สวัสดีค่ะ
อรอยากขอความคิดเห็นของแต่ละท่านค่ะ เรื่องการตามสามีไปอยู่ต่างประเทศ ซึ่งตอนนี้กำลังสับสนมาก ว่าควรจะทำอย่างไรดี อรแต่งงานและจดทะเบียนที่เมืองไทยค่ะ เพราะตอนนี้มีงานทำที่เมืองไทยค่ะ ถ้าขอวีซ่าเพื่อเยี่ยมเยือน 3 เดือน (สามีแนะนำค่ะ)มันก็หมายถึงการลาออกจากงานเลย อรทำงานบริษัทโฆษณาค่ะ ซึ่งงานในเมืองไทยหายากมาก(ยิ่งอายุมากยิ่งหางานยากค่ะ)อรขอพักร้อนจากบริษัทได้แค่ 15 วัน ต่อปี ???ที่สำคัญอรมีภาระที่ต้องเลี้ยงดูพ่อและแม่ค่ะ ถ้าตามสามีไปอยู่ต่างประเทศก็จำเป็นต้องหางานทำให้ได้ ซึ่งอ่านในหลายๆกระทู้ หางานค่อนข้างยากมาก เรื่องภาษาอีก ตอนนี้รู้สึกสับสน จริงๆก็อยากอยู่กับสามีนะคะ แต่ก็แอบกลัวว่าเราจะสามารถอยู่ต่างบ้านต่างเมืองได้หรือไม่ และยังแอบเสียดายงานที่ทำค่ะ ถ้าไม่ตามสามีไปอยู่แต่เราก็ยังไปเยี่ยมสามีทุกปี และสามีก็มาเยี่ยมเราทุกปี อย่างนี้จะได้หรือเปล่าคะ หรือว่าเราจำเป็นต้องตามสามีไปอยู่ต่างประเทศเลยคะ ???
สวัสดีค่ะคุณอร
สามีภรรยาตามหลักแล้วควรจะอยู่ด้วยกันแต่ถ้ามันเป็นความจำเป็นในเรื่องการงานและคุณทั้งสองต้องแยกกันอยู่เป็นความสมัครใจทั้งสองฝ่ายคุณก็ไม่ต้องมากังวลอะไรก็ขอวีซ่ามาเที่ยวตามเวลาที่บริษัทกำหนดลาพักร้อนได้สิบห้าวันแต่ที่คุณกังวลใจเพราะว่าคุณไม่ทราบว่าคุณต้องการอะไร
คุณต้องถามตัวเองว่าต้องการใช้ชีวิตร่วมกับสามีคุณหรือว่าต้องการชีวิตส่วนตัวคุณเป็นห่วงว่าถ้ามาใช้ชีวิตที่นี่แล้วในขณะที่คุณยังพูดภาษาไม่ได้และยังไม่มีงานทำคุณจะทำอย่างไรกับรายได้ที่คุณขาดไปเพื่อเป็นการอุปการะพ่อแม่ของคุณ
การใช้ชีวิตที่นี่ใช่มันต้องปรับตัวเรื่องสภาพแวดล้อม เรื่องของภาษา จริงๆแล้วใครๆก็ทำได้ถ้าตั้งใจทำและมีจุดมุ่งหมายไม่ว่าเรื่องอะไรคุณก็ทำได้แม้กระทั่งหางานทำ คุณจะไปกลัวทำไม
ลองมาเที่ยวดูสักสิบห้าวันบางทีอาจจะเปลี่ยนใจคุณก็ได้แต่ถ้าไม่คุณก็สามารถกลับไปใช่ชีวิตส่วนตัวของคุณตามปรกติ
เป็นแค่ความคิดเห็นส่วนตัวเท่านั้นนะคะคุณต้องตัดสินใจเอง
สปาร์
ขอบคุณที่แสดงความคิดเห็นค่ะ คุณสปาร์ พอดีไปอ่านเจอกระทู้เรื่องนี้เข้า เลยเกิดอาการวิตกจริตเข้าไปอีก "แม่บ้านอยู่เมืองไทยไม่ได้รับสิทธิอะไรจากรัฐบาลไช่หรือไม่ค่ะ"
http://www.pallswiss.com/boards/index.php/topic,2860.msg23740.html#msg23740
ขอบคุณค่ะ
สวัสดีค่ะคุณอร
คุณต้องการสิทธิของคุณที่จะได้รับในอนาคตตอนที่คุณแก่หรือคุณต้องการอิสระในตอนนี้
คุณห่วงหน้าที่ที่อยู่ทางบ้านของคุณในขณะเดียวกันคุณก็ห่วงอนาคตข้างหน้า
ไม่มีใครรู้อนาคตข้างหน้าว่าคุณจะมีชีวิตอย่างไรแต่ตัวเราต้องทำวันนี้ให้ดีที่สุดและคุณก็ต้องตัดสินปัญหาที่ไม่มีใครสามารถบอกคุณได้ว่าคุณควรจะตัดสินใจอย่างไรดีนะคะ
สปาร์
สวัสดีค่ะคุณอร
-เรื่องจะอยู่ต่างบ้านต่างเมืองได้ไหม ถ้ารู้จักปรับตัว ก็อยู่ได้ค่ะ แต่ยังไงก็ไม่สบายๆๆๆ เหมือนเมืองไทยบ้านเราแน่นอน ;D
-เรื่องเรื่องภาษา อยู่แรก ๆ ก็เอาแบบพอใช้งานได้ไปก่อน ขึ้นรถเมล์ รถไฟ ถามทาง ซื้อของ แบบเอาตัวรอดในชีวิตประจำวันได้ก็พอ เพื่อนร่วมชั้นเรียนที่เรียนที่เดียวกับโจ้เป็นคนตุรกีบ้าง คนแถบสโลวาเกียบ้างอยู่สวิสกันมาเป็น 10 กว่าปี ภาษาเค้าก็ยังพูดไม่ได้เหมือนกันเลยค่ะ ฉะนั้นอย่ากังวลมาก ตอนโจ้มาอยู่แรก ๆ ก็กดดันเรื่องภาษา ตอนนี้เฉย ๆ ล่ะค่ะ สักวันมันก็ต้องพูดได้เองล่ะ ก็หัวมันไม่ไวทำไงได้อ่ะ :'( :'(
-เรื่องหางานให้ได้เหมือนที่เคยทำมาจากเมืองไทย ขอบอกว่ายากมาก ๆ ประเภทใช้สมอง นั่งอยู่หน้าคอมฯ ยุ่งอยู่กะเอกสาร เนื่องจากภาษาเป็นปัญหาหลักแล้ว ที่สวิสเค้าไม่รับรองวุฒิการศึกษาบางวุฒิจากประเทศไทยด้วยนะคะ แต่ยังไงกรณีของคุณก็ลองเทียบดูเผื่อได้นะคะ แต่ถ้าพูดถึงเรื่องค่าแรง ขอบอกว่าที่สวิสดีกว่า สวัสดิการดีกว่า เวลาการทำงานเลือกได้ตั้งแต่ 10-100 เปอร์เซ็นต์ ลาพักร้อนที 5 อาทิตย์ต่อปี สุดยอด :o แต่ถ้าไม่เกี่ยงงาน งานอะไรก็ทำมันก็พอหาได้อยู่ค่ะ อยู่ที่จังหวะและโอกาส เช่นงานโรงงาน งานร้านอาหาร เป็นต้น
-ถ้าเราต้องเป็นคนคอยเลี้ยงดูพ่อแม่ ย้ายมาสวิสช่วงแรกก็ต้องกดดันนิดนึงค่ะ ถ้าไม่ได้ให้คุณสามีช่วยเหลือเราในเรื่องนี้ แต่ถ้าให้พ่อแม่ได้มีกินมีใช้ไปเดือนๆ ไม่ได้มีหนี้สินอะไรต้องช่วยทางเมืองไทย มันก็พอทน ๆ ไปได้จนกว่าจะได้งานทำได้อยู่ค่ะ เจียดจากค่าขนมที่คุณสามีให้กะอิบ ๆ เม้ม ๆ ค่ากับข้าว...555 ;D
-แต่ก่อนตอนอยู่เมืองไทย โจ้ขอลางานมาเที่ยวสวิสประมาณ 1 เดือน โดยใช้ลาแบบไม่รับเงินเดือน ถ้าหัวหน้าอนุมัติ ฝ่ายบุคคลก็โอเคนะคะ คุณอรลองลาแค่ 1 เดือนก่อนดีกว่า เพราะถ้าลา 3 เดือนทางบริษัทฯ เค้าอาจจะให้คุณลาออกไปเลยก็ได้ เก็บงานทางเมืองไทยไว้ก่อนถ้ายังลังเลอ่ะ :-\
-สามีเคยบอกตอนโจ้ยังอยู่เมืองไทยว่า หากมีอะไรเกิดขึ้นกับแกก็ให้ไปแจ้งทีสถานฑูต ฉะนั้นสิทธิบางอย่างของแม่บ้านสวิสที่อยู่เมืองไทยก็ยังน่าได้อยู่นะ แต่อาจจะไม่เหมือนกับแม่บ้านที่อยู่ทางสวิส เพราะเวลาย้ายมาอยู่ที่สวิสเราก็จะมีค่าใช้จ่ายทางด้านประกันสังคม ประกันสุขภาพ ภาษี ฯลฯ ด้วย กรณีนี้มั๊งที่อาจจะเป็นข้อแตกต่างของสิทธิที่จะได้รับ
-สำหรับตัวโจ้ การย้ายมาอยู่สวิสคือการมาหาประสบกาณ์ใหม่ ๆ สนุกและเซ็ง ดีค่ะ ;D
ยังไงขอให้คุณอรโชคดีนะคะ งานสายอาชีพเฉพาะอย่างคุณอร โจ้ว่าน่าจะหางานได้ไม่ยาก หากมีพื้นฐานภาษาอังกฤษมาอยู่บ้าง เพราะคนทำงานด้านครีเอทีฟน่าจะออกแนวอินเตอร์ ลองเซิร์ท ๆ หางานเล่น ๆ ดูก่อนก็ได้คุณอร แล้วส่งเรซูเม่มาสมัคร ผ่านพวกบริษัทจัดหางาน ในสวิส เช่น แมนพาว์เวอร์ อเดคโก้ เป็นต้น ลองให้สามีช่วยอีกแรง โชคดีอาจจะได้งานก่อนย้ายมานะ ;D
ขอบคุณ คุณโจ้ และคุณสปาร์มากๆนะคะ สำหรับความคิดเห็นเป็นประโยชน์มากค่ะ สำหรับการตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิต :D ตอนนี้เชียงใหม่ร้อนมาก ไกล้เทศกาลสงกรานต์แล้วขอบุญรักษา ทุกๆท่านและป้าพอลพร้อมครอบครัวด้วยค่ะ
สวัสดีค่ะ ป้าพอล และทุกๆท่าน วันนี้มีเรื่องมาถามอีกแล้ว :)อรขอพักร้อนจากบริษัทเค้าให้ 1 เดือนกับอีก 3 weeks ก็เลยอยากสอบถามว่า
-การขอวีซ่าต้องขอแบบไหน ท่องเที่ยว หรือว่าเยี่ยมเยือน ใช้เวลาตัดสินวีซ่าเรานานมั้ยค่ะ เนื่องจากอยู่เชียงใหม่ ต้องพักที่ กทม.กี่วัน จะได้ book โรงแรมได้ คงต้องขึ้นเครื่องไปค่ะและคงต้อง book ไป-กลับ เลย เพราะราคาถูกกว่าเคาท์เตอร์ (แอบงกเล็กน้อย) เลยอยากทราบว่าควรใช้เวลาทั้งหมดกี่วัน ไม่อยากลางานหลายวันเพราะต้องใช้พักร้อนไป 3 วีคเต็มๆ (ไป จันทร์ -พุธ กลับ ได้มั้ย จะทันมั้ย)
-สามีบอกว่า วีซ่า visiter อาจยุ่งยาก เค้าจะยื่นเรื่องขอ pass B ให้ซึ่งเค้าถามทางเขตแล้วสามารถยื่นได้ แต่เนื่องจากอรต้องทำงานที่เมืองไทย เลยงงว่าสามารถอยู่เมืองไทยได้นานประมาณ 10 เดือนเชียวเหรอ?ก่อนที่เราต้องไปต่อ Pass B.ที่สวิส และถ้าหากเรามี pass b.แล้วเวลาเราจะบินไปสวิส เราไม่ต้องไปสถานทูตที่กรุงเทพแล้ว ใช่มั้ยคะ? สามารถจองตั๋วแล้วบินไปได้เลยหรือเปล่า?
-การขอใบรับรองความประพฤติจากตำรวจแห่งชาติ สามารถไปขอได้ด้วยตัวเองเลย หรือว่าต้องมีใบคำร้องจากสถานทูตสวิสคะ?
-ยื่นเรื่องทั้ง Pass b และ visa visiter ทั้งสองอย่างพร้อมกันเลยจะมีปัญหาหรือเปล่าค่ะ?
-อรตั้งใจจะไปเดือนตุลาคม สามีว่างช่วงนั้นพอดี อากาศหนาวมั้ยค่ะ?ไปยื่นเรื่องขอวีซ่า สิงหาคมจะทันมั้ย ต้องรอถึง 2 เดือนมั้ย ??? ?
รบกวนท่านไหนมีความรู้เรื่องนี้ ช่วยตอบหน่อยนะคะ
ขอบคุณค่ะ :D
อร
พูดตามความเห็นส่วนตัวค่ะ ถ้าจะมาเที่ยวมาเถอะ ถ้าไม่เสียงานเสียการ ถ้าจะมาอยู่ แนะนำให้เขียนตารางดูก่อน แนวนอน ช่องหนึ่งอยู่เมืองไทย ช่องสองอยู่สวิส แล้วขีดช่องแนวตั้ง เขียนสิ่งสำคัญกับเรา เรียงไป เช่น พ่อแม่ อยู่เมืองไทยได้ดูแลพ่อแม่เต็มที่ก็ให้ช่องเมืองไทยสิบคะแนน ช่องสวิสสองให้หนึ่งคะแนน เรื่องสามี ช่องเมืองไทยได้หนึ่งคะแนน ช่องสวิสได้สิบคะแนน เรื่องงานอยู่เมืองไทยได้สิบ อยู่สวิสได้สอง ระดับประชาชนช่องเมืองไทยงานระดับนี้เมืองไทยก็ได้แปด ช่องสวิสก็ลงคะแนนไป การเงินก็คำนวณและให้คะแนน เรื่องอะไรสำคัญสำหรับเรา แม้แต่เรื่องอาหาร เขียนลงแนวตั้งให้หมด เนี่ยะค่ะรวมคะแนนลงมา อันไหนได้คะแนนมาก ก็เลือกอันนั้นค่ะ เพราะคนเรามันมีหลายด้านมาก มาก จะมองด้านเดียวก็ไม่ได้ ความสำคัญของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน บางเรื่องสำคัญสำหรับคนอื่น แต่อาจไม่สำคัญสำหรับเราเลยก็ได้
ขอบคุณค่ะ คุณบัวขาว จะลองทำดูค่ะ (นึกภาพออกคร่าวๆแล้วหล่ะ) ;Dถามที่บริษัทแล้ว เค้าให้พักร้อนได้ค่ะ ก็คงจะไปเดือนตุลานี้ เดือนครึ่ง ไม่แน่ใจว่าจะขอวีซ่าได้ป่าว เพราะไม่เคยเดินทางออกนอกประเทศเลย :(( ครั้งนี้เป็นครั้งแรก ก็เลยต้องถามผู้รู้เยอะหน่อยกันพลาดค่ะ ต้องมีจดหมายเชิญของสามีด้วยใช่มั้ยค่ะ?สามีก็ไม่เคยเชิญใครมาเที่ยวสวิสด้วย คุณสามีก็เลยไปยื่นเรื่องขอพาส บีให้ เพราะที่คันโตกเค้าบอกว่าได้ ไม่จำเป็นต้องอยู่สวิสนาน แต่ต้องกลับมาต่อพาส บี ทุกปี ???อ่านกระทู้เก่าไปบ้าง แต่ก็ยัง งง อยู๋ค่ะ
สวัสดีค่ะ คุณอรและทุกๆท่าน
ทั้ง tourist visa และ visitor visa ใช้เวลาเดินเรื่องกับสถานทูตฯประมาณ 20 - 30 นาที (กรณีที่เอกสารทุกอย่างครบถ้วนสมบูรณ์นะคะ) ส่วนรอผลวีซ่าก็ประมาณ 3 วันทำการ ถ้าไม่ติดวันหยุดนักขัตฤกษ์ แต่รู้สึกว่าสามารถมอบอำนาจให้คนอื่นมารับเล่มแทนได้นะคะ เมื่อรับผลแล้วกรณี visitor visa อาจจะต้องส่งเอกสารมาให้ผู้เชิญทางนี้เดินเรื่องต่อ ซื่งจะใช้เวลาประมาณ 2 เดือนค่ะ ส่วนเวลาจะมากหรือน้อยแล้วแต่ว่าอยู่คันโทนไหน
ส่วนเรื่อง B permit อันนี้ไม่เคยทราบมาก่อนว่าสามารถขอได้ตั้งแต่อยู่เมืองไทย ขอยกตัวอย่างตัวเองและเพื่อนนะคะ ลักษณ์มาวีซ่าแต่งงาน คือมาจดทะเบียนที่นี่ มาถึงก็ apply Pass L ซึ่งมีอายุ 6 เดือน เป็นแบบชั่วคราวสำหรับให้เราเดินเรื่องที่นี่ก่อนจดทะเบียน หลังจดทะเบียนจึงมีจดหมายแจ้งให้ apply Pass B ส่วนเพื่อนของลักษณ์แต่งที่เมืองไทย และยื่นวีซ่าติดตามสามี หลังจากเดินทางมาถึงที่นี่ก็สามารถขอ B permit ได้เลย ส่วนกรณีที่ตัวอยู่เมืองไทยแต่จะ apply B ของที่นี่อันนี้ไม่เคยได้ยินเหมือนกัน ยังไงคุณอรลองให้คุณสามีสอบถามให้ชัดเจนอีกครั้งดีกว่านะคะ เพราะเงื่อนไขการขอ B ไม่ใช่แค่จดทะเบียนกับคนที่นี่ แต่หมายถึงวัตถุประสงค์ในการพำนักในสวิสด้วย ส่วนกรณีที่มี B แล้วสามารถออกนอกประเทศได้ไม่เกินปีละ 6 เดือนค่ะ (อันนี้เพื่อนเคยไปถาม ตอนที่เขาจะกลับเมืองไทย) เดินทางในประเทศกลุ่ม Schengen ได้ไม่เกิน 3 เดือน ถ้าเกินจากนี้การเข้าประเทศครั้งต่อไปก็จำเป็นต้องขอวีซ่า และจะมีผลต่อการขอต่อ B permit ในปีต่อๆไปด้วย
ส่วนการขอใบรับรองความประพฤติจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สามารถไปขอได้ด้วยตัวเองค่ะ ถ้ามาเดินเรื่องที่กรุงเทพฯแล้วก็นั่งรถไฟฟ้าไปขอเลยก็ดีค่ะ จะได้ไม่ต้องเสียเที่ยว เพราะไม่ไกลกันมากกับสถานทูต ลองสอบถามกับเจ้าหน้าที่ที่สถานทูตดูก่อนว่าจำเป็นต้องใช้หรือเปล่า เพราะทั้ง tourist และ visitor visa รู้สึกว่าไม่ต้องใช้ แต่ถ้าเป็นวีซ่าติดตามสามีอันนี้ต้องใช้ค่ะ
เดินเรื่องตั้งแต่กรกฎาก็ได้นะคะ เราจะได้มีเวลากรณีที่มีปัญหาต่างๆ ตอนลักษณ์ขอครั้งแรกก็ขอก่อนเดินทางประมาณ 3 เดือน เพราะกลัวว่าใกล้วันเดินทางแล้วจะฉุกละหุก เราจะได้เตรียมตัวด้วย ช่วงสิงหา - ตุลากำลังเข้าใบไม้ร่วงค่ะ 15 - 20 องศา อยู่ในระดับพอทนสำหรับคนเอเชีย :)
คิดว่าคงจะพอช่วยได้บ้างนิดหน่อยนะคะ ;)
ลักษณ์
ขอบคุณค่ะ คุณลักษณ์ ;D ดีจังได้รู้อย่างนี้ ถ้างั้นต้องบอกให้สามีส่งใบเชิญมาก่อนประมาณกรกฎาใช่มั้ยค่ะ ส่วนหนังสือลางานด้วยเหมือนกัน เราต้องโชว์ หลักฐานการเงินของเราด้วยมั้ย???งั้นก็เหลือเวลาไม่กี่เดือนเองนะเนี่ย ตื่นเต้นจัง วีีซ่าจะผ่านมั้ยน้อ?????
ขอบคุณทุกท่านนะคะ ที่ช่วยแชร์ความคิดเห็นค่ะ
อร