซักให้ แทนที่จะได้รับคำชม กลับกลายเป็นว่า เธอจะรีบเก็บไปซักทำไม ฉันเพิ่งใส่แค่ครั้งเดียวเอง ( ทำนองว่า ซักบ่อยมันเปลืองน้ำ ว่างั้นเถอะ )
*เสื้อผ้า*
บ้านเรา เวลาหนาวมักจะสวมเสื้อ 2 ชั้น คือ สวมเสื้อแจ็กเก็ตหรือเสื้อไหมพรมทับเสื้อตัวใน และก็จะใส่อย่างงั้นทั้งในบ้านและนอกบ้าน เพราะบ้านเราไม่มีเครื่องทำความร้อน ที่นี่ฤดููหนาว เขามักใส่เสื้อ 3 ชั้นกันค่ะ คือ เสื้อยืดแขนสั้นไว้ในสุด ตามด้วยเสื้อยืดแขนยาว ( เรียกว่า พููลโลฟเวอร์ - Pullover ) แล้วจึงทับด้วยเสื้อกันหนาว ซึ่งส่วนใหญ่มักจะทำด้วยผ้าที่กันลมได้ด้วย เสื้อกันหนาวแบบไหมพรมบ้านเรา ถ้าจะใส่ก็ใส่ได้แต่ในบ้าน เพราะออกไปนอกบ้าน มันเอาไม่อยู่ค่ะ เพราะลมหนาวที่นี่มันพัดแรง
*รองเท้า*
บ้านเราหลักๆคือ รองเท้าใส่เดินประจำวัน ( จะรองเท้าแตะหรือคัชชูู ก็แล้วแต่ความชอบ ) และรองเท้ากีฬา ( คู่เดียวเล่นได้ทุกอย่าง ไม่เรื่องมาก ) ที่นี่อากาศเย็น ต้องใส่รองเท้าที่อบอุ่นและมีคุณสมบัติเหมาะกับกิจกรรมที่จะทำด้วย เช่น รองเท้าสำหรับเดินในบ้าน รองเท้าสำหรับวิ่ง รองเท้าสำหรับเดินป่า รองเท้าสำหรับเดินในเมือง รองเท้าสำหรับเล่นสกี เป็นต้น เมื่อ 2-3 เดือนก่อน แฟนแม่จิ๋วจิ้วฯเขาพานักเรียนไปเล่นสกีที่ยอดเขา Titlis แม่จิ๋วจิ้วฯก็ไปด้วย ไม่ได้ไปเล่นสกีกะเขาหรอกค่ะเพราะเล่นไม่เป็น ก็กะจะขึ้นกระเช้าไปถ่ายรูปชมวิวเฉยๆ คิดว่ารองเท้าหนังหุ้มข้อส้นสููงนิดๆคู่ประจำน่าจะเอาอยู่ แต่กลายเป็นว่า ตอนยืนในกระเช้าหนาวเท้ามากๆค่ะ
อ่านกระทู้นี้แล้ว ชอบใจจัง โดยเฉพาะการห้าอาบน้ำหลัง 4 ทุ่มเป็นความรู้ใหม่
มีหลายๆอย่างที่สวิสเหมือนกับอเมริกา และบางอย่างสวิสก็เข้มงวดกว่ามาก
เห็นคุณแม่จิ๋วจิ้ว พูดถึงเรื่องรองเท้า เลยสงสัยว่า คนสวิสเค้าใส่รองเท้าเดินกันในบ้านรึป่าวคะ
อย่างที่อเมริกา ถ้าไม่สนิทกัน เขาจะไม่ถอดรองเท้า เพราะถือว่า ไม่สุภาพ เขาเปรียบให้ฟังว่า มันเหมือนเข้าบ้านคนอื่นแล้ว ถอดเสื้ออ่ะค่ะ
แม่จิ๋วจิ้วฯไม่เคยรู้มาก่อนเลยค่ะว่าที่อเมริกามีธรรมเนียมแบบนั้นด้วย แปลกดีนะคะคุณเทียนหอม ตรงข้ามกับบ้านเราลิบลับเลยนิ เมืองที่แม่จิ๋วจิ้วฯอยู่ เวลาจะเข้าบ้านต้องเปลี่ยนเป็นรองเท้าแตะสำหรับเดินในบ้านค่ะ ทั้งบ้านพ่อแม่แฟนและบ้านเพื่อนๆแฟนที่เคยไปกินข้าวเย็นมา ทุกบ้านล้วนมีรองเท้าแตะสำหรับเดินในบ้านให้เปลี่ยนค่ะ แรกๆแม่จิ๋วจิ้วฯชอบเดินเท้าเปล่าในบ้าน เพราะมันสบายเท้าดี แต่แฟนไม่ชอบใจที่เห็นเราไม่ใส่รองเท้าแตะ เพราะพื้นบ้านมันเย็น เขากลัวเราจะไม่สบายเอาน่ะค่ะ
*หนังสือพิมพ์*
ของสวิสขนาดเล็กกว่าหนังสือพิมพ์ไทยเยอะ และไม่มีรููปภาพสยดสยองโชว์หราแบบที่หนังสือพิมพ์บ้านเราชอบทำ
*ความตื่นเต้น*
คนสวิสดููเหมือนจะไม่ค่อยตื่นเต้นกับอะไรง่ายๆ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเห็นดารา เขาก็จะแค่มองแล้วก็ผ่านไป ประมาณว่า ก็แค่ดารา ไม่ตามไปกรี๊ด หรือขอลายเซ็นต์ หรืออย่าง พิธีปิดการแููข่งขันกีฬาที่เมืองที่แม่จิ๋วจิ้วฯอยู่มีจับฉลากผู้โชคดีที่จะได้รถยนต์ และกล้องดิจิตอล ถ้าบ้านเราช่วงที่จับฉลากจะยิ่งใหญ่เป็นพิเศษเพราะรางวัลมันใหญ่ สมควรจะเป็นช่วงไฮไล้ท์ของงาน แต่ที่นี่เขาทำธรรมดามากค่ะ เหมือนแจกขนมอะไรสักกล่องหนึ่ง ประมาณ 2-3 นาทีก็เสร็จ ต่อด้วยการแสดงในสนามอย่างอื่นต่อ พอคุยกับแฟน แฟนก็บอกว่า ก็แค่รถยนต์คันนึง ไม่เห็นจะต้องตื่นเต้นอะไรเลย ที่ชอบใจก็คือ ผู้ว่าฯและนายอำเภอฯก็นั่งชมพิธีปิดบนสแตนด์ปะปนกับชาวบ้านธรรมดา ไม่เหมือนบ้านเราที่ต้องเป็นธุระจัดหาโซฟานุ่มสบายมาให้นั่ง
*รถไฟ*
ตรงเวลามากค่ะ มาสายอย่างมากไม่เกิน 2 นาที ถ้าตารางเวลาบอกว่ารถไฟจะถึงลูเซิร์นเวลา 8:43 น. ก็ถึงเวลานั้นเป๊ะๆ แล้วเขาจัดระบบเครือข่ายได้ดีมาก จะเผื่อเวลาให้เดินเปลี่ยนขบวน 3-10 นาที ไม่ต้องเสียเวลาคอยแหง็กเป็นชั่วโมงๆแบบบ้านเรา ความตรงเวลาทำให้เรากะเวลาเดินทางได้ ไม่ต้องเสียเวลาไปยืนรอรถไฟที่สถานีนาน รถเมล์ก็เหมือนกัน ตรงเวลามากๆ ถ้ายังไม่ใกล้เวลารถเมล์มา จะไม่เห็นคนยืนรอที่ป้ายรถเมล์หรอกค่ะ
สวัสดีทุกๆคนค่ะ เข้ามาช้าหน่อยเพราะไม่มีเวลา ขอแจมบ้างนะคะ
- ที่สวิสฯห้ามตัดหญ้า(ยกเว้นชาวนา)หรือซ่อมแซมบ้านในวันอาทิตย์หรือวันหยุดค่ะเพราะเสียงเครื่องตัดหญ้าและเครื่องมือจะไปรบกวนเพือนบ้าน วันเสาร์ทำได้ค่ะ
- ถ้ารถเมล์หรือรถรางมาช้าไปนิด จะเห็นคนที่ยืนรอเริ่มยกนาฬิกาข้อมือดูกันเป็นแถว พอรถมาถึงจะทำเป็นมองหน้าคนขับซะดัวย เค้าถึงได้มีคำว่าติ๊กต๊อกเหมือนนาฬิกาสวิสเพราะเที่ยงตรงมาก
- ประธาณาธิบดีหรือส.ส(ทั้งอดีตและปัจจุบัน) ไม่ต้องมีบอร์ดี้การ์ดห้อมล้อมหน้าหลัง ไม่มีขบวนรถนำหน้าเปิดทาง ไปเดินซื้อของหรือทานอาหารในร้านเหมือนประชาชนทั่วๆไป
- เป็นประเทศที่ประชาธิปไตยจริงๆ กฎหมายทุกฉบับต้องผ่านการออกเสียงเลือกตั้งมาแล้วจากประชาชน
- คนสวิสไม่โอ้อวด ดูไม่ค่อยออกว่าคนรวยหรือจน ประหยัดมัธยัสถ์
- ซื่อสัตย์ในเรื่องการเงินและเรื่องความเป็นส่วนตัวสำคัญมาก ทำให้มีชื่อเสียงในด้านการธนาคารและการบริหารการเงิน ตอนที่มาอยู่ทีนี่ใหม่ๆยังแปลกใจว่าทำไมเวลาเราไปทานอาหารกับแขกหรือลูกค้าที่ร้านอาหารและบอกให้ทางร้านส่งบิลมาเก็บที่บริษัทได้ทั้งๆที่ทางร้านไม่เคยรู้จักหรือคุ้นเคยกับเราเลย ไม่ยักกลัวโกง รวมทั้งร้านค้าที่ขายอุปกรณ์เครื่องเขียนและร้านอุปกรณ์อื่นๆดัวย เพียงแต่บอกว่ามาจากบริษัทเค้าก็ให้ของมาแล้วไม่ขอดูบัตรประชาชนหรืออะไรทั้งนั้น เชื่อใจในความสุจริตกันมาก รถประจำทางก็ใช้ระบบความซื่อตรง นานๆถึงมีนายตรวจมาตรวจตั๋วสักทีหนึ่ง แต่อย่าให้ตรวจพบนะคะเสียค่าปรับแพงกว่าตั๋วหลายเท่า
สวัสดีค่ะคุณป้าตุ้ม ขอบคุณมากๆค่ะที่แวะเข้ามา ขอโทษด้วยที่เข้ามาขอบคุณช้าไปหน่อยนะคะ ก็เมื่ออาทิตย์ที่แล้วแม่จิ๋วจิ้วฯอุตส่าห์นั่งจิ้มพิมพ์ตั้งยาว มือดั๊นไปกดโดนปุ่มอะไรเข้าก็ไม่รู้ *ที่พิมพ์ไว้ซะยาวหายไปหมดเลย เล่นเอาเสียอารมณ์ไปเลยค่ะ โทษตัวเองที่ไม่รู้จักพิมพ์ไปเซฟไป
มาคุยต่อกันดีกว่านะคะ
*ฟุตบอลโลก*
ช่วง 1-2 เดือนก่อนการแข่งขันฟุตบอลโลกจะเริ่ม คนที่นี่จะบ้าสะสมสติกเกอร์นักเตะกันมากค่ะ ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ทั้งชายหญิงจะมีสมุดสติกเกอร์ของ Panini กันคนละเล่ม ( ราคา 2 ฟรังค์ ) ในสมุดจะมีช่องให้แปะรูปนักเตะของประเทศต่างๆที่เข้ารอบ รวมทั้งรููปสนามแข่งด้วย วิธีสะสมคือ การไปซื้อสติกเกอร์และการแลกสติกเกอร์กับเพื่อน สติกเกอร์นี้จะมีขายเป็นซอง ซองละ 1 ฟรังค์ ใน 1 ซองจะมีสติกเกอร์ทั้งหมดประมาณ 8 รููัป รูปไหนซ้ำเราก็เก็บเอาไปแลกกับเพื่อน ไปงานปาร์ตี้ก็พกไปด้วยเพื่อแลก จดหมายเลขสติกเกอร์ที่เพื่อนยังขาดเพื่อช่วยกันหา ที่รักแม่จิ๋วจิ้วฯอายุ 37-38 แล้วค่ะ เพื่อนเขาก็ 40 กว่ากันแล้ว แต่ดููมีอารมณ์สนุกกันมากที่ได้ร่วมทำงานอดิเรกนี้ ถึงแม้เขาจะอายนิดๆเวลาไปซื้อสติกเกอร์ก็ตาม เขาบอกที่อายก็เพราะมันน่าจะเป็นเด็กๆมากกว่าที่บ้าสะสม พอสะสมครบก็ได้เวลาบอลโลกพอดีค่า
ช่วงนี้กิจกรรมเด่นหนีไม่พ้นดููบอลค่ะ วันเกิดที่รักแม่จิ๋วจิ้วฯเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาก็จัดเป็นแบบปาร์ตี้ดููบอลที่บ้าน ยืมบีมเมอร์จากโรงเรียนมาต่อทีวีจะได้ดููกันจอใหญ่ๆ มีแขกมาเกือบ 20 คน แม่จิ๋วจิ้วฯก็ทำข้าวผัดเลี้ยงค่ะ แล้วก็มีบาร์บีคิวด้วยเป็นไก่สะเต๊ะค่ะ กินกับน้ำจิ้มถั่ว ละก็อาจาดแตงกวา ฝรั่งอร่อยกันใหญ่ ( LOBO ไม่ทำให้คุณผิดหวังจริงๆเรื่องสะเต๊ะ 555 )
เมื่อเย็นก็ไปดููบอลกันที่ร้านที่ชมรมแฮนด์บอลเขาจัดหารายได้เข้าชมรม เมื่อวันก่อนโน้นก็ไปดููบอลที่โรงเรียน เด็กๆเขาจัดเพื่อขายขนมเค้กหารายได้เข้าชมรม พรุ่งนี้ก็จะเข้าเมืองลููเซิร์นเพราะน้องชายเขาชวนไปดููบอลบนเขา ขนาดแม่จิ๋วจิ้วฯดููไม่เป็นและไม่เห็นว่าบอลโลกจะสนุกตรงไหน ดููไปดููมายังอินไปกับเขาด้วยเลยค่า เดี๋ยวว่าจะไปอ่านกระทู้ลาพักร้อนของคุณป้า Pall เพื่อหาความรู้เกี่ยวกับบอลโลกใส่ตัวสักหน่อย จะได้ไม่ตกเทรน...อิอิ
สวัสดีค่ะคุณจิ๋วจิ้ว
อย่าลืมเชียร์ทีมสวิสแข่งกับTogoวันจันทร์ที่19.
เวลา15.00น...นะคะ
Hello Everyone ka
Hahaha I like Khun MNTT post ka and Sometime i thought here is Communist country or Democracy country because many rules here (This cannot do, That cannot do) ka (smile)
Anyway, i enjoy with all posts here ka
Take care na ka
Ava