::::พระกระยาหารโปรดของในหลวง::::
ขออย่าได้แปลกใจไปเลย ที่เมนูพระกระยาหารในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แต่ละมื้อหาได้วิเศษเลอเลิศอย่างที่เข้าใจกันไม่ แต่เป็นอาหารธรรมดาที่ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินทั้งหลานบริโภคกันทุกวันนั่นเอง
ในหลวงโปรดเสวยอาหารอ่อนแบบอาหารฝรั่ง อาหารไทย โปรดผัดผักทุกชนิด เช่น ผัดคะน้า ผัดถั่วงอก ผัดถั่วลันเตา โดยใส่ผักให้มากๆ หมูเนื้อใส่น้อยๆ อาหารว่างเคยโปรดหูฉลามและบะหมี่ จะใส่หน้าหมูแดง หน้าเป็ด หน้าปู ได้ทั้งนั้น แต่ต้องไม่ใส่ผักชี ใบหอม ต้นหอม และตังฉ่าย เครื่องดื่ม โปรดโอวัลตินเป็นพิเศษ เคยเสวยวันหนึ่งๆ หลายครั้ง น้ำ ชา กาแฟ ไม่มากนัก
พระกระยาหารหรือเครื่องเสวยประจำวันที่นำมาให้ดูกันมี
เครื่องกลางวัน ซุปอาสาเรน (ซุปใสใส่ไข่) สปาเกตตีมิลานเนส แกงจืดเซ่งจี๊ ผัดไก่เล่าปี่ ปูเค็มต้มกะทิ หลนปลากุเรา ผัดเผ็ดปลาดุกทอดฟู กล้วยหักมุกเชื่อม ไอศกรีม ผลไม้ ยามดึกเมื่อเสด็จกลับจากพระราชกิจ มหาดเล็กจะตั้งเครื่องว่างจำพวกหูฉลามหรือบะหมี่ถวายอีกครั้งหนึ่ง
หัวหน้าส่วนพระเครื่องต้น ณ พระตำหนักจิตรลดาฯ คนปัจจุบันชื่อ เอกสิทธิ์ วัชรปรีชานนท์ มีพระเครื่องต้นอยู่ ๓ ห้อง ผู้กำกับดูแลอย่างไม่เป็นทางการในแต่ละห้องมี ลูกหลานกุ๊กแต่รัชสมัย ร.๖ เป็นคนจีนชื่อ เยี่ยหง แซ่*น ดูแลพระเครื่องต้นฝรั่ง สมิง ดวงทิพย์ ดูแลพระเครื่องต้นหวาน ท่านผู้หญิงประสานสุข ตันติเวชกุล มารดาวัย ๘๐ ต้น ของ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล ดูแลพระเครื่องต้นไทย
ผู้จัดการรายสัปดาห์
(วันที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๔๕)
ที่มา : หนังสือใกล้เบื้องพระยุคลบาท โดย...ลัดดา ซุบซิบ
::::รวมเรื่องเล่าน่ารักๆ ของในหลวง::::
เรื่องเล่าเหล่านี้ เป็นเรื่องที่ได้รับการ Forward Mail ต่อๆกัน หากคุณได้อ่านและสัมผัสกับเรื่องเล่าจากในวัง .... คุณจะรักในหลวงของเรามากยิ่งๆขึ้น
เหตุการณ์เกิดที่จังหวัดตาก เมื่อสมเด็จพระเทพฯทรงเสด็จไปเยี่ยมราษฏรตามที่ต่างๆ และได้ทรงเสด็จไปเยี่ยมประชาชนในตลาดสด และถามความเป็นอยู่กับบรรดาแม่ค้าในตลาด แต่ก็มาถึงแม่ค้าปลา ซึ่งพระองค์ทรงตรัสถามว่า "ปลาพวกนี้ขายอย่างไงจ๊ะ"
แม่ค้าตอบว่า " ที่สวรรคตแล้ว กิโลละ 40 บาท และที่เสด็จไปเสด็จมากิโลละ 80บาทจ๊ะ"
เหตุการณ์นี้ ทำให้ข้าราชบริพาลที่ตามเสด็จหัวเราะกันทุกคน
---------------------------------------------------------------------------------------
อีกครั้งหนึ่งที่ภาคอีสานเมื่อเสด็จขึ้นไปทรงเยี่ยมบนบ้านของราษฎรผู้หนึ่ง ที่คณะผู้ตามเสด็จทั้งหลายออกแปลกใจในการกราบบังคมทูล ที่คล่องแคล่วและใช้ ราชาศัพท์ได้อย่างน่าฉงน เมื่อในหลวงมีพระราชปฏิสันถารถึงการใช้ราชาศัพท์ได้ดีนี้ จึงมีคำกราบทูลว่า
"ข้าพระพุทธเจ้าเป็นโต้โผลิเกเก่าบัดนี้มีอายุมากจึงเลิกรามาทำนาทำสวนพระพุทธเจ้าข้า.."
มาถึงตอนสำคัญที่ทรงพบนกในกรงที่เลี้ยงไว้ที่ชานเรือน ก็ทรงตรัสถามว่า " เป็นนกอะไรและมีกี่ตัว.. "
พ่อลิเกเก่ากราบบังคมทูลว่า "มีทั้งหมดสามตัว พระมเหสีมันบินหนีไป ทิ้งพระโอรสไว้สองตัว ตัวหนึ่งที่ยังเล็ก ตรัสอ้อแอ้อยู่เลย และทิ้งให้พระบิดาเลี้ยงดูแต่ผู้เดียว"
เรื่องนี้ดร.สุเมธเล่าว่าเป็นที่ต้องสะกดกลั้นหัวเราะกันทั้งคณะไม่ยกเว้นแม้ในหลวง
---------------------------------------------------------------------------------------
เมื่อครั้งท่านพระชนม์มายุ 72 พรรษา มีการผลิตเหรียญที่ระลึกออกมาหลายรุ่น เจ้าของกิจการนาฬิกายี่ห้อหนึ่งได้ยื่นเรื่องขออนุญาตนำ พระบรมฉายาลักษณ์ของท่าน มาประดับที่หน้าปัดนาฬิกาเป็นรุ่นพิเศษ ท่านทราบเรื่องแล้วตรัสกับเจ้าหน้าที่ว่า
"ไปบอกเค้านะเราไม่ใช่มิกกี้เมาส์"
---------------------------------------------------------------------------------------
มีอยู่ครั้งหนึ่งทรงเสด็จไปพระราชทานปริญญาบัตรให้กับนักศึกษาของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ในระหว่างที่ทรงเปลี่ยนในครุย ทรงโปรดสูบมวนพระโอสถ แต่ว่าทรงหาที่จุดไม่ได้ ทางอธิการบดีซึ่งเฝ้าอยู่ก็จุดไฟให้พร้อมทูลว่า "ถวายพระเพลิงพระเจ้าข้า"
ในหลวงทรงชะงัก ก่อนจะแย้มสรวลน้อยๆกับอธิการบดี ว่า"เรายังไม่ตายถวายพระเพลิงไม่ได้หรอก"
---------------------------------------------------------------------------------------
เคยมีเรื่องเล่าให้ฟังว่าในหลวงเสด็จไปในถิ่นทุรกันดารเพื่อเยี่ยมเยียนราษฎร มีอยู่ครั้งหนึ่งพระองค์ท่านทรงแจกพระเครื่องให้กับราษฎรจนหมดแล้ว แต่ราษฎรผู้หนึ่งกราบบังคมทูลขอรับพระราชทานพระเครื่องว่า
"ขอเดชะ ขอพระหนึ่งองค์"
ในหลวงทรงตรัสว่า "ขอเดชะ พระหมดแล้ว"
---------------------------------------------------------------------------------------
ครั้งหนึ่งหลายๆ ปีมาแล้ว พระเจ้าอยู่หัวทรงประชวรนิดหน่อยเกี่ยวกับพระฉวี(ผิวหน้า)มีพระอาการคัน มีหมอโรคผิวหนังคณะหนึ่งไปเข้าเฝ้าฯ เพื่อถวายการรักษาคุณหมอเป็นผู้เชี่ยวชาญทางโรคผิวหนังแต่ไม่ได้เชี่ยวชาญทางราชาศัพท์ก็กราบบังคมทูลว่า
"เอ้อ - ทรง... อ้า-ทรงพระคันมานานแล้วหรือยังพะยะค่ะ"
พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงพระสรวล ตรัสว่า "ฉันไม่ใช่ผู้หญิงนี่จะท้องได้ยังไง"
แล้วคงจะทรงพระกรุณาว่าหมอคงจะไม่รู้ราชาศัพท์ทางด้านอวัยวะร่างกายจริงๆ ก็พระราชทานพระบรมราชานุญาตว่า
"อ้าพูดภาษาอังกฤษกันเถอะ"
เป็นอันว่าก็กราบบังคมทูลซักพระอาการกันเป็นภาษาอังกฤษไป
---------------------------------------------------------------------------------------
เรื่องนี้รุ่นพี่ที่จุฬาฯเล่าให้ฟังว่า มีอยู่ปีนึงที่ในหลวงทรงเสด็จพระราชทานปริญญาบัตร อธิการบดีอ่านรายชื่อบัณฑิตแล้วบังเอิญว่ามีเหตุขัดข้องบางประการ ทำให้อ่านขาดตอน ก็ต้องรีบหาว่าอ่านรายชื่อไปถึงไหนแล้ว ปรากฏว่าในหลวงท่านทรงจำได้ ท่านเลยตรัสกับอธิการไปว่า
"เมื่อกี้นี้ (ชื่อ....) เค้ารับไปแล้ว"
และมีอีกปีนึงขณะที่พระราชทานปริญญาบัตรอยู่ดีๆ ไฟดับไปชั่วขณะ ทำให้บัณฑิตคนหนึ่งพลาดโอกาสครั้งสำคัญในการถ่ายรูป พอในหลวงทรงพระราชทานปริญญาบัตรเรียบร้อยแล้ว ก่อนที่จะให้พระบรมราโชวาท ท่านทรงให้อธิการบดีเรียกบัณฑิตคนนั้นมารับพระราชทานอีกครั้ง เพื่อจะได้มีรูปไว้เป็นที่ระลึก ตื้นตันกันถ้วนทั่วทั้งหอประชุม
---------------------------------------------------------------------------------------
เรื่องการใช้ราชาศัพท์กับในหลวง ดูจะเป็นเรื่องใหญ่ที่ใครต่อใครเกร็งกันทั้งแผ่นดิน และไม่เว้นแม้กระทั่งข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่ได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายรายงาน ครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อนมีข้าราชการระดับสูงผู้หนึ่งกราบบังคมทูลรายงานว่า
"ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาท ปกเกล้าปกกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้าพลตรีภูมิพลอดุลยเดช ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตกราบบังคม ทูลรายงาน ฯลฯ "
เมื่อสิ้นคำกราบบังคมทูลชื่อในหลวงทรงแย้มพระสรวลอย่างมีพระอารมณ์ดีและไม่ ถือสาว่า " เออ ดี เราชื่อเดียวกัน.."
ข่าวว่าวันนั้นผู้เข้าเฝ้าต้องซ่อนหัวเราะขำขันกันทั้งศาลาดุสิดาลัย เพราะผู้รายงานตื่นเต้นจนจำชื่อตนเองไม่ได้
---------------------------------------------------------------------------------------
วันหนึ่งพระองค์ท่านเสด็จเยี่ยมเยียนพสกนิกรของท่านตามปกติที่ต่างจังหวัด ก็มีชาวบ้านมาต้อนรับในหลวงมากมาย พระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินมาตามลาดพระบาท ที่แถวหน้าก็มีหญิงชราแก่คนหนึ่งได้ก้มลงกราบแทบพระบาท แล้วก็เอามือของแกมาจับ พระหัตถ์ของในหลวง แล้วก็พูดว่ายายดีใจเหลือเกินที่ได้เจอในหลวง แล้วก็พูดว่ายายอย่างโน้น ยายอย่างนี้ อีกตั้งมากมายแต่ในหลวงก็ทรงเฉยๆ มิได้ตรัสรับสั่งตอบว่ากระไร แต่พวกข้าราชบริภารก็มองหน้ากันใหญ่ กลัวว่าพระองค์จะทรงพอพระราชหฤหัยหรือไม่ แต่พอพวกเราได้ยินพระองค์รับสั่งตอบว่ากับหญิงชราคนนั้น ก็ทำให้เราถึงกับกลั้นหัวเราะไว้ไม่ไหวเพราะพระองค์ทรงตรัส! ว่า
"เรียกว่ายายได้อย่างไร อายุอ่อนกว่าแม่ฉันตั้งเยอะ ต้องเรียกน้าซิถึงจะถูก"
---------------------------------------------------------------------------------------
เช้าวันหนึ่ง เวลาประมาณ 7 โมงเช้า นางสนองพระโอษฐ์ ของฟ้าหญิงองค์เล็ก ได้รับโทรศัพท์เป็นเสียงผู้ชาย ขอพูดสายกับฟ้าหญิง ทางนางสนองพระโอฐก็สอบถามว่าใครจะพูดสายด้วย ก็มีเสียงตอบกลับมาว่า" คนที่แบงค์ "
นางสนองพระโอฐก้อ งง .....งง ว่าคนที่แบงค์ทำไมโทรมาแต่เช้า แบงค์ก้อยังไม่เปิดนี่หว่า พอฟ้าหญิงรับโทรศัพท์แล้วถึงได้รู้ว่า คนที่แบงค์น่ะ ก็ที่แบงค์จริงๆนะ ไม่เชื่อเปิด กระเป๋าตังค์ แล้วหยิบแบงค์มาดูสิ อิ อิ ขนลุกเลย
---------------------------------------------------------------------------------------
ที่มา : Forward Mail & ส่วนหนึ่งมาจากหนังสือเรื่อง ที่สุดในหัวใจ
::::พับเพียบ::::
รองศาสตราจารย์ ดร.สุธี อักษรกิตติ์
ผู้สนองพระราชดำริในโครงการระบบสื่อสารสายอากาศและอิเล็กทรอนิกส์
.....ในครั้งแรกผมทำงานตามพระราชดำริ โดยไม่ทราบว่าเป็นงานของพระองค์ จนกระทั่งวันหนึ่งมีคนบอกว่า ให้เข้าไปในวังด้วยกัน และให้นำระบบสายอากาศชนิดใหม่ขึ้นไปติดตั้ง ก็ไม่ได้คิดว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จฯ มา แต่ว่าแปลกใจทำไมอยู่ดีๆ เจ้าหน้าที่ที่กำลังติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆ อยู่บนดาดฟ้าของพระตำหนักถึงปีนลงมา ทั้งๆ ที่งานยังไม่เสร็จ แท้ที่จริงพระองค์ท่านเสด็จฯ มายืนอยู่ข้างหลัง ผมเหลียวหลังไปมองนิดหนึ่ง ครั้นพอเห็นพระองค์ท่านก็ตกใจ เป็นอาการวูบๆ ขึ้นมาทันที นึกอยู่ในใจว่าใช่แล้ว ใช่แน่ๆ เพราะคิดว่าเหมือนในรูป ผมก็รีบทำความเคารพแล้วก็ทำอะไรไม่ถูก สิ่งที่ผมจำได้คือเราต้องอยู่ต่ำกว่า จึงรีบคุกเข่าให้ต่ำลงมาเป็นเหมือนชันเข่า เพราะว่าตอนนั้นพระองค์ท่านประทับยืนอยู่ ถ้านั่งพับเพียบเลยก็อาจจะต่ำเกินไป เพราะว่าผมต้องพูดอธิบายด้วย ปรากฏว่าพระองค์ท่านก็คุกเข่าลงไปด้วย ผมก็เลยนั่งพับเพียบให้ต่ำลงไปอีก พระองค์ท่านก็ประทับพับเพียบเหมือนกัน เลยกลายเป็นว่าวันนั้นนั่งพับเพียบสนทนากัน ๒ - ๓ ชั่วโมง บนดาดฟ้าพระตำหนักในเวลาช่วงบ่ายที่ร้อนเปรี้ยง.....
ที่มา : บทความ "โครงการระบบสื่อสารและอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อสนองพระราชดำริ" สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ หนังสือ "เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้านการสื่อสาร" คณะกรรมการอำนวยการจัดงานฉลองสิร
:::: เสียงปริศนา ::::
....ในวันเสด็จพระราชดำเนินกลับประเทศสวิตฯ ขณะที่ประทับรถพระที่นั่งไปสู่สนามบินดอนเมืองทรงได้ยินเสียงตะโกนดังๆ ว่า ในหลวง อย่าทิ้งประชาชนนะ ทำให้ทรงนึกตอบบุคคลผู้นั้นในพระราชหฤทัยว่า ถ้าประชาชนไม่ทิ้งข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าจะทิ้งประชาชนอย่างไรได้ เป็นที่น่าประหลาดว่า ต่อมาอีกประมาณ 20 ปี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพบชายที่ร้องตะโกนทูลพระองค์ไม่ให้ทิ้งประชาชนนั้นเป็นพลทหาร และในปัจจุบันเขาออกไปทำนาอยู่ในต่างจังหวัด เขากราบบังคมทูลสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ไม่ทรงทิ้งราษฎร เขาทูลว่าตอนที่เขาร้องไปนั้น เขารู้สึกว้าเหว่และใจหาย ที่เห็นพระเจ้าแผ่นดินจะเสด็จไปจากเมืองไทย กลัวจะไม่เสด็จกลับมาอีก เพราะคงจะทรงเข็ดเมืองไทย เห็นเป็นเมืองที่น่ากลัวน่าสยดสยอง เขาดีใจมากที่ได้เฝ้าฯ อีก กราบบังคมทูลถามว่า ท่านคงจำผมไม่ได้ ผมเป็นคนร้องไม่ให้ท่านทิ้งประชาชนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรับสั่งถามว่า เราน่ะรึที่ร้อง? ใช่ครับ ตอนนั้นเห็นหน้าท่านเศร้ามาก กลัวจะไม่กลับมา จึงร้องไปเหมือนคนบ้า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตอบ นั่นแหละ ทำให้เรานึกถึงหน้าที่ จึงต้องกลับมา
ที่มา : สมุดภาพพระบรมฉายาลักษณ์ ซึ่งสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถโปรดเกล้าฯ จัดทำขึ้นถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อพระราชทานเป็นที่ระลึกแก่ผู้เข้าเฝ้าฯ ในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม พุทธศักราช 2511
::::เสี่ยปลอม::::
มนูญ มุกข์ประดิษฐ์
รองเลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
อดีตเลขาธิการสำนักงานกรรมการพิเศษ เพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (นักบริหารระดับ 11)
.....มีพระราชกระแสให้เจ้าหน้าที่ซึ่งรับสนองพระราชดำริไปจัดซื้อที่ดินเพื่อนำมาพัฒนาหรือนำมาจัดสรรแบ่งแปลงให้กับผู้ยากไร้ไว้เพื่อทำกิน ด้วยพระราชทรัพย์ของพระองค์เอง
.....เป็นการบังเอิญที่ผู้เขียนเป็นผู้หนึ่งซึ่งปลอมตัวเป็น "เสี่ย" นักจัดสรรที่ดินเข้าไปเจรจาซื้อที่ดินในรายนี้ด้วย จึงจำได้แน่ชัดถึงบรรยากาศของเหตุการณ์ในครั้งนั้นว่า มีชาวบ้านเป็นกลุ่มๆ ออกมายืนมองและซุบซิบกันทำนองแปลกประหลาดใจว่า เหตุใดจึงมีผู้สนใจจะซื้อที่ที่ไม่น่าสนใจแถวนี้ .....หรือว่าพวกเสี่ยที่มาถามซื้อที่ที่นี่เป็นพวกหลอกลวงสิบแปดมงกุฎ เพราะดูไปจริงๆ แล้วราศีของเสี่ยหรือเศรษฐีก็ไม่ได้จับอยู่ที่ใครเลย มิหนำซ้ำยังหน้าตาแปลกๆ บางคนสูงเกินไป บางคนคล้ำเกินไป บางคนใส่แว่นตาหนาเตอะ
.....ประโยคแรกๆ ที่ลุงเจ้าของบ้านและเจ้าของที่ถามไถ่ก็คือ "ใครคือคนที่จะมาซื้อที่" .....ก็ต้องตอบไปว่า "ผู้ใหญ่ ท่านจะมาซื้อที่" ครั้นลุงถามว่า "เอาที่แบบนี้ไปทำอะไรกัน" ก็ต้องตอบว่า "เอาไปทำประโยชน์" ประโยชน์อะไร จัดสรรหรือ? ทำคอนโดหรือ? ลุงก็ได้รับคำตอบให้งุนงงต่อไปว่า "ไม่ใช่ทั้งนั้น" ท้ายที่สุด ลุงและคณะชักตาเขียวและสีหน้าไม่ดี เหล่าบรรดากองเชียร์ชักพูดแซมขึ้นมาบ้างว่า "อีแบบนี้ ถ้าจะเสียเวลาเปล่า! เจ้าของเขาไม่รีบร้อนขายหรอก เพราะเงินทองก็พอมีไม่เดือดร้อน" คณะเสี่ยปลอมรู้สึกสถานการณ์จะคับขัน ก็เลยบอกว่าผู้ใหญ่จะเอาไปทำประโยชน์ให้กับประชาชนแถวนี้เอง ทำประโยชน์กับชุมชนนี้ไม่ได้เอาไปขายต่อ หรือจัดสรรเอากำไรเข้าพกเข้าห่อแต่อย่างใด ลุงถามว่า "มีด้วยหรือ ผู้ใหญ่แบบนี้...หรือจะเป็นนายก" พวกเรารีบแทรกว่า "ใช่แล้ว...นายกให้มาซื้อ" ลุงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง มองหน้าคนโน้นทีคนนี้ทีกลับไปกลับมา พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นปฏิทินที่แขวนไว้ข้างฝาเป็นภาพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกำลังทรงงานอยู่ในถิ่นทุรกันดารและเสี่ยปลอมทั้งหลายครบทุกคนยืนอยู่ข้างหลังพระองค์ ลุงมองหน้าทุกคนอย่างตกใจเล็กน้อย
"เอ๊ะ คนนี้ก็ใช่ คนนั้นก็ใช่...หรือว่าผู้ใหญ่ที่จะมาซื้อที่นั้นคือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว" เมื่อความแตก ลุงและชาวบ้านวัดมงคลก็ปีติตื่นเต้นเป็นล้นพ้น...ในท้ายที่สุด ลุงเจ้าของที่โดยการสนับสนุนของสมาชิกละแวกวัดมงคลและญาติพี่น้องทั้งปวงก็ตกลงขายที่จำนวน 15 ไร่ ให้กับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อนำมาทดลองแนวคิด "ทฤษฎีใหม่" ทางด้านเกษตรกรรม
.....ก่อนลาจากกัน ลุงเจ้าของที่ต่อว่าคณะเสี่ยปลอม "ไหนแต่แรกว่านายกมาซื้อที่ไง.." เสี่ยปลอมทั้งหลายไม่ตอบคำถามนี้ แต่ในใจทุกคนคิดว่า ก็ใช่น่ะสิ นายกแท้ๆ เลย แต่เป็น "นายกกิตติมศักดิ์มูลนิธิชัยพัฒนา"
ที่มา : บทความ "ใครมาซื้อที" โดย มนูญ มุกข์ประดิษฐ์ หนังสือ "ประทีปแห่งแผ่นดิน"
::::ทะเบียนสมรส::::
ฟื้น บุณยปรัตยุธ
อดีตนายอำเภอปทุมวัน
นายทะเบียนในวันพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส
....พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และม.ร.ว.สิริกิติ์ ทรงจดทะเบียนสมรสเฉกเช่นคู่สมรสทั่วไป
...สมุดทะเบียนสมรสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ประดิษฐ์ขึ้นเป็นพิเศษ ปกสมุดหุ้มด้วยหนังแกะอ่อนสีเหลืองเข้ม กลางปกเป็นหนังสีน้ำตาล มีอักษรตัวทองบอกว่าเป็นสมุดทะเบียนสมรส ข้อความในสมุดทะเบียนทุกอย่างคงเป็นเหมือนสมุดทะเบียนสมรสทั่วไป.... ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ในระบบประชาธิปไตยแท้ เกี่ยวกับการจดทะเบียนนี้ พระองค์ท่านทรงทำตามระเบียบทุกอย่าง ไปยื่นคำร้องขอจดทะเบียนสมรสนอกสถานที่ ปิดอากรแสตมป์ 10 สตางค์ เสียค่าธรรมเนียม 10 บาท ตามระเบียบถูกต้อง...
ที่มา : -
::::ตายด้วยกัน::::
ท่านผู้หญิงเกนหลง สนิทวงศ์ ณ อยุธยา
นางสนองพระโอษฐ์ในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
.....ขณะที่ทั้งสองพระองค์ประทับอยู่บนพลับพลา ณ สนามโรงพิธีช้างเผือก อำเภอเมือง จังหวัดยะลา และกำลังพระราชทานรางวัลแก่โต๊ะครู การพระราชทานต้องหยุดชะงักลงทันที เพราะมีเสียงระเบิดเกิดขึ้น ๒ ครั้งในหมู่ราษฎรที่นั่งรอเฝ้าฯ....
.....ราษฎรที่นั่งรอเฝ้าอย่างมีระเบียบต่างก็ลุกขึ้นเป็นอลหม่าน บ้างก็นอนคว่ำอยู่กับพื้น บ้างก็ออกวิ่งให้*งจากจุดที่มีเสียงระเบิด พากันวิ่งตัดสนามผ่านหน้าพลับพลา ถ้ามีใครหกล้มกับพื้นข้าพเจ้าคิดว่าคงมีการเหยียบกันตายให้เห็นต่อหน้าเป็นแน่...
...ทุกคนที่อยู่บนพลับพลาต่างก็ได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น เห็นราษฎรที่ต่างก็วิ่งรุดไปข้างหน้าจนไกลด้วยความตกใจสุดขีด และสักครู่เขาก็วิ่งกลับมาที่เดิมใหม่ เมื่อไม่มีเสียงระเบิดเกิดขึ้นอีก เหตุการณ์สงบ สักครู่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็พระราชทานรางวัลแก่โต๊ะครูจนเสร็จพิธี ต่อจากนั้น ทั้งสองพระองค์ก็ เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรที่กลับมารอเฝ้าฯ ด้วยพระอิริยาบถและพระราชจริยวัตรเป็นปกติ....
.....มีเด็กสาววิ่งเข้ามาเขย่าพระกรสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ร้องไห้พลางปากก็ร้องว่า "เขาจะฆ่าท่านทำไม ท่านก็รักราษฎรแล้วท่านก็ดีกับพวกหนู" ผู้หญิงแก่คนหนึ่งก็เข้ามากราบบังคมทูลว่า "ท่านอย่าโกรธฉันนะจ๊ะ เสียงมันดังปังขึ้นมา ฉันก็ตกใจวิ่งหนี แต่พอวิ่งไปแล้วก็นึกขึ้นได้ว่า ท่านยังอยู่ที่นั่นก็ เลยต้องวิ่งกลับมาหา คิดว่าถ้าเป็นอะไรขึ้นมาก็มาตายด้วยกัน"
**กระทู้นี้เป็นกระทู้เดิมหมายเลข 0188 ห้อง openroom (เผื่อใช้ในการค้นหา)**
ขอบคุณมากค่ะสำหรับข้อความดีๆ