จริงมากน้อยเพียงใดค่ะ ถ้าเราซื้อบ้านที่ต้องผ่อนกับธนาคารนานๆ และ พอสิ้นปี เราจ่ายภาษีน้อยกว่า คนที่เช่าบ้านอยู่เป็นรายเดือน
หรือคนที่มีภาระที่ต้องจ่ายบ้านเป็นงวดๆ กับทางธนาคาร จ่ายภาษีถูกกว่า ตอนที่เช่าบ้านอยู่กี่เปอร์เซ้นค่ะ หรือไม่ต้องจ่ายเลย
**กระทู้นี้เป็นกระทู้เดิมหมายเลข 0090 ห้อง stories_life (เผื่อใช้ในการค้นหา)**
ขอพูดเกี่ยวกับที่พักอาศัยคร่าวๆ
ไม่ได้เกี่ยวข้องกับที่ถามแต่อยากเขียนให้อ่านไว้
ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับคำถามที่ถามมาตอนท้ายๆ
**ที่อยู่อาศัย...**
ที่อยู่อาศัยจะมี2แบบคือ
1.แบบเช่าอยู่.....
อพาตเม้นท์Wohnung
2ซื้อเป็นของตนเอง...
แบบบ้านส่วนตัวหรือห้องชุดส่วนตัวWohnung
**ความแตกต่างของที่พักอาศัยที่ซื้อเองและเช่าเขาอยู่**
**อพาตเม้นท์Wohnungแบบเช่าอยู่อาศัย**
จะเป็นแบบรวมNebenkosten(NK)
ซึ่งได้ทำสัญญาตกลงไว้ในMietvertrag,
ซึ่งหมายถึงค่าน้ำ..ค่าไฟ.ค่าเครื่องทำความร้อน...
การดูแลรักษาสถานที่นอกที่พักฯลฯ..เป็นต้น
ไปเรียบร้อยแล้วหรือยังไม่ได้รวมเข้าไป
เราแค่จ่ายค่าเช่าบ้านทุกเดือนก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว
นอกจากบางปีที่นำมันมีราคาสูงเพิ่มขึ้นมาก
อาจจะต้องจ่ายเพิ่มขึ้นแต่บางปีอาจจะได้รับเงินคืนกลับมา
ถ้าค่า Nebenkosten(NK)ลดน้อยลง
การเช่าอพาตเม้นท์Wohnungแบบนี้เราไม่ต้องกังวลกับปัญหาต่างๆตามมา
เกี่ยวกับการซ่อมแซมของใช้ในที่พักที่ชำรุดเสียหาย
เช่นน้ำรั่ว...น้ำไม่ไหล..เครื่องดูดควันเสียหาย..ฯลฯเป็นต้น
แต่ถ้าเราทำของเขาเสียหายเช่นทำของหล่นใส่อ่างอาบน้ำ
จนอ่างอาบน้ำกะเทาะ..หรืออ่างล้างหน้าสีกะเทาะ...ฯลฯ
ถ้าเป็นแบบนี้เราต้องแจ้งประกันเราให้มาซ่อมแต่ถ้าไม่มีประกัน
เราต้องออกเงินซ่อมเอง....
**(อันนี้สำคัญ.)
ถ้าของใช้ที่เราทำชำรุดเสียหายมีอายุมากเราไม่ต้องจ่ายเงินซ่อมของเหล่านี้
เราต้องดูให้ดีไม่เช่นนั้นจะเป็นการเสียเปรียบไป
***ที่พักอาศัยที่ซื้อไว้เองเป็นของเราเอง**
**ถ้าเป็นแบบอพาตเม้นท์Wohnung**
**ข้อดี..**
เกี่ยวกับNebenkosten(NK)...
เงินส่วนกลางที่เราต้องจ่ายNK..
เงินNK...ส่วนนี้ทุกคนที่ซื้อห้องพัก..จะต้องช่วยกันออก
เขาจะคิดตามจำนวนห้อง... และเงินNK..เราจะต้องจ่ายทุกเดือน..
บางแห่งจะให้เราจ่ายปีละ2หน...
จะมีคนกลางทำหน้าที่ดูแลให้เรา..
บ้านพักที่เราซื้อแบบนี้เราเรียกว่า
Stockwerkeigentuemer Liegenschaft
การจ่ายจะคิดรวมกันทั้งหมดและช่วยกันจ่าย
NK..เป็นค่าใช้จ่ายข้างนอก.เช่นค่าน้ำ..ค่าไฟ..
ค่าเก็บขยะ..ที่จอดรถ(บางแห่งรวมไป..บางแห่งแยกจ่าย)
ค่าทำความสะอาดบันได..ทำสวน...ฯลฯ...
บ้านพักแบบนี้..จะมีทุนเงินกองกลาง..
ที่เราจ่ายเก็บสำรองไว้ใช้จ่ายซ่อมแซม
ทาสีรอบบ้าน..เครื่องทำความร้อนพัง..หรือ
...ฯลฯ...เงินสำรองส่วนนี้เราเรียกกันว่าFond
เงินส่วนนี้จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับเจ้าของ
ที่ซื้อบ้านอยู่รวมกันยินยอมพร้อมใจจ่ายเงินเข้าFond
บางแห่งมาก..บางแห่งน้อย..
**เงินNK...นำมาลดหยอ่นภาษีไม่ได้**
**ข้อเสีย..ของการซื้อบ้านพักWohung.**
เราคิดอยากจะทำอะไร..ตัดสินใจทำอะไรตามอำเภอใจไม่ได้
ต้องปรึกษาหารือกันก่อน..ถ้าทุกคนพร้อมใจกันก็ทำได้
เช่นอยากตัดต้นไม้หรืออยากปลูกดอกไม้..หรืออยากขุดหลุม
ก็ต้องถามความเห็นของคนอื่นๆก่อน...
**ข้อดี...ของการซื้อบ้านพักWohung**
เราไม่ต้องรับผิดชอบรายจ่ายคนเดียว
มีคนช่วยออกค่าใช้จ่ายด้วย
**ข้อดีของบ้านส่วนตัว**
เป็นอิสระทำอะไรได้ทุกอย่างไม่ต้องปรึกษาหรือถามความเห็นของใคร
ถ้ามีเงินพร้อมกับรายจ่ายทั้งหมด
**ข้อเสียของบ้านส่วนตัว**
ต้องออกค่าใช้จ่ายคนเดียว
**การซื้อบ้านส่วนตัว..หรือแบบอพาตเม้นท์Wohnung**
จะซื้อแบบจ่ายเป็นเงินสดหรือแบบขอยืมเงินจากธนาคารมาซื้อ
แต่ส่วนมากจะเป็นแบบหลังคือขอยืมเงินจากธนาคารและจ่ายดอกเบี้ย
ให้แก่ธนาคาร..ซึ่งสามารถขอลดหย่อนภาษีแต่ละปีได้
การขอยืมเงินจากธนาคารมาขอซื้อบ้านหรือWohnungส่วนตัว
สามารถขอยืมเงินจากธนาคารต่างๆได้หลายแห่งในสวิตฯ
และแต่ละแห่งจะมีการคิดดอกเบี้ยให้ลูกค้าแตกต่างกันไป
ขึ้นอยู่กับสัญญาที่ทำกัน...และสัญญาปีที่ตกลงกันว่าทำกันกี่ปี
เช่น...
เราตกลงทำสัญญาดอกเบี้ย2.80%ภายในกำหนด3ปี
ไม่ว่าดอกเบี้ยจะขึ้นหรือลดลง...เราก็จ่ายดอกเบี้ยทีทำไว้กับธนาคาร
2.80%จนครบ3ปี..ถ้าดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเราโชคดีไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น
แต่ถ้าดอกเบี้ยลดลงเป็น2%แบบนี้เราขาดทุนที่ต้องจ่ายดอกเบี้ย2.80%
จนครบ3ปี
การขอยื่นเรื่องขอยืมเงินต่อธนาคาร
จะยุ่งยากซับซ้อน..และไม่เหมือนกัน.
การยื่นกรอกข้อมูลจะละเอียดมาก
เขาจะถามถึงรายละเอียดมากมาย
ไม่ว่าอาชีพ...อายุของผู้ขอยืมเงิน....
หลักฐานที่นำมาค้ำประกันขอบอกว่าละเอียดมาก
จนบางครั้งคนที่อยากจะขอยืมเงินจากธนาคาร
แทบจะยกเลิกความคิดขอยืมเงินไปเลย
สรุปสั้นๆคือธนาคารจะระมัดระวังมาก
ถ้าเราจ่ายEK...ในวงเงินที่สูงพอควร
มีหลักฐานประวัติการเงินของคนยืม
ไว้วางใจได้....แบบนี้มักจะไม่มีปัญหาธนาคารจะตกลงให้ยืมเงิน
บางคนอาจจะไม่เข้าใจกับคำว่าEK
**EK
**
คำว่าEK....ในที่นี้หมายถึง
Eigenkapital...เป็นเงินสดที่เราต้องจ่าย
ให้แก่คนที่ขายบ้านหรือห้องพักให้เรา
การคิดถึง%การจ่ายเงินสด..เป็นข้อตกลงกันระหว่าง คนซื้อและคนขาย..
บางแห่งคิดแค่10%....15%...หรือ20%.............
เช่นห้องพักWohnungหรือบ้านราคาขาย....จำนวน..4แสนสวิสฟรังก์
เจ้าของบ้านหรือWohnungต้องการให้เราจ่ายเงินสด Eigenkapital จ่าย 20%
หมายถึงเราต้องวางเงินดาวน์จ่ายเงินสดให้คนขายบ้านหรือWohnung
8หมื่นสวิสฟรังก์...(ราคาบ้านบอกขายราคา400,000 สวิสฟรังก์)
เอาเงินจำนวน8หมื่นสวิสฟรังก์...นี้หักออกจาก4แสนสวิสฟรังก์
เราจะเหลือเงินจำนวน3แสน2หมื่นสวิสฟรังก์
เงินจำนวนนี้เราไม่มีเงินที่จะจ่ายให้แก่เจ้าของบ้านหรือWohnungเลย
เราจำเป็นต้องไปขอยืมจากธนาคาร......
ดังนั้นเงินส่วนที่เหลือจำนวน3แสน2หมื่นสวิสฟรังก์
เราเป็นหนี้ธนาคาร...ซึ่งเราจะต้องทำการจ่ายดอกเบี้ยให้ธนาคาร
ตามที่ทำสัญญาเอาไว้ว่าทำกันกี่ปี
และดอกเบี้ยที่เราต้องจ่ายให้ธนาคารตลอดเวลานี้เราเรียกว่า Hypothek..(ฮิโปรเทค)
**Hypothek..(ฮิโปรเทค)**
ธนาคารจะคิดเงินดอกเบี้ยที่เราขอยืมมา
ดอกเบี้ยที่ทางธนาคารให้เราจ่ายนี้เราเรียกว่า Hypothek..(ฮิโปรเทค)
Hypothek..(ฮิโปรเทค)
เป็นดอกเบี้ยที่เราตกลงกับธนาคารไว้
ว่าเราต้องจ่ายดอกเบี้ยเงินที่*้ธนาคารมา
แล้วแต่ธนาคารแต่ละแห่งเขาจะคิดกี่%
และ Hypothek...แบ่งออกเป็นหลายอย่าง
และบางธนาคารอาจจะเรียกชื่อไปอีกแบบหนึ่ง
เช่นerste Hypothek...และ
zweite Hypothek
แต่สรุปแล้วลักษณะจะคล้ายกัน
ยกตัวอย่างเช่นของธนาคารUBS
การทำสัญญาขอยืมเงินมาซื้อบ้านจะคิดดอกเบี้ย
ลักษณะแบบนี้
A..Portfolio-Hypothek
B.Festhypothek.....
A..**Portfolio-Hypothek **
ธนาคารแต่ละแห่งจะเหมือนกันหมด
คือเขาจะคิดจำนวนเงินที่เราขอยืมมา
ออกมาก้อนหนึ่งขึ้นอยู่กับจำนวนเงิน
แล้วเขาจะคิดออกมาจำนวนหนึ่งในวงเงินที่กำหนดให้
และเงินจำนวนนี้เราสามารถผ่อนจ่ายแต่ละเดือน
จนเราเลิกเป็นหนี้ธนาคาร....เงินแบบนี้คล้ายๆของไทยเราคือ
จ่ายไปหมดแต่ละงวดและหักออกจากหนี้ที่เราขอยืมมา
ส่วนวงเงินที่เหลือที่เราขอยืมมาเราไม่สามารถหักออกไปแบบนี้
เราต้องจ่ายดอกเบี้ยไปตลอดจนกว่าเราจะหาเงินสดมาจ่ายลบหนี้
ที่ขอยืมมา
Portfolio-Hypothek เป็นเงินที่เราจ่ายให้แก่ธนาคาร
และจะหักหนี้สินออกไปเลย เราไม่เป็นหนี้ธนาคารอีกต่อไป
และเงินจำนวนนี้จะหักออกจากเงินที่เราขอยืมออกไป
จะเหลือเงินที่เราขอยืมออกมาน้อยลง
Portfolio-Hypothek....
เป็นสัญญาการจ่ายเงินที่ทางกฎหมายได้วางไว้
เช่นเรายืมเงินจากธนาคารมาทั้งหมดจำนวน 3แสน2หมื่นสวิสฟรังก์
ทางธนาคารคิดเงิน Portfolio-Hypothek....
เป็นจำนวนเงิน17,000 สวิสฟรังก์
เงินจำนวน17,000 สวิสฟรังก์...เราต้องจ่ายให้เขาทุกเดือน
**รวมดอกเบี้ยไปด้วย**
เมื่อเราจ่ายแต่ละเดือนจนครบกำหนดจนครบ17,000 สวิสฟรังก์...
ก็นำเงินจำนวน17,000 สวิสฟรังก์...นี้จะหักออกจาก3แสน2หมื่นสวิสฟรังก์
เป็นอันว่าเราจะเหลือเงินทีขอยืมจากธนาคารเป็นจำนวนแค่
303,000 สวิสฟรังก์ ....เท่านั้นเอง
ที่เราต้องจ่ายFesthypothek....ต่อไปข้างหน้า
B
***Festhypothek..... ***
เป็นอัตราดอกเบี้ยที่เราเริ่มทำสัญญาขอยืมเงิน
ตอนที่ทำสัญญากันเอาไว้ว่าเงินที่ขอยืมมานั้นทำไว้ในจำนวนกี่ปี
กับทางธนาคาร...และเราต้องจ่ายจนกว่าจะหมดสัญญา
จึงทำกันใหม่..และดอกเบี้ยจะต่ำหรือสูง..ค่อยว่ากันใหม่
เราต้องาตัดสินใจว่าจะทำสัญญา ขอยืมเงินจากธนาคารกี่ปี
หรือทำแบบปีต่อปี..แบบรอดูอัตราดอกเบี้ยว่าช่วงนี้เขาคิดกี่%
หรือถ้าเราไม่อยากเสี่ยงวัดดวงว่าดอกเบี้ยจะถูกลง
และเราทำสัญญา....2ปี...3ปี..หรือ5ปี..
ถ้าช่วงนี้ดอกเบี้ยลดลงเราก็ขาดทุนหน่อยที่ต้องจ่ายในราคาแพง
แต่ถ้าดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นมาก..เราจะได้กำไร..เพราะทางธนาคาร
ไม่สามารถคิดเงินเราเพิ่มได้...เพราะทำสัญญาตกลงกันไว้
เรื่องนี้คนขอยืมเงินจากธนาคารต้องคิดให้รอบคอบว่าอยากจะเสี่ยงหรือทำสัญญา
ระยะยาวไว้เลย...
**Amortisation.**
และถ้าบ้านพักของเรา..ทางธนาคารจะดูว่าเราปรับปรุง
หรือซ่อมแซมทำอะไรใหม่หรือเปล่า
ถ้าเราไม่ทำการปรับปรุงอะไร..บ้านหรือWohnung
ยังอยู่ในสภาพเดิมทุกอย่างไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร
เหมือนเราซื้อรถยนต์มาใหม่ซิงๆ
เมื่อใช้ทุกวันรถก็อยู่ในสภาพเสื่อมลง
บ้านก็คล้ายๆกันดังนั้นทางธนาคารจะคิดเงิน
ให้เราต้องจ่ายแก่ทางธนาคารเพราะบ้านอยู่ในสภาพเสื่อมราคาลง
เงินส่วนที่เราต้องจ่ายส่วนนี้เป็นเงินที่ทางธนาคารทำไว้เพื่อ
ไม่ให้ธนาคารขาดทุนจากราคาบ้านที่เราไปขอยืมมา
เงินส่วนที่ธนาคารคิดค่าสึกหรอของบ้านแบบนี้
เราเรียกว่าAmortisation...ซึ่งธนาคารจะคิดประมาณ1%
ที่เราต้องจ่ายให้ทางธนาคาร.
**Notariat +ค่าธรรมเนียมโอน**
การซื้อขายจะทำกันเองไม่ได้ต้องผ่านNotariat
ซึ่งจะทำKaufvertrag...ให้คนซื้อและผู้ขาย..
ซึ่งมีทั้งKaufpreis...ราคาซื้อขายกัน
และรวมทั้งSchuldbrief...หนี้สินที่คนซื้อค้างอยู่
และจะยื่นเรื่องราวต่างๆไปยังเขตที่อยู่
การทำงานของNotariat
จะซับซ้อนมาก...บางคนอาจจะงง..
ที่เราต้องจ่ายเป็นเงินจำนวนมากนี้ขึ้นอยู่กับNotariat
การจ่ายเงินจะแบ่งออกหลายอย่างเช่น
Grundgebuehren...เป็นอัตราค่าธรรรมเนียม
Gebuehren und Honorar ..ค่าใช้จ่ายการติดต่อต่างๆ
Auslagen
.เงินจ่ายทดลองต่างๆ
MWST
Grundbuchauszuege
Grundbuchamt
Handaenderungssteuer
Grundbuchgebuehren.....เป็นต้น
นี่คือเหตุผลว่าทำไมเราตอ้งจ่ายค่าโอนบ้านราคาแพงมาก
เป็นหมื่นกว่าสวิสฟรังก์ขึ้นไป.
บางคนอาจจะจ่ายถูกลงถ้าเป็นคนรู้จักกันหรือคนภายในครอบครัวที่มีอาชีพนี้
มาเข้าจุดที่เจ้าของกระทู้ถามมาว่า
การซื้อบ้าน กับการลดหย่อนภาษี
จริงมากน้อยเพียงใดค่ะ ถ้าเราซ์อบ้านที่ต้องผ่อนกับธนาคารนานๆ และ พอสิ้นปี เราจ่ายภาษีน้อยกว่า คนที่เช่าบ้านอยู่เป็นรายเดือน
หรือคนที่มีภาระที่ต้องจ่ายบ้านเป็นงวดๆ กับทางธนาคาร จ่ายภาษีถูกกว่า ตอนที่เช่าบ้านอยู่กี่เปอร์เซ้นค่ะ หรือไม่ต้องจ่ายเลย
**คำถาม**
จริงมากน้อยเพียงใดค่ะ ถ้าเราซื้อบ้านที่ต้องผ่อนกับธนาคารนานๆ
**คำตอบ**
ดอกเบี้ยที่จ่ายแก่ธนาคารทุกเดือนนั้น
เป็นการจ่ายดอกเบี้ยเท่านั้นไม่รวมเงินต้น
ดังนั้นขอตอบว่าจะนานแค่ไหน
ขึ้นอยู่กับคนซื้อว่าจะนำเงินมาจ่ายคืนแก่ทางธนาคารที่ไปขอยืมมาเมื่อไร...
ถ้านำเงินมาจ่ายคืนก็หมดหนี้สินกันไป
**คำถาม**
จริงมากน้อยเพียงใดค่ะ ถ้าเราซื้อบ้านที่ต้องผ่อนกับธนาคารนานๆ และ พอสิ้นปี เราจ่ายภาษีน้อยกว่า คนที่เช่าบ้านอยู่เป็นรายเดือน
**คำตอบ**
เกี่ยวกับเรื่องนี้ขอบอกก่อนว่าเป็นเรื่องซับซ้อนยุ่งยากต่อการทำความเข้าใจ
และป้าเองก็ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับกับเรื่องนี้ขอตอบคร่าวๆ
เกี่ยวกับเรื่องนี้ตามประสบการณ์ของตัวเอง
ที่เป็นทั้งคนเคยเช่าบ้านและคนมีห้องพักที่ซื้อไว้แล้ว
**เช่าบ้านพักWohnung**
อย่างในใบกรอกภาษีจะมีให้เรากรอกไว้
ไม่ว่าจะเป็นค่าเช่าบ้าน..ค่าใช้จ่ายในบ้านต่างๆ...
ทางเขตหรือรัฐที่อยู่จะคิดตามจำนวนคนในครอบครัว
และให้กำหนดยอดที่สามารถนำมาหักขอลดภาษีได้ไม่เกินกว่าที่ตั้งเอาไว้
**ถ้าซื้อบ้านส่วนตัวหรือบ้านพักWohnung**
แต่คนที่ซื้อบ้านส่วนตัวหรือบ้านพักWohnung
จะต้องจ่ายเงินGrundstueckwert
(ราคาประเมิลของบ้านว่าบ้านที่ซื้อมาว่ามีค่าแค่ไหน..จะดูว่าอยู่ใกล้ไกล
จากศูนย์กลางคมนาคมหรือไม่)
ถ้าประเมิลในราคาสูงเราก็ต้องจ่ายภาษีโรงเรือนมากหน่อย
และนอกจากนั้นก็จะคิดต่อไปอีกว่าบ้านหรือบ้านพักWohnung
จะถูกคิดแบบMietwertว่าควรจะอยุ่ในราคาเท่าไรต่อเดือน
ทั้งหมดจะถูกรวมเข้าไปในLiegenschaftssteuer
รวมอยู่ในรายได้ของเรา
แต่เราก็ยังสามารถขอลดหย่อยภาษีตามจำนวนคนภายใน
ครอบครัวออกได้ตามที่ทางเขตหรือรัฐที่อยู่กำหนดเอาไว้
**ข้อดี**
เงินดอกเบี้ยที่เรายืมมาจากธนาคารสามรถนำมาลดหย่อนภาษีได้หมด
และเงินค่าซ่อมแซมส่วนสึกหรอของบ้าน
สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ด้วย
และถ้าเราดัดแปลทำอะไรใหม่ในบ้านหรือนอกบ้าน
**ต้องดูตามสถานการณ์...ไม่สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ทั้งหมด
ภาษีที่จ่ายมากน้อยขึ้นอยู่กับหนี้สินที่เราไปขอ*้ยืมมาจากธนาคาร
มาซื้อบ้านมากน้อยแค่ไหนเงินจำนวนนี้นำมาลดหย่อนภาษีได้
เกี่ยวกับการจ่ายภาษีนี้....ทุกคนต้องจ่ายภาษีให้รัฐอยู่แล้ว
ไม่มีใครที่ไม่ตอ้งจ่ายภาษีให้รัฐ...แต่จะจ่ายมากจ่ายน้อยกว่ากัน
ขึ้นอยู่กับหนี้สินที่เรามีภาระอยู่
หนี้สินที่พูดนี้หมายถึงการจ่ายดอกเบี้ยให้ทางธนาคาร
หรือจ่ายประกันชีวิตเท่านั้น..หนี้สินอื่นๆนอกเหนือจากนี้
ไม่สามารถนำมาขอลดภาษีได้
**สรุป**
ดังนั้นถ้าคิดดูดีๆแล้วคนมีหนี้สินย่อมจ่ายภาษีน้อยลงกว่าคนที่ไม่มีหนี้สิน
คนมีบ้านหรือบ้านพักWohnung
จะได้รับการลดหย่อนภาษีมากกว่าคนไม่มีบ้านหน่อยหนี่ง
เกี่ยวกับการคิด%ขึ้นอยู่กับเขตที่อยู่ด้วย
รอคนที่มีประสบการณ์การซื้อบ้าน
หรือคนที่รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้มาช่วยให้ข้อมูล
และรายละเอียดเพิ่มขึ้นต่อไปอีกเพื่อเป็นความรู้กัน
หนูหลงไปรอคำตอบที่ห้องเก่าตั้งนาน กว่าจะเจอก็นานหน่อย ขอบคุณป้ามากๆๆๆๆเลยที่ให้ตอบตั้งเยอะ และก็ สละเวลาพิมพ์ให้หนูหนูเรื่องที่หนูถามอย่างละเอียดขอบคุณมากค่ะ ถ้าแต่ก่อนหนูพูดจาเป็นการไม่สมควรหรือความเห็นใดที่หนูลงไปไม่เหมาะสม ขอโทษป้าอีกครั้ง มา ณ ที่นี้ด้วย อละขอบคุณมากค่ะ