Easter Bunny : กระต่ายอีสเตอร์
(https://lh5.googleusercontent.com/_g8DFBHvDyh8/TaR1AetP0jI/AAAAAAAAAPE/JzcCbNIvlmU/s800/Easter.jpg)
ทำนองเดียวกับไข่ เพียงแต่กระต่ายเป็นสัญลักษณ์ของ "ชีวิตใหม่" ที่ออกลุกดกในฤดูใบไม้ผลิ มากกว่าการเน้น "การเป็นขึ้ นจากความตาย" มาดูที่ความเชื่อโบราณของคนอียิปต์ กระต่ายเป็นสัญลักษณ์ของ "ดวงจันทร์" ประกอบกับการยึดเอาปฏิทินทางจันทรคติมาเป็นตัวกำหนดวันอีสเตอร์ในแต่ละปี ด้วย ดังนั้นกระต่ายจึงเป็นของแถมกลายเป็นสัญลักษณ์ของอีสเตอร์ไปเลย
ด้านตำนานสมัยใหม่เกี่ยวกับกระต่ายคือ สตรีนางหนึ่งซ่อนไข่อีสเตอร์ไว้สำหรับลูกๆของนางในช่วงกันดารอาหาร ในขณะที่เ ด็กๆพบไข่ที่คุณแม่ซ่อนไว้นั้น พวกเขาพบกระต่ายตัวโตตัวหนึ่งกระโดนออกไปจากหลุมที่ซ่อนไข่นั้น พวกเด็กๆจึงเข้าใจว่า กระต่ายเป็นผู้เอาไข่มาให้พวกเขา ดังนั้นเรื่องของกระต่ายจึงแจมเข้ามาด้วยประการละฉะนี้
Easter Eggs : ไข่อีสเตอร์
(https://lh4.googleusercontent.com/_g8DFBHvDyh8/TaR1GNZrY5I/AAAAAAAAAPI/FBNRTMxAdo0/s800/Easter2.jpg)
การหาไข่อีสเตอร์ กลายเป็นธรรมเนียมประเพณีที่สนุกสนาน เคียงคู่ไปกับการเฉลิมฉลองวันอีสเตอร์ จนยากที่จะตัดทิ้ง ทั้ งๆที่ไข่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับอีสเตอร์แรกเลย เริ่มแรกเมื่อมีการใช้ไข่ในยุโรปสมัยโบราณ หมายถึง "ชีวิตใหม่" หรือ "ความ อุดมสมบูรณ์ที่กลับมาอีกครั้งหนึ่งในฤดูใบไม้ผลิ" ชาวยุโรปเคยใช้ไข่กลิ้งไปตามท้องทุ่ง แล้วบนบานให้ทุ่งนาของตนมีผลิตผลบริบูรณ์
ต่อมาเมื่อคริสต์ศาสนาเผยแผ่เข้าไปในยุโรป และในหลายๆประเทศยอมรับเชื่อเป็นสาวกของพระเยซู เมื่อถึงปัสกา หรือ อี สเตอร์ ซึ่งตรงกับฤดูใบไม้ผลิพอดี เลยเอาไข่ที่เคยใช้แต่ก่อนแล้วมาผสมโรงด้วย
ไปดูหลักฐานการใช้ไข่ตั้งแต่โบราณคือ ชาวอียิปต์ และชาวเปอร์เชียได้นำไข่มาทาสีและมอบให้เป็นของขวัญแก่เพื่อนๆ ในเ วลาต่อมาคริสตชนในตะวันออกกลาง เป็นพวกแรกก็ได้เอาไข่ทาสีเข้ามาในพิธีเฉลิมฉลอง อีสเตอร์ของตน
ณ เวลานี้ ไข่ก็ได้พัฒนาเป็นช็อกโกแลตรูปไข่หรือไข่พลาสติก ข้างในบรรจุของกิน หรือของขวัญตามที่จะออกแบบใช้กันในป ระเทศนั้นๆ นี่เป็นที่มาด้านธุรกิจ อย่างไรก็ตามสำหรับอีสเตอร์ในคริสตจักรไทยๆ ก็ยังนิยม เอาไข่ ไก่-เป็ด มาต้ม ทาสีแดง หรือไม่ ทา แต่ก็เอาไปซ่อนไว้ในที่ต่างๆ เช้ามืดของวันอาทิตย์ คริสตชนจะไปโบสถ์กันตั้งแต่เช้ามืด เด็กๆก็หาไข่ที่ซ่อน ผู้ใหญ่ก็ร่วมนมัสก ารเช้ามืด จำลองสถานการณ์เหมือนเช้าตรู่ เมื่อสองพันปีที่ แล้วที่สาวกย่องไปที่อุโมงค์เพื่อไปชโลมพระศพ และพบว่าอุโมงค์ว่างเปล่า เพราะพระเยซูเป็นขึ้นจากความตายแล้ว
ปริศนาน่ารู้ เกี่ยวกับวันอีสเตอร์
(https://lh3.googleusercontent.com/_g8DFBHvDyh8/TaR1LxNjtzI/AAAAAAAAAPM/50I2C_hXZ1g/s800/Easter3.jpg)
หลายๆ คน คงสงสัยว่า วันอีสเตอร์เกี่ยวอะไรกับเทศกาลปัสกาล่ะ เพราะคำว่าอีสเตอร์ไม่เคยพบในพระคัมภีร์เลยสักตอนเดีย ว แต่ทำไมถึงมีความหมายและความสำคัญต่อคริสตชนมาก แล้วทำไมเรื่องราวของอีสเตอร์มาเกี่ยวข้องกับวันหยุด เกี่ยวกับไข่ เกี่ยวกับการ์ดอวยพร เกี่ยวกับดอกไม้ ฯลฯ
คำว่าอีสเตอร์ไม่ได้ ปรากฏในพระคัมภีร์ก็จริง แต่เรื่องราวและความหมายปรากฏชัดมาก นั่นคืออีสเตอร์ถูกนำมาใช้เรียกเทศกาลเฉลิมฉลองการที่ "พระเยซูคริสต์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย" นาม อีสเตอร์นี้ได้มาจากชื่อของเทพธิดาหรือพระแม่เจ้าแห่งฤดูใบไม้ผลิ ของพวกแองโกลแซงซอนที่นามว่า "Eastre" ซึ่งคำนี้เข้าใจกันว่ามาจากภาษาเยอรมันโบราณ คือ Eostarun แปลว่า "รุ่งอรุณ" และเข้าใจว่าการฉลองการคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์เกี่ยวกับฤดูใบไม้ผลินั่น เหมาะสมเพราะ...
1. วันอีสเตอร์อยู่ในฤดูใบไม้ผลิ (ระหว่างเดือนมีนาคม และเมษายน )
2. ฤดูใบไม้ผลิเป็นสัญลักษณ์ของชีวิตใหม่ ต้นไม้ใบไม้ที่ดูเหมือนตายในฤดูหนาว
กลับผลิใบออกดอกดุจเกิดใหม่ ดังนั้นจึงเป็นภาพที่เหมาะสมที่จะพรรณาถึงการ
กลับเป็นขึ้นจากความตายของพระคริสต์
อย่างไรก็ตามตัวเทศกาลนี้ได้พัฒนามาจากเทศกาล "ปัสกา" (Passover) ของยิว ซึ่งในภาษาฮีบรูนั้นคือ Pesah ส่วนกรีกคื อ Pascha เมื่อกลับไปที่พระคัมภีรืใหม่เหตุการณ์ต่างๆช่วงสุดท้ายในพระชนม์ชีพของพระ เยซูคริสต์ อยู่ในช่วงเทศกาลปัสกาดั้งเดิ ม วันอีสเตอร์ได้ถือปฏิบัติกันในวันปัสกา เป็นวันที่ 14 เดือนนิสาน เดือนนิสาน (Nisan) คือเดือนแรกของปีของชาวยิว (ซึ่งคล้ายกับเดือนมกราคมของสากล) เดิมมีชื่อว่า อาบีบ (Abib) ตรงกับช่วงเดือนมีนาคม-เมษายนในสมัยปัจจุบัน
และวันปัสกานั้นตรงกับวันที่ 14 เดือนนิสาน (ดูอพยพ 12:18; เลวีนิติ 23.5; อิสยาห์ 3.7; เนหะมีย์ 2.1) จนกระทั่งถึงศตวร รษที่ 2 คริสตชนบางกลุ่มเริ่มเฉลิมฉลองวันอีสเตอร์ในวันอาทิตย์ หลังจากวันที่ 14 เดือนนิสาน โดยถือเอาว่าวันศุกร์ก่อนวันอาทิตย์นั้ นคือวันที่พระเยซูคริสตืเจ้าถูกตรึงที่ไม้กางเขนจนสิ้นพระชนม์ ผลสุดท้ายก็เกิดการโต้เถียงในเรื่องวันที่ถูกต้องในการฉลองเทศกาลอีสเตอร์
จนกระทั่งในปี ค.ศ.197 วิคเตอร์แห่งโรม ได้บีบคริสตชนที่ยืนยันการเฉลิมฉลองอีสเตอร์ในวันที่ 14 เดือนนิสาน ไปจากหมู่ คณะ แต่การถกเถียงยังคงดำเนินอยู่ต่อไป จนกระทั่งมาถึงต้นศตวรรษที่ 4 "จักรพรรดิคอนสแตนติน" ทรงบัญชาให้ฉลองวันอีสเตอร์เป็นวันอาทิตย์หลังวันที่ 14 เดือนนิสาน แทนการเฉลิมฉลองวันที่ 14 เดือนนิสาน เหมือนที่เคยปฏิบัติกันมา
โดยเหตุนี้ วันอีสเตอร์จึงได้รับการเฉลิมฉลองในวันอาทิตย์แรก หลังจากวันเพ็ญแรกที่ตามหลัง "วสันวิษุสวัต" (Vernal Equinox) ซึ่งเป็นวันที่เวลากลางวันและกลางคืนเท่ากัน ตรงกับวันที่ 21 มีนาคม พูดกันง่ายๆคือจากวันนั้น ถึงวันนี้ "วันอีสเตอร์" จะต้องหลังจากวันที่ 21 มีนาคม ของทุกๆปี
จึงสรุป ดังนี้เมื่อเริ่มแรกนั้น วันอีสเตอร์เป็นงานเลี้ยงเฉลิมฉลอง ความสอดคล้องของเหตุการณ์ที่พระเจ้าทรงนำชาวอิสราเอ ลให้อพยพรอดออกมาจากอียิปต์ในวัน "ปัสกา" และเหตุการณ์ที่พระเยซูคริสต์ทรงไถ่ ผู้ศรัทธาในพระองค์ให้รอดจากความบาป จน กระทั่งต้นคริสต์ศตวรรษที่ 4 อีสเตอร์จึงแยกออกมาและประกาศอย่างชัดเจนว่า เป็นการเฉลิมฉลองเพื่อระลึกถึง "การเป็นขึ้นมาจา กความตายของพระเยซูคริสต์" หลังจากที่พระองค์ถูกตรึงบนไม้กางเขนเพื่อไถ่บาปของมนุษย์ และการฉลองนี้จะอยู่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิที่เคยเป็นเทศกาลเฉลิมฉลองฤดูใบไม้ผลิ ของชาวยุโรป
ขอให้ทุกๆคน มีความสุขมากๆในเทศกาลอีสเตอร์ที่จะถึงนี้นะจ้ะ :-* :-* :-*
ขอบคุณนะค่ะสำหรับความรู้ เรื่องเทศกาลอีสเตอร์ เมื่อก่อนมิเคยสนใจ ตั้งแต่มีไอ้ตัวเล็กมาเนี้ย ต้องเสาะแสวงหาความรู้เกี่ยวกับเทศกาลต่างๆที่เกี่ยวข้องกะเด็ก เพราะเราอยากให้เค้ารับเอาทั้งวัฒนธรรมของที่นี่และของบ้านเราด้วย
สวัสดีค่ะคุณลูกจันทร์ :)
ขอบคุณค่ะที่หาข้อมูลเกี่ยวกับเทศกาลอีสเตอร์มาใหดอ่านกันได้ความรู้เยอะเลยค่ะ ;)
ปล.กิ๊บพึ่งจะได้รับขํ๊อกกี้กระต่ายจากคุณแม่ของสามีอ่ะค่ะ..แบบว่าน่ารักมากเอาไว้กินวันหลัง ;D ;D ;D