Pall's Webboard

General Category => ห้องนั่งเล่น คุยกันสบายๆ => Topic started by: kornnika on September 07, 2010, 07:03:18 PM

Title: มาแบ่งปันประสบการณ์การมีลูกครึ่งกันเถอะ
Post by: kornnika on September 07, 2010, 07:03:18 PM
 :)สวัสดีคะทุกคน เทวีกลับมาอีกครั้งหลังจากที่หายไปนานมากๆ เพราะมัวแต่ยุ่งกะเจ้าตัวเล็กที่กำลังโตวันโตคืน นี่ก็จะได้7เดือนแล้ว เวลาผ่านไปเร็วเหมือนโกหก เข้ามาอ่านเวปบอร์ดอีกครั้งก็พบว่าคุณโจ้ท้อง7เดือนแล้ว ดีใจด้วยนะคะคุณโจ้(เทวีรู้ว่าคุณโจ้ต้องเข้ามาอ่านแน่) อีกอย่างเทวีเล่นแต่เฟจบุ๊คเลยไม่ได้เข้ามาหาเวปป้าพอลเลย ขอโทษนะคะ
ตั้งหัวข้อนี้ขึ้นมาอยากจะรับรู้และแบ่งปันเรื่องราวของเด็กๆลูกครึ่งทั้งหลายว่าเป็นยังไงกันบ้าง ยังไงทั้งคุณแม่คุณลูกช่วย(รบกวน)เข้ามาแนะนำตัวหน่อยนะคะ ชื่ออะไรกันบ้างมีชื่อฝรั่งชื่อไทยยังไง กี่ขวบแล้ว แล้วพูดกันคนละกี่ภาษา (ขอมากไปปะเนี้ย) แบบว่าจะได้เอามาเป็นตัวอย่างให้ลูกชายของเทวีบ้างนะคะ
เทวีขอแนะนำตัวเองก่อนเลยนะ(สำหรับคนที่ยังไม่รู้จักกัน ...หรืออาจจะลืมกันไปแล้ว)
อยู่ซังค์กาแลนด์นะคะ งานไม่ทำแล้วเลี้ยงลูกอย่างเดียวค่ะ อ้อไม่ซิ ตั้งแต่ลูกได้6เดือน ก็ไปทำงานที่เดียวกะสามีอาทิตย์ละวัน ปล่อยให้ลูกชายวัย6เดือนครึ่งอยู่กะคุณญาย่าเพื่อฝึกภาษาสเปนค่ะ
น้องชื่ออรกร(อ่านว่า อะระกร)Aragorn Manuel คนไทยฟังเป็นชื่อไทย คนฝรั่งฟังเป็นชื่อฝรั่งดังนั้นอรกรมีชื่อเดียวคือชื่อไทยและชื่อฝรั่ง ยกเว้นชื่อรองคือ มานูแอล
น้องเป็นลูกครึ่ง ไทย-สเปน-อิตาลี ที่ได้พาสสวิสเป็นพาสแรกและตามด้วยพาสไทยครับป๋ม
ตอนนี้อรกรเริ่มนั่งได้แล้ว นั่งได้2วันแล้วค่ะ กินเก่งมากๆ เห็นใครกินอะไรอยากกินบ้าง กินทีละกาละมัง นน.8กก.สูง67ซม. โตขึ้นแม่ฝันอยากให้เป็นนายแบบหรือไม่ก็เจ้าของธนาคาร555
Title: Re: มาแบ่งปันประสบการณ์การมีลูกครึ่งกันเถอะ
Post by: นันทนา on September 08, 2010, 05:27:13 PM
Hi Khun Tewee,

I have read yout forum for many time but never wrote to you ,sorry that I can't write in Thai because my computer notebook is broken .I'm Thai ,I married a Swiss man ,now we have a lovely daughter .we live in  Bellinzona ,Ticino ,south of switzerland.I also want my daughter become MissSwitzerland.55555555555
It 's true that time goes by very quick when we are always busy taking care of kids. Tkae care of your son and your family.
Title: Re: มาแบ่งปันประสบการณ์การมีลูกครึ่งกันเถอะ
Post by: kornnika on September 08, 2010, 07:21:48 PM
สวัสดีค่ะคุณนันทนา
ขอบคุณนะคะที่เข้ามาร่วมแบ่งปันความสุขตามประสาคนมีลูกกัน แล้วก็รู้สึกยินดีมากๆค่ะที่(แอบติดตามผลงานเทวีฮิฮิ)แม้ว่าช่วงนี้ผลงานที่โดดเด่นเพียงอย่างเดียวคือเลี้ยงลูกค่ะ คุณนันทนายังไม่ได้เล่าให้ฟังเลย ว่าน้องสาวว่าที่มิสสวิสเนี้ย อายุเท่าไรแล้วชื่ออะไรเอ่ย เลี้ยงง่ายไหมคะ มีแววเป็นนางงามหรือยังคะ สอนให้รักเด็กนะ จะได้เป็นางงมเร็วๆ อย่างนี้เทวีต้องขอหมั้นกะ อรกรไว้แล้วละ คุณนันทนาอยู่สวิสนานหรือยังคะ แล้วภาษาอิตาเลี่ยนเป็นยังไงบ้าง ถึงไหนแล้ว ใกล้ถึงกรุงโรมหรือยังคะ เทวีว่าภาษาอิตาลีเพราะดีค่ะ เพราะกว่าภาษาเยอรมันมากๆเลย อรกรไม่ค่อยได้เรียนภาษาเยอรมันหรอกค่ะ ยกเว้นว่าเราไปหาเพื่อนๆ หรือไม่ก็ฟังจากโทรทัศน์เอา เพราะว่าที่บ้านเทวีหลายภาษามากๆ และกลัวลูกเสียโอกาศเรียนหลายภาษา เพราะไหนๆเราก็มีโอกาศให้เขาเรียนหลายๆภาษาแล้ว ดังนั้น อัดเข้าไปอย่างเดียวค่ะ แม่ภาษาไทยกะอังกฤษ พ่อกะย่าภาษาสเปน ส่วนเพื่อนๆก็เยอรมัน ตอนนี้อรกรพูดได้แล้วค่ะ แต่ยังแยกไม่ได้ว่าภาษาอะไร เพราะอรกรพูดว่า มา มา ม่า ปา ปา ป่า ญา ญา ญ่า เลยไม่รู้ว่าภาษาอะไรกันแน่555 มีประสบการณ์ยังไง มาเล่ากันฟังบ้างนะคะ โชคดีในการเลี้ยงลูกเช่นกันค่ะ
Title: Re: มาแบ่งปันประสบการณ์การมีลูกครึ่งกันเถอะ
Post by: spa on September 09, 2010, 06:38:30 PM
สวัสดีค่ะทุกท่านคุณเทวีเจ้าของทู้
ถ้าลูกโตแล้วคุยด้วยได้หรือเปล่าจ้ะ
สปาร์
Title: Re: มาแบ่งปันประสบการณ์การมีลูกครึ่งกันเถอะ
Post by: kornnika on September 09, 2010, 07:53:19 PM
สวัสดีค่ะคุณspa
ยินดีค่ะ ลูกโตแล้วนี่กี่ขวบ กี่ปีค่ะ อย่างนี้คุณสปาต้องประสบการณ์เยอะแน่ๆ ยังคงจำตอนลูกเล็กได้ไหมคะ เอามาแบ่งปันกันบ้างนะคะ รอฟังค่ะ ก่อนอื่นต้องรายงานตัวก่อนนะคะ ทั้งลูกทั้งแม่เลย เอ้า เอาเลยค่ะ รออ่าน
Title: Re: มาแบ่งปันประสบการณ์การมีลูกครึ่งกันเถอะ
Post by: นันทนา on September 09, 2010, 08:16:22 PM
Hi Khun Tewee,

I am glad to talk with you too.I live in Switzerland since February 2009.My Italian is not good still in switzerland or maybe arrive the border of Italy  55555.I din't have much time to study as you know to raise a child you have to spend all your time with him or her , You are good that you can do both as mother and working woman.Actually I would like to work too. My first problem is that I can't speak italian well.Second I don't know what kind of job I can do here.I have so many things that I would like to do but I still do nothing.Right now only tkae care of my daughter .I think we are lucky that we can take care of our kids.

anyway,my daughter is 13 months old,We named her Giada .It's Italian name,it means jade in English.I also speak English and Thai with my daughter and sometimes I speak Italian too.It's a good anvantages if we can speak many languages with kids because they can learn languages without any problem but they might speak later than the other kids whose parents speak only one language.Right now she can understand some Thai words and can follow what I say for example when I would like to undress her and I told her to put her hand up and she always does it right.

Seem like your son is very healthy too.My daughter never get sick over her first year.this is great .
Anyway, take care
hope to hear from you .
Title: Re: มาแบ่งปันประสบการณ์การมีลูกครึ่งกันเถอะ
Post by: kornnika on September 10, 2010, 06:43:45 AM
สวัสดค่ะคุณนันทนา
นั่งอ่านภาษาอังกฤษของคุณแล้วในหัวก็ตอบเป็นภาษาอังกฤษตามเลยอะ ภาษาอังกฤษคุณดีมากๆเลยนะคะ ที่อีกอย่างชื่อลูกสาวเพราะมากๆค่ะ ไม่ทราบว่าน้องมีชื่อไทยไหมคะ อายุ13เดือนแล้ว เดินหรือยังเอ่ย คุณพ่อคงพูดอิตาเลี่ยนด้วยแน่ๆเลยใช่ไหมเนี้ย แล้วไม่ทราบคุณแม่พูดอังกฤษด้วยตอนไหนละคะ เพร่าะเทวีก็พูดกับลูกเหมือนกัน เวลาร้องเพลงเด็ก หรือเล่านิทานอะไรประมาณเนี้ย แล้วก็เวลาสื่อสารกับคุณพ่อเขาก็พยายามคุยภาษาอังกฤษค่ะ มีแต่คุณพ่อนี่ละดื้อ บางทีก็ติดภาษาเยอรมันกะเทวี แต่กับลูกนี่เค้าคุยแต่สเปนอย่างเดียว คุณพ่อบอกว่าเวลาเรียนสเปนก่อนแล้วอิตาเลี่ยนจะตามมาทีหลัง เพราะความใกล้เคียงของภาษา ข้อได้เปรียบคือ คนสเปนฟังคนอิตาลีพูดรู้เรื่องแต่คนอิตาลีฟังคนสเปนไม่ค่อยรู้เรื่องดังนั้นจึงเลือกเรียนสเปนก่อน อีกอย่างเลือดสเปนของพ่อน้องอรกรแรงกว่าเลือดอิตาลีค่ะ (ยิ่งบอลโลกชนะเนี้ย ไม่ต้องพูดถึงเลย55) แฟนเทวีเกิดที่สวิส พ่อเป็นอิตาลีแม่เป็นสเปน ที่บ้านไม่มีใครพูดเยอรมันเลย สามีเทวีพูดเยอรมันไม่ได้จนเข้าสถานรับเลี้ยงเด็ก แม่ยายเล่าให้ฟังว่า3เดือน พูดเหมือนเด็กสวิสไม่มีผิด และภาษาสเปนของเขาก็เป็นสเปนที่เป็นภาษาแม่จริงๆ คือสำเนียงก็เหมือนถิ่นที่มาของแม่ นี่คือข้อได้เปรียบของการเรียนตั้งแต่เด็ก เพราะเด็กจะไม่ลืมเลยค่ะ ไม่เหมือนเทวีอะ เทวีเป็นคนชอบเรียนมากๆ ตอนเรียนมหาลัยที่เมืองไทย ได้เรียนภาษาญี่ปุ่น4ปี ตอนนั้นพูดปร่อเลย มาถามตอนนี้ซิ จำไม่ได้เลย และจำไม่ได้เลยจริงๆนะคะ ข้อเสียของผู้ใหญ่ถ้าไม่ได้ใช้ก็ลืม ส่วนเรื่องงานเทวีเข้าใจคุณนันมากๆว่า โครงการพันแปดร้อยล้านเต็มหัว แต่ไม่รู้จะเริ่มตรงไหน ก็เริ่มกับลูกไปก่อนละคะดีแล้ว เพราะไม่มีสิ่งใดสำคัญกว่าชีวิตและความสามารถของลูกที่เราจะร่วมกันสนับสนุนในขวบปีแรกและปีที่2ได้เลย
Title: Re: มาแบ่งปันประสบการณ์การมีลูกครึ่งกันเถอะ
Post by: kornnika on September 10, 2010, 06:50:05 AM
มาต่อค่ะ
เพราะเห็นว่าชีวิตและความสามารถของลูกที่เราจะร่วมกันสร้างกับเขาไม่มีเงินมากมายมาซื้อได้ สามีเห็นดีเห็นงามเพราะให้มาอยู่สวิสในฐานะภรรยามิใช่ มาหางานทำ จริงๆที่บ้านเทวีก็ไม่ได้มั่งมีมากมายอะไร แค่พอประมาณอยากได้อะไรก็ได้(หลังจากพิจารณาอยู่นาน55) เรียกว่าปานกลางแล้วกัน แต่เราก็มีความสุขกันดีเพราะไม่ได้เห็นเงินเป็นเรื่องใหญ่ เงินทองของนอกกาย แต่ถ้ามีใครให้ก็เอา (เฮ้ย ตัวตนที่แท้จริงออกมานะเนี้ย) แค่ได้มีความสุขกับลูกและสามี ได้ทำในสิ่งที่อยากทำ เท่านั้นก็โอเคค่ะ นี่เทวียังมีโครงการอยากเรียนต่อโทที่สวิสด้วยนะเนี้ย มันยังอยู่ในหัวไม่ยอมไปไหนสักที แบบว่าเทวีเป็นคนขี้อิจฉาอะ เห็นเพื่อนที่เมืองไทยใครๆก็จบโทกันทั้งนั้น เราตอนนี้จะจบเอกกับอรกรอยู่แล้ว เลยฝันไว้ว่าอยากได้ปริญญาเมืองนอกไปแปะฝาบ้านให้แม่ที่บ้านเอาไว้โม้เวลาใครมาหาแกไง แม่บอกว่าหากเทวีได้ป.โทสวิส แม่จะจัดโต๊ะจีนเลี้ยง55(เพราะเทวีไม่ได้แต่งงานที่เมืองไทยด้วยละ แกเลยไม่ได้จัดงานอะไรให้เทวีเลย)..แบบว่าหาเรื่องจัดงานไง
โม้เรื่องตัวเองเยอะอีกแล้ว แทนที่จะโม้เรื่องลูก
Title: Re: มาแบ่งปันประสบการณ์การมีลูกครึ่งกันเถอะ
Post by: นันทนา on September 10, 2010, 08:30:04 AM
 ;D Hi Khun Tewee,

It's nice to know more about you and your family.My daughter still can't walk but she can go 4 parts like a cat ,she goes around everywhere and whereever she goes she always make a mess.she likes to empty the drawers or trash if she can reach them.I think it 's normal for kids at this age.They enjoy playing around and  they are interested in things around themselves more than toys.Her Thai name is " Baimon" .

My husband always speaks Italian with her.I speak Thai but when I speak with my husband I speak Italian and english together because my Italian is not good when I dont know how to say or explain in Italian I always speak English with him.Well, I would like her to be able to understand Thai first because when we go to Thailand I would like her to be able to understand grandparents and other relatives and also to feel close to them if she can understand them. I'm not worry about the languages for her.She can learn Italian from school.Education system here, kids learn in Italian,but they also learn French and English now.so right now I focus on Thai first when she goes to school I will teach her English.WE realize that languages are important here if you want to get good job. My husband he can speak Italian ,French, German,Egnlish and now he can understand some Thai words or sentences when I speak to our daughter.So we would like our daughter to speak many languages too.

I also would like to study master degree here too ,When I was in collage.I took two courses of Japanese ,I was able to communicate a bit but now I can rememebr only one or two sentences.My hunsband has the same idea with your hunsband that have wife here to raise kids and have family not to get job and get money to send to Thailand.55555 Well, I understood that is the good reason for it but I still want to work because I love working a lot.Although to be housewife is hard work and have to work 24 hours but if I can get a job it would be more challenge.

I have 2 sisters ,the oldest sister married ,she has 2 kids.My other sister still single . They are goverment officers.I was goverment officer when I was in Thailand but that not important anymore.now everythings new for me have to begin life here.

Ok, I have to go I have do laundry and go for a walk to make my daugther fall asleep.Anyway ,it's nice to talk with you and hope that we can get to know each toher more and share our experience together.
bye bye ,have a good day and take care
Title: Re: มาแบ่งปันประสบการณ์การมีลูกครึ่งกันเถอะ
Post by: kornnika on September 10, 2010, 09:58:54 AM
Dear K. Nantana,
It is also great to know you more!
We may know each other more as you would like. When it is ok for you we can talk or chat by Facebook. just add me as a friend. My name is Kornnika Matteagi. See you there.
Title: Re: มาแบ่งปันประสบการณ์การมีลูกครึ่งกันเถอะ
Post by: spa on September 10, 2010, 10:43:58 AM
สวัสดีค่ะคุณเทวีและทุกท่าน
ขออนุญาตบอกเฉพาะเรื่องเด็กๆนะเจ้าคะมีลูกสองคนค่ะ ลูกสาวอายุ 14 ปี และลูกชายอายุ 12 ปี กำลังปวดหมองเลยหล่ะ
ชีวิตตอนที่เลี้ยงลูกตอนเล็กๆถ้าย้อนกลับไปได้อีกมันเป็นความสุขอีกแบบเพราะว่าได้เห็นการพัฒนาการทางร่างกายและทางสมองไปพร้อมๆกับเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในการใช้ชีวตในต่างแดน (เรียกว่าไงดีจะว่าใช้ชีวิตที่เป็นครอบครัวก็ไม่เชิงเรียกง่ายๆแล้วกันว่าปรับตัว) เพราะว่าพอมาอยู่ปีแรกต้องเรียนภาษาเพื่อที่จะสื่อสารกับชาวบ้านชาวช่องได้

พออยู่ไปอยู่มามันเหมือนขาดอะไรก็เลยตกลงมีลูกซะเลยพอเปิดปุบติดปับเลยเหมือนกดปุ่มและต้องเลี้ยงลูกคนเดียวเรียกว่าเลี้ยงคนเดียวจริงๆไม่มีเอาไปให้ใครเลยส่วนคุณสามีก็ตั้งหน้าตั้งตาเรียนและทำงานจะไปพื่งพาในยามคำ่คืนเหมือนในหนังมันยากมากก็เลยต้องเลี้ยงเองขอบอกว่ามันสุดยอดแทบอยากจะลาออกจากการมีครอบครัวเลยหล่ะ

เรื่องการเลี้ยเด็กเล็กตัวคุณแม่จะมีความรู้สืกชื่นชมวาดฝันว่าอยากจะให้เป็นต่างๆนาๆพอพวกเค้าโตไอ้ความฝันที่เราวาดทำไมมันชักจะไม่ใช่เลยถือคติทำวันนี้และขณะนี้ให้ดีที่สุดที่เหลือเราไม่มีความสามารถจับลูกๆให้มานั่งนอนกินเหมือนเค้าเป็นเด็กเลักๆช่วงระหว่างหนื่งขวบปีแรกได้

แม่ๆยังต้องพบและเจออะไรอีกมากมายมีคติที่ต้องเตือนตัวเองประจำว่าลูกเล็กปัญหาเล็กลูกโตปัญหามันก็โตตามตัวแล้วแต่ว่ามันจะออกมารูปไหนเวลาไหนมันจะโผ่มาให้เราแก้เรื่อยๆในขณะเดียวกันถ้าลูกเราเชื่อฟังยังไม่แตกแถวและนำชื่อเสียงมาให้คนเป็นพ่อแม่ก็เกิดความภาคภูมิใจ

ดังนั้นยินดีกับทุกๆท่านที่มีน้องๆเล็กๆมันเป็นความสุขที่ยากจะอธิบายเก็บเกี่ยวความน่ารักและประสบการณ์ที่เราเลี้ยงพวกเค้ามาให้มากๆขอยำ้เผื่อเอาไว้ตอนมันทำให้เราเสียใจจะได้เตือนให้เราย้อนคิดกลับไปในวันวานยังง่ายอยู่555555555555

เรื่องทำงานนอกบ้านมันขื้นอยู่กับการจัดการของแต่ละบ้านความจริงส่วนตัวอยากออกไปทำงานมากกกกกกกกกก ถามว่าเคยทำงานที่นี่ไหม๋ก็เคยมันเป็นความสุขส่วนตัวและความภาคภูมิใจอย่างหนื่งเพราะไม่ได้ขื้นชื่อว่าเกาะสามีกินอย่างเดียวมันก็จะมีแต่อีกว่ามันคุ้มค่าหรือเปล่าที่เราออกไปทำงานและมีคำถามมากมายให้กับตัวเองสรุปก็ต้องเกาะสามีกินไปเรื่อยๆจนกว่าลูกๆจะออกจากอกแล้วค่อยว่ากันใหม่

ถ้ามีคำถามเรื่องเด็กๆถามได้นะคะเพราะลูกกำลังเข้าวัยรุ่นจะมีบทสนทนาที่มันสุดยอดแล้วแต่ประสบการณ์ของใครของมันเมื่อตัวเราเองเป็นวัยรุ่นเพื่อนๆเคยบอกว่าถ้าลูกเข้าวัยรุ่นให้คิดถืงตอนที่ตัวเราเองเป็นวัยรุ่นเออมันจริงของเค้าเว้ย

วันนี้แค่นี้ก่อนนะคะยังคงต้องทำหน้าที่แจ๋วแหวอยู่เหมือนเดิมแต่ขอยืนยันว่ามีความสุขตามอัตภาพแล้วแต่อากาศและคนรอบข้างว่าจะมาไม้ไหน55555555555

สปาร์
Title: Re: มาแบ่งปันประสบการณ์การมีลูกครึ่งกันเถอะ
Post by: Jojo on September 11, 2010, 09:44:27 AM
สวัสดีค่ะทุก ๆ คน

พอเปิดมาเจอหัวข้อนี้ปุ๊บต้องรีบเข้ามาแจมสักหน่อย  ;D
ถ้าจะให้แชร์ประสบการณ์ลูกครึ่งก็คงต้องเป็นครึ่งแรกก่อน เพราะครึ่งหลังยังอยู่ในท้อง อีกสองเดือนถึงจะเข้ามารายตัวได้..555
ลูกสาวคนแรก ชื่อธัญวัน ชื่อเล่นธัญญ่า น้ำหนักแรกคลอด 3.5 กก. มีปัญหาเรื่องการคลอดเลยต้องผ่าคลอดฉุกเฉินแบบซีซ่า ลูกมีอาการขาดอ๊อกซิเจนตั้งแต่ในท้อง แต่หลังคลอดทุกอย่างปกติดี ตอนนี้อายุ 8 ขวบค่ะ คลอดที่กรุงเทพฯ แต่ไปโตที่เกาะสมุย  ;D

ธัญญ่าเป็นเด็กที่เลี้ยงง่ายมากๆๆๆๆ กินง่าย อยู่ง่าย ร้องไห้เฉพาะเวลาหิว ง่วง และไม่สบายเท่านั้น โจ้ออกจากงานตั้งแต่ท้องได้ 2 เดือน เพราะแพ้ท้องอย่างแรง พอลูกคลอดก็เลี้ยงลูกเองตลอด เพราะอยู่ไกลพ่อไกลแม่ จะบอกว่าเป็นช่วงเวลาที่สนุกและมีความสุขมากค่ะ ได้เห็นพัฒนาการของเค้าแต่ละเดือน มีการเปลี่ยนแปลงเรื่อย ๆ ชีวิตนี้ไม่เคยเลี้ยงเด็กมาก่อน น้องตัวเองก็ไม่เคยเลี้ยง เพราะพื้นฐานเป็นคนที่เกลียดการเลี้ยงเด็กมาก แต่ชอบแกล้งเด็กอ่ะ...อิอิ แต่พอมามีลูกเอง มันเหมือนสัญชาตญาณความเป็นแม่มันออกมาเองนะคะ ศึกษาจากหนังสือดวงใจพ่อแม่ และรักลูก ผสมผสานกับการเลี้ยงแบบโบราณ ตามคนเก่าคนแก่เค้าว่ากันมา ช่วง 0-3 เดือนก็ไม่มีอะไรมากเพราะเค้ากินนมอย่างเดียว พอเริ่ม 4 เดือนก็เริ่มให้น้ำส้มเสริม พอเข้า 6 เดือนช่วงนี้สนุกค่ะ สนุกกะการคิดเมนูให้คุณลูก เพราะจะทำอาหารให้ลูกเอง จะไม่ให้กินอาหารสำเร็จหรืออาหารขวด  แต่ก็หัดให้เค้ารู้รสอาหารขวดบ้าง เพราะจะได้ไม่ลำบากเวลาเดินทางค่ะ  ;D

ด้วยความเป็นคนชอบทำอาหารเป็นนิสัยอยู่แล้ว วัน ๆ ก็คิดเมนูอาหารให้ลูกอย่างสนุกค่ะ ปรับเปลี่ยนไปแต่ละวันไม่ซ้ำ เพราะเป็นการฝึกให้เค้ารู้รสอาหาร จนกลายเป็นเด็กกินง่าย และไม่เกลียดผักจนถึงทุกวันนี้ค่ะ ไม่ใช้เครื่องปั่นเดี๋ยวจะเสียคณค่าวิตามินไปหมด บดมันกับกระชอนเนี่ยล่ะค่ะ น้ำซุปก็สลับกันไป ซุปกระดูกไก่ กระดูกหมู ซุปปลา แต่จะฝึกให้เค้ากินอาหารทีละประเภท ทีละอย่างเพื่อสังเกตุเรื่องการแพ้อาหารด้วยค่ะ เช่น ไข่ หรืออาหารทะเลเป็นต้น หรืออาหารที่มีผลต่อการขับถ่าย พอเค้าได้ลองกินหลาย ๆ อย่างแล้วไม่มีปัญหา ต่อจากนั้นถึงจะทำแบบรวม ๆ ปน ๆ กันไปได้ ;D
Title: Re: มาแบ่งปันประสบการณ์การมีลูกครึ่งกันเถอะ
Post by: Jojo on September 11, 2010, 10:11:25 AM
ฝึกให้ลูกกินผักตั้งแต่ 6 เดือน ผักชี ต้นหอม ขึ้นฉ่าย ก็ต้ม ๆ บด ๆ ผสมลงไปด้วยค่ะ ด้วยความที่เราดูแลเรื่องอาหารดีมาก น้ำหนักคุณลูกพุ่งกระฉูด ลูกอ้วนตัวเป็นปล้อง ๆ เหมือนโลโก้ยางรถยนต์มิชชารีนอ่ะค่ะ สุขภาพแข็งแรงดี ตลอด 8 ปี ป่วยแบบนอนโรงพยาบาล 2 ครั้ง ;D

เรื่องกินไปแล้ว ต่อกันด้วยเรื่องพัฒนาการ ลูกคนนี้อ้วนค่ะขาใหญ่ เลยคว่ำช้ามาก โบราณเค้าว่าช่วงลูกคว่ำห้ามช่วยเพราะจะต้องช่วยลูกไปตลอดชีวิต  ??? พอคว่ำได้ก็นั่ง นั่งแล้วก็เดินเลยค่ะ เดินตอน 11 เดือน แต่ไม่ยอมคลาน ??? ตลอดระยะเวลาจะคอยสังเกตุและทดสอบเรื่องการเห็น ได้ยิน การพูดกับลูกตลอด สังเกตุดูว่าลูกมองตามเรามั๊ย จะเห็นเรารึป่าว พูดแล้วได้ยินเรามั๊ย คอยมองตามเสียงเรารึป่าว พอพูดได้แล้วพูดเป็นภาษามั๊ย พัฒนาการการพูดเพิ่มมากขึ้นหรือป่าว  จากหนึ่งคำ เป็นสองคำ และคำอื่น ๆ พูดเพิ่มมั๊ย ::) ช่วงที่เค้าเริ่มนั่งได้ จับของได้ ก็จะให้เค้าเริ่มหัดจับสีเทียน เขียนลงในกระดาษป่าวหรือสมุดระบายสี เหมือนจะให้เรียนเร็วไปนิดแต่มันดีสำหรับ กล้ามเนื้อหมัดมือ (ไม่รู้เรียกถูกหรือป่าวนะคะ) ในการหัดจับดินสอ แรก ๆ ลูกก็ทำได้แต่ จุด ๆๆๆๆ ลงในกระดาษต่อมาก็พัฒนาเป็นขีดๆๆ  ;D

พาลูกออกสังคม เจอคนแปลกหน้า คนนอกครอบครัวบ่อย ๆ ค่ะ แล้วเค้าจะไม่กลัวคน แล้วก็ไม่หวงลูกค่ะ ใครอยากอุ้มเอาไปเลย เพราะอุ้มคนเดียวเมื่อยมาก..555 เลี้ยงลูกไม่ถึงขนาดพาสเจอร์ไรซ์ คืออนามัยจัด เล่นกะดินกะทรายก็ปล่อยค่ะ ขนมตกลงพื้นไม่ถึงกับสกปรกมาก ก็ให้กินต่อ เป็นการสร้างภูมิคุ้มกันเชื้อโรคให้กับตัวเอง (อันนี้คิดเอาเองนะคะ...555) เคยให้ลูกกินนมบูดแบบไม่รู้ ลูกยังท้องไม่เสียเลย...หุหุ


Title: Re: มาแบ่งปันประสบการณ์การมีลูกครึ่งกันเถอะ
Post by: Jojo on September 11, 2010, 10:46:51 AM
เรื่องภาษา  ตอนอยู่เมืองไทยที่บ้านพูด 3 ภาษาค่ะ ไทย อังกฤษ สวิสเยอรมัน ลูกถนัดพูดไทยค่ะ แต่สามารถเข้าใจทุกภาษา แต่พอย้ายมาสวิสถนัดพูดสวิสเยอรมันค่ะ ส่วนภาษาเยอรมันพูดเวลาอยู่โรงเรียน ภาษาอังกฤษยังเข้าใจอยู่ แต่ภาษาไทยเริ่มทยอยนั่งเครื่องบินกลับเมืองไทยไปทีละตัว...555 แต่ก็ยังฝึกให้ลูกพูดไทยอยู่ค่ะ ฝืน ๆ กันบ้าง เวลาเค้าพูดผิดหรือใช้คำผิด ฟังแล้วขำดีค่ะ แล้วก็จะสอนให้เค้าพูดใหม่ อธิบายให้เค้าฟังใหม่  ;D

อนาคตอยากให้ลูกเป็นอะไร ??? ??? มิสสวิสคงไม่ได้เพราะตัวเล็กความสูงไม่ถึง แต่เท่าที่สังเกตุเค้าจากการที่ให้เค้าลองทำกิจกรรมหลาย ๆ แบบ หลาย ๆ อย่าง รู้สึกว่าลูกจะชอบละครเวที แนวตลก ๆ ขำ ๆ อ่ะ คิดว่าคงจะให้ไปสมัครอยู่ในคณะเชิญยิ้ม...555 ส่วนลูกชายนี่พ่อแม่ฝันอยากให้เป็นนักกีฬา ไอซ์ฮ็อกกี้ค่ะ แต่ก็ไม่อยากหวังไว้เยอะ กลัวโตแล้วกลับชอบบัลเล่ย์ขึ้นมาล่ะ..จบกัน เอาว่าลูก ๆ อยากเป็นอะไรก็เป็นไป แต่ต้องเรียนหนังสือให้สูงที่สุดก็พอ ;D

นอกจากเรื่องไอคิวแล้วก็ต้องเป็นเรื่องอีคิว เรียนเก่งแต่อยู่ร่วมกับคนอื่นไม่ได้ก็จบ สอนให้เค้าเห็นความเป็นจริงของสังคม ทำอย่างไรให้อยู่ให้ได้  และต้องรู้จักปรับตัวไปตามสังคม จะได้ไม่ลำบาก สอนให้ยึดสถาบันครอบครัวเป็นหลัก ไม่ให้ติดเพื่อน มีอะไรพูดคุยกะพ่อแม่ทุกเรื่อง บางเรื่องกลัวพ่อก็พูดกับแม่ รักษาความลับของลูกไว้ แล้วลูกจะไว้ใจเราที่สุด (แต่ก็แอบไปปรึกษาสามีเงียบ ๆ แบบไม่ให้ลูกรู้) ไม่เลี้ยงลูกเปรียบเทียบกับลูกคนอื่น ให้ความสำคัญกับเค้าทุกครั้งเวลามีกิจกรรมที่โรงเรียน เวลาทำโทษลูก หรือดุลูก จะจบด้วยคำว่า "พ่อแม่รักหนูน่ะ ที่ทำโทษเพราะหนูทำผิด ไม่ใช่ลงโทษเพราะไม่รัก" เพราะตอนเด็ก ๆ เวลาโจ้ถูกทำโทษจะคิดเสมอว่าพ่อแม่ไม่รัก แต่จริง ๆ มันไม่ใช่ แต่ช่วงวัยนั้นเราไม่เข้าใจลึกซึ้งต่างหาก มันเลยเก็บสะสมเป็นปมในใจทุกครั้งที่โดนทำโทษ บางครั้งเราก็ต่อต้านด้วยการประชดประชันซะเลย :-\

งานนอกบ้านยังมีเวลาพัก เวลาหยุดพักร้อน แต่งานเลี้ยงลูกขอบอกว่าเหนื่อยค่ะ พักไม่ได้หยุดไม่ได้ ทำ 24 ชม. 365 วัน :'( :'( แต่สนุกและมีความสุขค่ะ ถึงว่าปัจจุบัน ตัวเองต้องบริหารเวลามากขึ้น ไหนจะเรียนภาษา ไหนจะทำงานนอกบ้าน (งกอ่ะค่ะ อยากได้ตังค์) แต่ก็ไม่ละเลยหน้าที่หลักคือลูก และสามี  ดีตรงที่สวิสเค้าเปิดโอกาส มีงาน 20-50 เปอร์เซ็นต์ให้ทำ เราก็ทำได้ทุกหน้าที่อย่างไม่มีข้อบกพร่อง  ;D

แชร์ประสบการณ์การเลี้ยงลูกไว้เท่านี้ก่อนล่ะกันค่ะ ไว้รอคนที่สองออกมาแล้วจะมาเล่าสู่กันฟังใหม่ล่ะกันค่ะ  ;D
Title: Re: มาแบ่งปันประสบการณ์การมีลูกครึ่งกันเถอะ
Post by: kornnika on September 11, 2010, 08:19:54 PM
สวัสค่ะเหล่าคุณแม่ทั้งหลาย ทั้งคุณแม่ลูกโตแล้วและคุณแม่ลูกอ่อน และคุณแม่ครึ่งแรกและอีกครึ่งหลังที่กำลังจะตามมาอีก2เดือน
ขอบคุณมากสำหรับประสบการณ์ดีๆค่ะ ทั้งจากคุณสปาร์ที่ตอนนี้ลูกโตปัญหาก็โตตาม และจากลูกยังเล็กๆเหมือนพี่นันและคุณโจ้ (ที่เทวีกะแล้วว่าต้องไม่พลาดกระทู้นี้แน่ๆ) เทวีได้อ่านกระทู้ของคุณโจ้มากเหมือนกันเรื่องเลี้ยงเด็กแล้วก็อยากบอกว่าส่วนใหญ่แล้วเทวีเห็นดีเห็นงามและทำตามคุณโจ้ว่าทั้งสิ้นเลยค่ะ แต่ตอนนี้เทวีจะสอนลูกมากขึ้น สอนกันทั้งที่ยังเล็กนี่ละ ขวบปีแรกเด็กเรียนได้เร็วมาก เทวีอ่านหนังสือฝรั่งเล่มหนึ่ง ชื่อ ทารกของคุณก็ทำได้ อันนี้ภาษาเยอรมันค่ะ (ใช้ความพยายามสูงมากในการอ่าน) ตอนนี้เทวีฝึกอรกรนั่งโถส้วมเองแล้วค่ะ อรกรอายุ6เดือน ตอนนี้ไม่เปลืองแพมเพริสแล้ว แค่วันละ2ผืนเท่านั้น อรกรไม่อึในแพสเพิสเลย กินเสร็จแม่จะถอดผ้าอ้อมออกแล้วให้นั่งกระโถนเลยค่ะ ปรากฏว่าอรกรทำได้ภายใน2วัน เราก็ประหยัดค่าผ้าอ้อมไป
อีกเรื่องคือเรื่องอันตรายต่างๆรอบตัวเรา ให้เราสอนลูกถึงเหตุและผล ว่าถ้าลูกทำอย่างนี้จะเกิดอะไรขึ้น อย่าใช่แต่คำว่า ..อย่า.. อย่างเดียว เพราะเด็กจะไม่เข้าใจว่าทำไม อย่างเช่นไม่ให้ลูกถือส้อม เพราะส้อมมันแหลมมันจะทิ่มลูกแล้วลูกจะเจ็บ เทวีเอาจิ้มให้ดูเลย ให้เขารู้ว่าเจ็บคือแบบนี้นะ อันนี้ต้องค่อยๆดูไปว่าจะได้ผลขนาดได้ แต่ที่ได้ผลอีกอย่างคือตอนเปลี่นผ้าอ้อมบนโต๊ะสูง เทวีจะให้ลูกดูว่ามันสูงขนาดไหน ถ้าแม่ไม่เห็นแล้วลูกดิ้นไปมา ลูกหล่นลง ลูกจะเจ็บได้ ดังนั้นลูกต้องรู้ว่าลูกจะไม่ดิ้นตอนแม่ไม่เห็นหรือไม่อยู่กับลูกที่โต๊ะ อรกรไม่เคยดิ้นเลยเวลาที่เทวีห่างจากโต๊ะ แต่เวลาที่เทวีอยู่ด้วยอรกรดิ้นตลอด เหมือนรู้เลยค่ะ
วันนี้ง่วงแล้ว ค่อยมาต่อใหม่พรุ่งนี้เรื่องอาหารการกินของเจ้าหมูน้อยที่บ้านนะคะ
Title: Re: มาแบ่งปันประสบการณ์การมีลูกครึ่งกันเถอะ
Post by: naddyswiss on September 12, 2010, 01:30:22 PM
โหน่งมีลูกครึ่งไทย สวิส พี่ชาย ชื่อแอนดี้ อายุสี่ขวบห้าเดือนค่ะ แอนดี้ไม่ค่อยอ่้วนค่ะ ผอมมากจ้า ตัวเล็กกว่าชาวบ้านชาวเมือง ไปพบหมอแต่หมอบอกปกติ เลยไม่ได้สนใจก้อให้ลูกกินทุกอย่างที่เค้าสามารถกินได้กันไป

ลูกสาง นาตาลี อายุสามขวบสองเดือน ก้อไม่ค่อยอ้วนเช่นกัน

ลูกๆสองคนที่บ้านพูดไทย และ เยอรมันสวิสค่ะ และพูดภาษาไทยได้ชัดมากๆ (ลูกชาย) ตอนนี้หัดอ่านก. ไก่ ลูกชายชอบให้เราสอนอ่าน ก. ไก่มากๆค่ะ ภูมิใจมากๆที่ลูกเราสองคนพูดไทยได้ แต่อาจจะเป็นเพราะเราไม่เคยพูดภาษาอื่นกับลูก นอกจากภาษาไทยค่ะ เพราะภาษาเยอรมันเราไม่ดีเราจึงไม่อยากให้ลูกฟังสำเนียงที่ประหลาดจากแม่ค่ะ

วิธีเลี้ยงก้อเลี้ยงตามแบบไทย ให้มีสำมาคาระวะ แต่ให้รู้จักตรงต่อเวลา และมีระเบียบแบบคนสวิสจ้า เลี้ยงแบบมิกซ์ อันไหนของฝรั่งดีรับเข้ามา อันไหนไม่ดีไม่เอามาใช้ค่ะ
Title: Re: มาแบ่งปันประสบการณ์การมีลูกครึ่งกันเถอะ
Post by: Jojo on September 13, 2010, 02:48:00 PM
ต่อค่ะ...

ความโชคดีของโจ้อีกอย่าง ที่สามารถมีเวลาออกไปทำงานนอกบ้านได้ก็เพราะอพาร์ทเม้นที่โจ้อยู่ กะอพาร์ทเม้นของพ่อแม่สามีอยู่ห่างกันแค่ 1 ช่วงตึกเท่านั้น  ;D
พ่อแม่สามีถึงจะล่วงเลยวัยเกษียณมาหลายสิบปีแต่ก็เป็นคนแก่มีไฟ ยังทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ กันอยู่ทั้งคู่ แต่ก็ได้ตกลงกันได้ลงตัวเรื่องวันที่ดูแลลูกสาวให้หลังเลิกเรียน อีกทั้งพวกเค้าทั้งคู่ก็เป็นคนแก่ที่แอ๊คทีฟ ไม่ชอบให้หลานอยู่แต่ในห้องสี่เหลี่ยม ดูแต่ทีวี ฉะนั้นเวลาหลานอยู่ด้วย พวกเค้าจะหากิจกรรมให้ทำตลอด ถ้าไม่เล่นด้วยกัน ก็ไปตีเทนนิส เดินเขา นั่งรถไฟพาหลานไปโน่นไปนี่บ้างล่ะ พาไปดูละครเวที แม้กระทั่งพาไปนั่งเม้าส์ที่สมาคมกาแฟ (มีแต่คนแก่ ๆ อ่ะ...555)และก็พวกเค้าอีกนั่นแหละที่คอยสอนการบ้านให้ด้วย ตั้งแต่ลูกขึ้นป.2 มาเนี่ย ความสามารถด้านภาษาเยอรมันของโจ้ช่วยอะไรลูกไม่ได้เลย บางครั้งสอนกันที ก็ต้องขอเวลาแม่เปิดพจนานุกรมหาความหมายก่อนว่ามันคืออะไร ครั้นจะสอนอ่าน พออ่านผิดลูกสาวก็ขำแล้วก็กุมขมับ เพราะลิ้นมันไม่ไปอ่ะ สำเนียงมันเลยเพี้ยน....คิดแล้วท้อใจตัวเองจัง :'( :'( มีแต่เอาการบ้านลูกมาอ่านให้ลูกฟัง แล้วให้ลูกเป็นคนสอนแทน...555

แต่จะบอกว่าการที่เด็กถูกเลี้ยง 2 บ้านก็มีข้อเสียอ่ะคะ คือ เค้าจะสับสนกับกฎ ระเบียบ และข้อห้ามต่าง  ๆ อยู่บ้าง เช่น อยู่กะปู่กะย่าอย่างนี้ทำได้ แต่เวลาอยู่กะพ่อกะแม่อย่างนี้กลับทำไม่ได้ เป็นต้น

รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี...ถ้ามีดื้อก็ต้องตีกันบ้างค่ะ ลูกสาวโจ้จะรู้ทันทีโดยอัตโนมัติเลยว่าการที่ถูกแม่ตีนี่ คือการที่ดื้อสุด ๆๆๆ แล้ว เพราะโจ้จะพูดก่อนตีเสมอว่า "แม่ไม่ไหวแล้วนะ ขอตีหน่อยเถอะลูก..." เวลาตีจะตีที่ต้นแขนและที่ก้น หรือที่ปากเวลาพูดจาแบบเถียงคำไม่ตกฟาก หรือพูดจาไม่มีสัมมาคารวะ เค้าจะได้รู้ว่าสิ่งที่เค้าทำนั่นคือสิ่งไม่ถูกไม่ควรและไม่ควรจะทำอีกในครั้งต่อไป แต่จะไม่ตีหัว ตีหู หรือตีหลังลูกค่ะอันตราย เนี่ยล่ะค่ะบทโหดของตัวเอง >:( เพราะคอยสอนเค้าเสมอว่าสิ่งไหนที่พ่อแม่บอกแล้วลูกคิดว่าไม่ใช่ ลูกสามารถโต้แย้งได้ แต่ต้องโต้แย้งแบบมีเหตุผล หาเหตุผลของตัวเองมาพูดให้พ่อแม่เห็นเด้วย ไม่ใช่โวยวายหรือใส่อารมณ์อย่างเดียว ต้องรู้จักช่างคิด ;)

เลี้ยงลูกต้องอดทนค่ะ และต้องพยายามเข้าใจเด็กในแต่ละช่วงวัย เด็กแต่ละวัยนิสัยก็จะเปลี่ยนค่ะ  ตอนนี้ก็เริ่มจะกังวลใจเหมือนกันตอนลูกเข้าสู่วัยรุ่น ไม่รู้จะเป็นยังไงต่อไป ::) ::)
Title: Re: มาแบ่งปันประสบการณ์การมีลูกครึ่งกันเถอะ
Post by: spa on September 13, 2010, 08:23:24 PM
สวัสดีค่ะทุกท่าน
มีลูกเล็กปัญหาเล็กมีลูกโตปัญหาโตตามตัวแต่เราแม่ๆก็ต้องตามพวกเค้าทันให้คิดถึงตอนเราเป็นวัยรุ่นเอาความรู้สืกที่เราเคยมีตอนนั้นมาใช้บางทีก็ได้ผลไม่ได้ผลบ้างแล้วแต่สถานะและโอกาส

มีการลองของบ้างเป็นของธรรมดาเราก็ยังเคยทำดังนั้นไม่ต้องไปกังวลใจอะไรล่วงหน้าเพราะเราก็เรียนรู้ไปกับเด็กๆทุกวันแล้วก็จะรู้ว่าตัวเราก็จะแก่ลงทุกวันด้วย

วัยรุ่นก็ต้องมีปัญหาส่วนตัวอยู่แล้วเพราะโฮโมนมันทำงานจากเป็นเด็กถ้าเป็นหญิงก็เป็นเรื่องการมีรอบเดือนเข้ามาอารมณ์เปลี่ยนแปลงตัวเราเองต่างหากที่ต้องปรับตัวให้เข้ากับลูกยกตัวอย่างเช่นลูกสาวเป็นเด็กที่โตเร็วมากอายุ 10 ย่าง11 ปีก็มีรอบเดือนแล้วจากเมื่อวานยังบอกให้ทำอะไรที่เค้าเคยทำแล้วก็กระทำตามโดยดีตื่นเช้ามาบอกให้ทำสิ่งเดียวกันมันดันเถียงแถมบอกให้แม่ทำเองงงงงงงงงงงงงงงงเป็นไก่ตาแตกต้องค้นคว้าหาหนังสืออ่านตาแทบถลนเลยเข้าใจว่าทำไม

ส่วนลูกชายก็อีกแบบจะต้องมีพ่อเป็นต้นแบบพยายามให้พ่อคุยกับลูกชายให้มากๆทำอะไรด้วยกันสร้างความสัมพันธไว้แต่เนินๆเพราะต่อไปจะมีข้อโต้แย้งและก็ต้องมานั่งปรับตัวเหมือนกัน

เรื่องอารมณ์ของเด็กยังไม่พอมันเกี่ยวพันไปทุกเรื่องโดยเฉพาะเรื่องโรงเรียนมันเป็นช่วงที่สำคัญกับเด็กมากๆว่าจะได้เรียนหนังสือสูงๆอย่างที่เราคาดหวังหรือตัวเด็กเองก็คาดหวังในตัวเค้าเอง

ต้องมีเวลามากๆพอๆกับช่วงขวบปีแรกของลูกมีคนบอกว่าคนเราจะมีช่วงชีวิต 7 ปีและก็มีการเปลี่ยนแปลงไม่รู้ว่าจะจริงหรือเปล่าลองเอาไปนับดูเล่นๆนะ

เอาไว้วันหลังจะเล่าเรื่องการเรียนของเด็กๆเพราะดูเหมือนว่าที่สวิสจะให้โอกาสกับทุกคนแต่โอกาสนั้นคุณจะคว้าได้หรือเปล่านั้นมันขื้นอยู่กับตัวของเด็กเองทั้งนี้พ่อและแม่มีหน้าที่อบรมสั่งสอนให้เป็นคนดีที่โรงเรียนมีหน้าที่แค่สอนหนังสือเท่านั้นเค้าไม่สนใจว่าเด็กจะเป็นอย่างไรนอกจากถ้าเรียนไม่ทันเพื่อนก็จะส่งให้หมอโรคจิตไปจัดการคนที่จะช่วยลูกได้จริงๆหรือปกป้องลูกได้จริงๆคือพ่อและแม่เรื่องนี้สำคัญมากมันแตกต่างจากเมืองไทยมาก

โชคดีจ้ะแม่ๆทั้งหลาย
สปาร์
Title: Re: มาแบ่งปันประสบการณ์การมีลูกครึ่งกันเถอะ
Post by: ohmygod on September 14, 2010, 08:34:27 AM
สวัสดีค่ะคุณเทวี และทุกๆ ท่านค่ะ

   เป็นสมาชิกใหม่มาสวัสดีค่ะ เป็นคนนึงที่ได้ติดตามผลงานของคุณเทวีมาตลอดค่ะ (เนื่องจากอ่านกระทู้เกือบทุกกระทู้ในเวปทั้งหมดแล้ว ว่างจัด555) ยอมรับว่าคุณเทวีเป็นอีกท่านที่ยอมสละเวลาเพื่อแบ่งปันข้อมูลดีๆ ให้กับหลายๆท่าน จริงๆค่ะ พอดีเห็นกระทู้นี้ประสบการณ์การมีลูกครึ่ง โดยส่วนตัวก็อยากมีลูกเป็นลูกครึงเหมือนกันค่ะ เพราะน่ารักกกกมากกกกกกก แต่คงไม่มีโอกาสแล้ว เพราะสามีเป็นคนไทยอ่ะ เคยพูดเล่นๆ กะคุณแม่เหมือนกันว่าอยากมีลูกเป็นลูกครึ่งอ่ะ แม่บอกให้เคลียร์กันเอาเอง หุหุ

     ปัจจุบันมีลูกสาวปีนี้ก็ครบสิบขวบแล้วค่ะ ก็เลยมาขอแจมด้วยนิดนึงค่ะ ตอนนี้ลูกสาวเริ่มเข้าวัยรุ่นก็เิริ่มกังวลเหมือนกันค่ะว่าเค้าจะเปลี่ยนไปรึเปล่า แต่ที่ผ่านมาก็เลี้ยงเค้าแบบเป็นเพื่อนกันมากกว่า มีอะไรก็คุยกัน ให้เค้ามีส่วนในการตัดสินใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ บางเรื่อง กะจะเลี้ยงเค้าแบบ คนไทยแต่หัวใจอินเตอร์อ่ะค่ะ เราจะบอกรักกันทุกวัน แสดงความรักกับเค้าตลอด เพราะอยากให้เค้ามีความมั่นคงทางจิตใจ แล้วเมื่อเค้าโตขึ้น เค้าจะได้รู้สึกว่าไม่ว่ายังไงเค้าก็ยังมีครอบครัวที่อบอุ่นคอยสวมกอดเค้าเสมอค่ะ แรกๆ เค้าก็เขินนะคะ เค้าบอกเค้าอายเพื่อน เราก็จะบอกว่าไม่เห็นต้องอายแม่ลูกแสดงความรักกัน ไม่ใช่สิ่งที่ผิดนะแล้วเราก็ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน ที่สำคัญเราเลี้ยงเค้าด้วยเหตุผลค่ะ เวลาเค้าทำอะไรไม่ถูกต้อง จะบอกเค้าว่าทำอย่างนี้แล้วจะมีผลอย่างไร แล้วย้อนถามเค้ากลับอีกทีว่า ถ้าผลที่ได้เป็นอย่างนั้นแล้วเค้าต้องการรึเปล่า ถ้าเค้าไม่ต้องการอย่างนี้แล้วหนูคิดว่าควรทำมั้ย อะไรประมาณนี้ค่ะ

     โชคดีที่เค้าชอบและสนใจภาษาอังกฤษ เวลาอยู่ด้วยกันเค้าจะชอบให้เราคุยกะเค้าเป็นภาษาอังกฤษ แต่เค้ารก็เข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้างนะคะ เพราะก่อนหน้านี้ไม่ได้อยู่ด้วยกันเค้าอยู่กับย่าอ่ะค่ะ เพิ่งกลับมาอยู่ด้วยกันเมื่อ ธ.ค.ปีที่แล้วค่ะ ตอนนี้ลูกสาวเรียนพิเศษภาษาอังกฤษที่ London House ด้วยเค้าก็ชอบค่ะ เพราะเรียนพิเศษแล้วเค้าก็เหมือนได้ความรู้บางอย่างก่อนเพื่อนค่ะ และได้เรียนกับฝรั่งเจ้าของภาษา ทำให้เค้ากล้าที่จะพูดค่ะ 

     ในอนาคตก็วางแผนไว้จะให้เค้าได้ติดตามแม่ไปอยู่ที่สวิสเหมือนกันค่ะ แต่ตอนนี้รอให้เรื่องเราเรียบร้อยก่อน ก็คิดไว้ step by step ค่ะ ถึงเวลานั้นเค้าก็ต้องเรียนรู้ในภาษาที่สาม สี่ ห้าต่อไป

ohmygod ค่ะ
Title: Re: มาแบ่งปันประสบการณ์การมีลูกครึ่งกันเถอะ
Post by: spa on September 14, 2010, 10:27:19 AM
สวัสดีค่ะคุณเทวีและทุกๆท่าน
วันนี้มาต่อเรื่องโรงเรียนของเด็กๆ เรื่องอายุและเกณ์เข้าโรงเรียนเริ่มนับจากอนุบาลไปจนถึงมัธยมปลายจะไม่พูดถึงนะคะจะพูดเฉพาะเรื่องที่คนเป็นผู้ปกครองจะต้องเอาใจใส่ดูแลเรื่องการเรียนของเด็กๆเพราะที่สวิสไม่มีโรงเรียนติววิชาเหมือนเมืองไทยอย่างดีก็มีแค่ช่วยทบทวนตำราและรับจ้างฝีกฝนวิชาที่เด็กอ่อนเป็นการส่วนตัว
เริ่มต้นที่อนุบาลจะไปเล่นซะเป็นส่วนใหญ่เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมที่จะเข้าประถมครูก็จะดูเด็กๆว่ามีการพัฒนาการทางด้านอารมณ์และการใช้มือสัมผัสและสมองเป็นอย่างไร

แต่อย่าลืมนะคะว่าคนที่จะรู้จักลูกดีก็คือพ่อและแม่ครูเป็นส่วนประกอบในการตัดสินใจเพราะถ้าเค้าแนะนำว่าเด็กมีปัญหาเรื่องอะไรก็ตามเค้าจะแนะนำให้ไปตรวจกับจิตแพทย์ที่ทางโรงเรียนจัดให้และมีจดหมายประกอบจากการสังเกตุของครูและจะแนะนำให้ไปเรียนในชั้นต่อไปในกลุ่มที่เล็กลงพูดง่ายๆคือเด็กที่มีการพัฒนาการช้ากว่าเพื่อนแต่ไม่ได้หมายความว่าเด็กโง่นะคะ
จากประสบการณ์ถ้าวัดกันแล้วส่วนมากเด็กผู้ชายจะมีการพัฒนาการช้ากว่าเด็กผู้หญิงถือว่าเป็นเรื่องปกติไม่ต้องกังวลอะไรถ้าจำไม่ผิดเค้าจะตัดให้เกณ์ในการเข้าโรงเรียนช่วงปลายเดือนมีนาคมเช่น ถ้าเด็กเกิดมกราคมไปจนถึงมีนาคมปีถัดไปถือว่ารุ่นเดียวกันช่วงเดือนเกิดและอายุก็ต่างกันการพัฒนาการทางสมองก็ต่างกันฉะนั้นเวลาที่เราเห็นลูกคนอื่นเค้าเก่งกว่าลูกของเรานั้นไม่ต้องไปเสียใจหรือน้อยใจเพราะถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา

พอเด็กๆเข้าชั้นประถมก็แล้วแต่เขตขื้นอยู่ว่าคุณอยู่ที่ไหนในจังหวัดเดียวกันตำราที่ใช้อาจจะไม่เหมือนกันหรือแม้กระทั่งในแต่ละอำเภอยังเรียนไม่เหมือนกันถ้าเป็น Kanton Aagau จะนับจากประถม 1 ไปจนถึงประถม5 แล้วตัดให้ขื้นไปเรียนชั้นมัธยมเป็นเวลา 4 ปีหลังจากนั้นก็เข้ามัธยมปลายเรื่องนี้สำคัญมากจะเจาะให้เข้าใจอีกในภายหลังเช่นตัดเกรดอย่างไรตัดสินเมื่อไหร่บลาาาาาาาาาาาาา

ถ้าเป็น Kanton อื่นเช่น Zug เท่าที่ทราบจะเป็นอีกแบบคือ ประถม 1 ถีง 6 และตัดเข้ามัธยมต้นและปลายรวมเป็น 6 ปีการศีกษา

ขออนุญาตแค่นี้ก่อนนะคะต้องทำงานต่อ
สปาร์





Title: Re: มาแบ่งปันประสบการณ์การมีลูกครึ่งกันเถอะ
Post by: Jojo on September 16, 2010, 07:03:56 AM
สวัสดีค่ะทุก ๆ คน

คุณสปาร์...ประสบการณ์ที่นำมาเล่าให้ฟังเริ่มจะใกล้ตัวโจ้มากเลย มีประโยชน์มากเลยค่ะ โดยเฉพาะเรื่องการตัดเกรด สนใจค่ะ ;D
โจ้อยู่ Solothurn เรียนประถม 1-6 แล้วถึงขึ้นมัธยม ระดับมัธยมที่เมืองที่โจ้อยู่ก็แบ่งโรงเรียนออกเป็น 3 ระดับตามความสามารถของเด็ก คือ A B C (ขอเรียกเอาเองอ่ะคะ) สิ่งนี่ล่ะค่ะที่โจ้ยังกังวลใจอยู่ เพราะที่สวิสไม่มีโรงเรียนกวดวิชาเหมือนเมืองไทย ใจตัวเองอยากให้ลูกสาวเรียนในโรงเรียนระดับ A เพราะใกล้บ้านไม่ต้องนั่งรถเมล์ กลับมาทานข้าวที่บ้านได้ จะเดิน หรือปั่นจักรยานไปก็ได้ และคิดว่าสภาพแวดล้อมของโรงเรียน เพื่อนร่วมชั้นเรียน น่าจะดีกว่า  ::)

แต่ปัญหาก็คือ ลูกสาวปัจจุบันอยู่ ป.2 เป็นเด็กที่เรียนปานกลางค่ะ แต่ขยันทำการบ้าน ไม่เคยบ่นถึงจะเยอะจะยาก บอกอย่างเดียวว่า "แม่หนูเหนื่อยสมองจัง" เค้าจะค่อนข้างถนัดไปในด้านศิลปะ วิชาที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์ หรือทำกิจกรรมซะมากกว่า แต่พวกวิชาการอย่างเลข หรือภาษาเยอรมันยังกลาง ๆ ไม่ถึงกับดี ตัวโจ้เองก็ไม่ได้เคี่ยวเข็ญลูกให้ต้องเรียนให้เก่ง ต้องได้ที่ 1 แต่ต้องการให้ลูกเกาะกลุ่มแล้วได้ตัดเกรดไปเรียนในโรงเรียนระดับ A นะคะ   ;D

จึงอยากรบกวนคุณสปาร์เข้ามาเล่าให้ฟังหน่อยค่ะว่าเค้าตัดเกรดกันยังไงในระดับประถมเพื่อขึ้นระดับมัธยม และใช้เกณฑ์อะไรตัดสิน โจ้จะได้เตรียมปูพื้นฐานลูกได้ถูกและทัน ทุกครั้งที่เข้าไปฟังเวลาประชุมผู้ปกครอง ก็จะคอยจำว่า ระดับนี้เค้าสอนอะไรกัน เด็กต้องรู้เรื่องอะไรบ้างในระดับนี้ แล้วก็ช่วยสอนเสริมให้ลูกเท่าที่ตัวเองทำได้ แล้วลูกจะจำได้อ่ะคะ ;D
Title: Re: มาแบ่งปันประสบการณ์การมีลูกครึ่งกันเถอะ
Post by: spa on September 16, 2010, 08:06:43 AM
สวัสดีค่ะคุณโจโจ้
เรื่องตัดเกรดนั้นขอยำ้ว่าแต่ละ Kanton ไม่เหมือนกันแต่ถ้าเป็นที่ kanton ที่อยู่นั้นเค้าตัดที่ 5.2 เคยได้ยินลูกเพื่อนที่อยู่ kanton Zug ตัดเกรดที่ 5.5 โหดมากเพราะว่าเด็กแต่ละคนมีความสามารถไม่เหมือนกัน
ลูกสาวคุณโจ้อยู่ ป.2 ยังมีเวลาเตรียมตัวทางโรงเรียนจะเน้นวิชาหลักเช่น เลข และภาษาเยอรมัน และวิชาประวิติศาสตร์ ส่วนที่เหลือเป็นส่วนประกอบถ้าลูกเรียนอยู่ที่ระดับปานกลางเค้ายังมี Capacitiy ที่จะรับได้ขยันหัดฝึกฝนไม่ว่าเลขหรือภาษาเยอรมันส่วนวิชาประวัติศาสตร์นั้นอาศัยท่องจำ
จำไม่ได้ว่าชั้น ป.2 เค้าเรียนอะไรกันบ้างเลขก็คงจะนับจากหลักหน่วยไปจนถึงหลักพัน บวกและลบ และวิธีการของเค้าที่เรียนก็ต่างจากที่เราเรียนฉะนั้นคุณโจ้จะปวดหัวมากเวลาที่สอนเค้าเพราะเค้าจะเถึยงว่าครูไม่ได้สอนอย่างนี้ตัวเราต้องมาหัดเรียนอย่างที่เด็กเรียนแล้วก็ค่อยๆสอนไปไม่ยากเกินความสามารถ
ส่วนภาษาขยันเปิดดูแกรมม่าส่วนมากเค้าจะสอนไม่เหมือนคนต่างชาติที่เรียนภาษาเยอรมันเค้าจะสอนแบบธรรมชาติเหมือนที่เราโตมากับภาษาไทยพอถามเราก็จะตอบไม่ได้ว่ามันมาอย่างไรเพราะเก็บเอาไว้กับครูหมดแต่ก็จะโชคดีอย่างถ้าเด็กเป็นเด็กสองภาษาคือภาษาแม่เป็นต่างภาษาที่ไม่ใช่สวิสนั้นทางโรงเรียนเค้าก็จะช่วยเน้นสอนภาษาเยอรมันให้พิเศษได้กำไรไป
เพราะอย่าลืมว่าเด็กสวิสก็ต้องเรียนภาษาเยอรมันที่เป็นภาษาเขียน
คุณพ่อบ้านจะมีส่วนช่วยได้มากหากเอาเวลามาใส่ใจเด็กอย่าปล่อยเวลาให้ผ่านเริ่มแต่เนิ่นๆแต่ไม่ใช่ยัดเยียดเด็กจะเบื่อหัดให้เค้ารู้จักเวลาว่าเวลาไหนควรจะทำอะไรเช่นอนุญาติให้ดูทีวีได้หลังจากทำการบ้านและให้เวลาเด็กเล่นเพราะว่าเด็กก็ยังเป็นเด็กวันเสาร์อาทิตย์มีเวลาก็ให้เค้าทบทวนวิชาที่เรียนเช่นประวัติศาสตร์ถ้ายังไม่ได้เรียนวิชานี้ในชั้น ป.2 ก็ช่วยเค้าทบทวนวิชาเลขหรือภาษาไป
ลูกๆของพี่เรียนอยู่ในระดับปานกลางก็อยู่ในกลุ่มท่ีเอาตัวรอดได้ถ้าเด็กอยู่ในสังคมที่ดีสภาพแวดล้อมที่ดีบรรยากาศในบ้านดีเรื่องเรียนก็เป็นปัญหาน้อยแต่เราต้องเป็นตัวดัน
มีข้อเตือนใจอยู่อย่างจริงๆแล้วชีวิตของเด็กในเรื่องนี้มันเพิ่งจะเริ่มต้นถ้าจะวัดกันจริงๆก็ต่อเมื่อเด็กออกไปทำมาหากินแล้วอย่าพยายามเอาลูกไปเปรียบเทียบใครอันนี้สำคัญมาก
การคาดหวังก็เป็นสิ่งสำคัญวิธีที่จะทำให้เด็กไม่รู้สีกอึดอัดใจนั้นก็คือพยายามคุยกับลูกมากๆถามเค้าก่อนว่าเค้าต้องการเป็นอะไรวาดฝันและพยายามทำให้ดีที่สุดเวลาที่เค้าผิดหวังก็ปลอบใจและให้กำลังใจแก้ไขในสิ่งที่ผิดพลาดและอย่าไปยำ้และตั้งเป้าหมายใหม่
ส่วนตัวจะบอกลูกว่ามันเป็นชีวิตของพวกเค้าอนาคตอยู่ในมือของเค้าเองคนเป็นพ่อและแม่ต้องการให้สิ่งที่ดีที่สุดส่วนที่เหลือเด็กจะตามเราหรือเปล่าก็เป็นอีกเรื่องหนื่ง
เลี้ยงเด็กวัยรุ่นก็สนุกไปอีกอย่างนะทำตัวให้กลมกลืนกับเด็กแล้วความลับอะไรก็ช่างเค้าก็จะบอกเราแต่ก็ให้อยู่ในเขตแดนที่เรากำหนดเพราะว่าเราเป็นพ่อแม่ถึงเวลาที่จะใช้กฏก็ต้องใช้ขื้นอยู่กับเหตุการณ์และพูดหรือสัญญาอะไรก็ต้องทำอย่างนั้นไม่อย่างนั้นจะมีข้ออ้างสารพัด
วันหลังมีอะไรถามได้นะคะ
สปาร์
สิ่งที่อึดอัดใจที่สุดของพี่ก็คือเรื่องนี้เพราะว่าเด็กสวิสจะเคร่งเครียดยิ่งโตไปยิ่งเคร่งเครียดให้สังเกตุดูพวกเค้าไม่ค่อยหัวเราะ
Title: Re: มาแบ่งปันประสบการณ์การมีลูกครึ่งกันเถอะ
Post by: spa on September 16, 2010, 09:00:29 AM
ต่อ
ครอบครัวของพี่เป็นอะไรท่ีต่างจากคนอื่นพ่อบ้านไม่ค่อยอยู่บ้านแต่เรามีวิธีสื่อสารคือโทรศัพท์ช่วงที่เด็กๆมาทานอาหารกลางวันพ่อจะถามว่าเด็กมีปัญหาเรื่องเรียนอะไรบ้างวันเสาร์อาทิตย์ก็จะเอาเวลานั้นมาทบทวนกัน

เรื่องกิจกรรมก็จะเข้ามามีส่วนอย่างมากกับเรื่องเรียนอยู่ที่การจัดการของแต่ละครอบครัวเรื่องนี้สำคัญถ้าเด็กชอบทำอะไรก็สนับสนุนอย่ายัดเยียดและอย่าเอาอย่างใครถ้าเด็กบอกว่าเพื่อนเล่นอย่างนั้นอย่างนี้หนูอยากทำบ้างให้ไปลองดูก่อนแล้วค่อยมานั่งคุยกันว่าจะทำจริงหรือเปล่าถ้าอยากทำมากแทบจะถวายชีวิตเพื่อสิ่งที่เค้าต้องการอันนี้ตกลงห้ามเลิกกลางคันและเน้นยำ้ว่าต้องมีวินัยตรงต่อเวลา

อะไรๆมันจะเกี่ยวพันกันหมดรวมทั้งเวลาของผู้ปกครองว่าเราสามารถทำได้หรือเปล่าถ้าเราทำไม่ได้เราก็ต้องปฏิเสธ

เราอยากให้ลูกเราเป็นอย่างไรเราต้องทำอย่างนั้นเช่นบอกลูกให้รักษาความสะอาดแล้วตัวเราเองไม่ทำเด็กมันก็จะเถียงแถมย้อนให้เราแสบๆอีก

ถ้าเด็กอ่อนวิชาอะไรเราก็เน้นตัวนั้นส่งเค้าไปเรียนกับคนที่เค้ารับจ้างสอนมันจะมีติดประกาศตามร้านค้าขยันไปดูและเก็บเบอร์โทรเอาไว้เผื่อเด็กมีปัญหาจะได้ปูพื้นแต่เนิ่นๆ

คนส่วนใหญ่ในสวิสไม่ได้จบมหาวิทยาลัยเพราะเค้าาจะคัดเด็กออกไปเรื่อยๆจนกว่าจะได้หัวกะทิจริงๆ

เอาไว้ต่อวันหลังนะคะต้องทำงานบ้านแล้ว
สปาร์
Title: Re: มาแบ่งปันประสบการณ์การมีลูกครึ่งกันเถอะ
Post by: spa on September 16, 2010, 02:53:59 PM
ต่อ
เรื่องระบบการศีกษาในสวิสนั้นถ้าให้เขียนแล้วยาวดังนั้นขอความกรุณาเข้าไปค้นหาข้อมูลเก่าของป้าพอลที่เคยโพสเอาไว้แล้วจะได้ข้อมูลที่ถูกต้อง

สิ่งที่เขียนนั้นเป็นประสบการณ์ล้วนๆถ้าคุณโจ้มีคำถามอะไรเกี่ยวกับลูกถามได้นะคะเพราะว่ามีทั้งลูกสาวและลูกชายปัญหาคนละแบบ

ความวิตกกังวลของพ่อแม่เป็นเรื่องปกติทางที่ดีพยายามอย่าไปวิตกกังวลล่วงหน้าเพราะว่ามันเกิดขื้นกับตัวเองบ่อยๆพอถึงเวลาที่มีปัญหาเข้าจริงมันไม่ได้เป็นอย่างนั้น

คิดวันต่อวันวัยรุ่นไม่เคยคิดเกิน 24 ชั่วโมงอย่าคาดหวังกับเค้ามากเพราะอะไรที่เราวางแผนไว้ส่วนมากจะไม่เป็นตามนั้นพวกเค้าดูเหมือนจะโตแต่ความจริงพวกเค้าต้องเรียนรู้อีกมากมายไม่ว่าในตำราหรือการใช้ชีวิตประจำวันรวมทั้งการเข้าสังคม

โชคดีค่ะ
สปาร์
Title: Re: มาแบ่งปันประสบการณ์การมีลูกครึ่งกันเถอะ
Post by: Jojo on September 17, 2010, 11:54:50 AM
ขอขอบคุณ พี่สปาร์อย่างมากอีกครั้งค่ะ (ขออนุญาตเรียกพี่เลยนะคะ  ;D)ยังไงคงจะได้ถามในเรื่องต่อ ๆ ไปอีกแน่นอนค่ะ  :-* :-*