สวัสดีวันแม่ค่ะคุณแม่และคนที่ไม่ใช่คุณแม่ด้วยค่ะ
เห็นว่าวันนี้เป็นวันแม่และเทวีเองก็กำลังจะเป็นคุณแม่เร็วๆนี้ก็เลยเปิดหัวข้อใหม่สำหรับเรื่องแม่ๆลูกๆทั้งลูกครึ่งลูกเสี้ยวและลูกไทยแท้ที่ใช้ชีวิตอยู่สวิสค่ะ เทวีคิดว่าหัวข้อนี้คงจะมีคุณแม่เข้ามาแบ่งปันประสบการณ์และแลกเปลี่ยนคำถามและคำตอบเรื่องของแม่ๆลูกๆที่ใช้ชีวิตต่างแดนได้บ้าง ก่อนอื่นขอบรรยายความดีใจของตัวเอง(เท่าที่จะบรรยายถูก)ในฐานะว่าที่คุณแม่ค่ะ
คือว่าบ้าเห่อลูกมาก ลูกยังตัวเล็กมากและอยู่ในท้องอยู่ เพิ่งจะได้14สัปดาห์ค่ะ จริงๆอยากจะบอกทุกๆคนที่รู้จัก(และไม่รู้จัก)ว่าตัวเองท้องตั้งแต่รู้ว่าท้องวันแรกแล้ว แต่รอให้ทุกอย่างมันแน่นอนและปลอดภัยก่อนจึงรอมาจนถึงวันแม่วันนี้ เพราะวันนี้เทวีมีนัดกับหมอสูติซื่งเป็นหมอที่เทวีฝากครรถ์ด้วยนั่นเอง ตรวจแล้วทุกอย่างปกติดี ได้เห็นลูกน้อยในครรภ์อีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้เป็นครั้งที่2 ครั้งแรกที่เห็นลูกนั้นเห็นเป็นดวงๆกระพริบๆ ซึ่งนั่นก็คือหัวใจของเขานั่นเอง เต้นเร็วมากตอนนั้นอายุครรภ์ได้6สัปดาห์ลูกมีขนาดครึ่งเซ็นติเมตร แต่วันนี้14สัปดาห์ลูกของแม่มีอวัยวะครบถ้วนแล้ว ครั้งแรกที่แม่เห็นว่าลูกมีแขนมีขามีนิ้วมีตามีปากมีทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์มี และลูกก็ขยับให้เราดู มันตื่นเต้นมาก บอกไม่ถูกว่าความรู้สึกตอนนั้นเป็นยังไง รู้แต่ว่าหุบยิ้มไม่ลงแม่แต่วินาทีเดียว ลูกหมุนตัว ว่ายวนในน้ำคร่ำ พอคุณหมอกดที่หน้าท้องหนูก็กระดกหลังดันกลับทันที ตอนนั้นแม่ยังงงๆอยู่ไม่คิดว่าลูกจะดิ้นเป็นเรื่องเป็นราวขนาดนี้เพราะตัวแม่เองยังไม่รู้สึกว่าหนูดิ้นเพราะลูกตัวยังเล็กมาก แม่รู้สึกเหมือนกำลังเล่นเกมคอมพิวเตอร์ที่มีเราเป็นคนบังคับให้สิ่้งต่างๆทำในสิ่งที่เราต้องการ ตอนนั้นแม่นึกอย่างเดียวว่า เดี๋ยวก่อนๆคุณหมอดิฉันยังไม่ได้กดอะไรเลย ทำไมเขาหมุนตัวและดิ้นไปดิ้นมาอย่างนี้ พอแม่คิดได้ว่านั่นคือหนูที่อยู่ในท้องแม่ก็รู้สึกได้เลยว่ามีสิ่งมหัศจรรย์เล็กอยู่ในท้องของแม่จริงๆ พ่อของหนูเขาเห็นหนูดิ้นครั้งแรกก็ร้องออกมาอุ้ยๆดิ้นแล้วๆ หมุนแล้วๆ
ต่อค่ะ เท่านั้นละคุณหมอบอกว่าถ้าไม่ดิ้นซิแปลก 555ก็คนมันไม่เคยมีลูกนี่น่าคุณหมอ หลังจากนั้นก็ถ่ายรูปมา4รูป มีหนึ่งรูปลูกยกมีขั้น2ข้าง คุณพ่อเขาบอกเป็นภาษาไทยทันทีว่า แปล๋ๆๆแบบว่าลูกหลอกเล่นปิดแอบ
เล่าเรื่องตัวเองมาพอสมควร ใครๆที่มีลูกแล้วหรือกำลังตั้งครรภ์มีความรู้อะไรมาแบ่งปันกันบ้างก็ดีนะคะ
เทวีมีหนึ่งคำถามแรกที่นึกออกคือไม่ทราบว่าลูกครึ่งที่นี่มีชื่อกี่ชื่อกันคะ คือว่าชื่อไทยชื่อฝรั่ง แล้วในพาสปอร์ตจะเขียนชื่อไหนเอ่ย 2ชื่อติดกันเลยหรือเปล่า แล้วมีชื่อเล่นอีกไหมคะ
คำถามที่สองคือคุณแม่และคุณพ่อพูดภาษาอะไรกับลูกคะ ไทย เยอรมัน อังกฤษ ...แล้วลูกตอบกลับเป็นภาษาอะไรค่ะ เพราะที่บ้านเทวีตอนนี้เฉพาะแค่กับสามีก็ตีกันวุ่นวายหมดแล้ว เทวีต้องกำชับสามีว่าอย่าพูดภาษาเยอรมัน ไม่งั้นลูกเราจะพูดได้ภาษาเดียว เพราะเขาจะรู้ว่าพ่อกับแม่พูดภาษานี้ได้ก็ไม่จำเป็นต้องมีภาษาอื่นๆให้ยุ่งยาก ยื่งเทวีอ่านหนังสือมากเท่าไรก็ยิ่งอยากให้ลูกได้เรียนรู้หลายๆภาษาในเวลาเดียวกัน และเรียนรู้ในเวลาที่เขายังใหม่และสมองปลอดโปร่งซึ่งง่ายที่เราจะป้อนข้อมูล ข้อมูลที่สำหรับผู้ใหญ่อย่างเรานั้นเรียนรู้ช้ากว่า เลยกะว่าเทวีและสามีจะพูดกับลูกทีเดียว4ภาษาเลย...555 นั้นหมายว่า2ภาษาจากพ่อ เยอรมัน และสเปน และจากแม่ไทย และอังกฤษ เอ่อ เยอรมันนี่เอาไว้หลังสุดและจะพูดกรณีที่มีเพื่อนๆมาเท่านั้น เราจะไม่พูดเยอรมันในครอบครัว แต่เราจะพูดอังกฤษเป็นภาษากลางในการสื่อสาร3คนพ่อ แม่ และลูก เหตุเพราะ พ่อพูดภาษาไทยไม่ได้ในขณะที่แม่พูดสเปนได้นิดหน่อย ก็เลยกลับมาที่ภาษาที่พ่อกับแม่เคยใช้สื่อสารกัน หวังว่าผลลัพธ์คงออกมาดี ตอนนี้ขอให้ลูกปลอดภัยทุกอย่างแม่คนนี้ก็ดีใจแล้วค่ะ
สุขสันต์วันแม่นะคะ
ยินดีด้วยค่ะ :D อ่านกระทู้แล้วรู้สึกดีใจด้วยจริงๆค่ะ ยังไม่มีประสบการณ์หรอกค่ะ แต่พอดีขอแชร์ประสบการณ์จากเพื่อนชาวสวิสที่รู้จักที่ bank เค้ามีภรรยาเป็นคนญี่ปุ่นค่ะ คือที่บ้านเพื่อนเค้าพูดอังกฤษและเยอรมันกับภรรยา และพูดสวิสเยอรมันกับพ่อแม่ ภรรยาเค้าพูดญี่ปุ่นกับลูกด้วย ลูกเค้าสับสนและไม่ยอมพูด เค้าก็เลยตัดสินใจส่งลูกไปอยู่ที่ญี่ปุ่นค่ะ เอาไปเรียนที่นั่นเลยให้ภรรยาไปดูแลที่โน่น เค้าให้เหตุผลว่าจะไม่ทำให้เด็กสับสน แต่อภิเห็นแย้งกับเค้าค่ะ เพราะคิดว่า เด็กจะเกิดการสับสนในช่วงแรก และมีปัญหากับการใช้ภาษาสักพักหนึ่ง แต่เด็ก สามปีแรก จะจำเสียง สำเนียงของภาษานั้นๆ ได้ดีกว่าผู้ใหญ่ ซึ่งเด็กจะฝึกภาษาง่ายกว่าผู้ใหญ่ ถ้าผู้ใหญ่พูดภาษานั้นๆ ไม่เพี้ยน เด็กก็จะจำสำเนียงนั้นๆ เราดูตัวอย่างง่ายๆ จากคนไทยที่พูดภาษาท้องถิ่น เวลาพูดภาษากลาง สำเนียงก็จะแตกต่างกัน ดังนั้นถ้าเด็กได้ยินสำเนียงที่ถูกต้องไม่ผิดเพี้ยน ทั้ง สามหรือสี่ภาษา เด็กก็จะจำสำเนียงได้ค่ะเพราะช่วงสามปีแรกเซลล์สมองทุกส่วนจะพัฒนาได้มากที่สุด หลังจากนี้ไปแล้วเซลล์สมองก็จะพัฒนาต่อแต่ก็ไม่เพิ่มมากเท่าช่วง 3 ปีแรก อภิจำได้ว่าเคยอ่านจากหนังสือเล่มหนึ่งค่ะ เรื่อง กว่าจะถึงอนุบาลก็สายเสียแล้ว เป็นหนังสือดีมากๆ สำหรับคุณแม่มือเก่าและมือใหม่ ในหนังสือ " กว่าจะถึงอนุบาลก็สายเสียแล้ว" นี้ มีแนวคิดที่น่าสนใจเกี่ยวกับเด็ก 0-3 ขวบ มากมาย ซึ่งถ้าเราเลี้ยงเด็กผิดพลาด จะส่งผลให้แก้ไขยาก เช่น
1.ในช่วง 0-3 ขวบ แม่ควรจะอ่อนโยนต่อลูกและให้เข้าใกล้ธรรมชาติมากที่สุด และจะสอนอะไรก็สอน เด็กรับได้อย่างไม่น่าเชื่อ เช่น งานศิลปะ ดนตรี ทำให้เด็กเป็นคนละเอียดอ่อน เล่านิทาน การแบ่งปัน ว่ายน้ำ ฟังเพลงง่ายๆ
การพาไปดูของจริง การทำซ้ำๆ คือ กระตุ้นให้สนใจเราสามารถจะสอนวินัย ความดี ความเลวได้ตังแต่ตัวน้อยๆ ซึ่งระเบียบวินัยควรจะสอนตั้งแต่ก่อนเข้าอนุบาลแล้ว
เด็กควรอยากเรียนอะไรก็ได้ เรียนตามอัธยาศัย ไม่เร่งเรียน เด็กเป็นศูนย์กลาง แต่พ่อแม่ส่วนใหญ่จะปล่อยปะละเลยตอนต้น 0-3 ขวบแต่มายุ่งมาเข้มงวดกับเด็กตอนหลัง 7 ขวบไปแล้ว เพราะทำให้เด็กงง สับสน และไม่เกิดความคิดสร้างสรรค์
2.แม่ที่ไม่ค่อยกอดลูก เป็นเรื่องผิดธรรมชาติของคนที่ต้องการความอบอุ่น ความไว้ใจ การอุ้มลูกเยอะๆจนติดมือ หรือนอนกับลูกก็เป็นสิ่งที่ดี ตอนที่ลูกกำลังใกล้จะหลับ เป็นช่วงที่ลูกจิตใจสงบ คุณแม่สามารถให้สิ่งดีๆกับเค้าตอนนี้ เช่น ร้องเพลง เล่านิทานที่มีคติสอนใจ
3. ที่บ้านใดที่คุยกันเสียงดัง โทรทัศน์ก็ดัง มีผลการวิจัยพบว่า เด็กจะใช้ภาษาไม่เก่ง ไม่ค่อยฟังใครแบบตั้งใจ มีสมาธิในการเรียนรู้สั้น ดังนั้นไม่ควรให้เด็กเล็กๆดูทีวีมากเกินไป
4. พ่อแม่ทะเลาะกัน ทำให้เด็กก้าวร้าว คุมอารมณ์ไม่ค่อยได้ คำหยาบ คำพูดรุนแรงของพ่อมแนั้น เด็กจะจำแบบฝังใจ เด็กแรกเกิดสามารถรู้ได้ว่า พ่อแม่ทะเลาะกัน
5..อย่าพูดเสียงแบบเด็กๆกับเด็กๆ หรือทำเป็นพูดไม่ชัดแบบเด็กๆ เพราะทำให้เด็กงงและเข้าใจภาษาผิดๆ พูดแบบผู้ใหญ่กับเด็ก เด็กก็จะเป็นผู้ใหญ่
6. ให้เด็กอยู่กับของใช้ที่เป็นธรรมชาติ เพราะเด็กที่เลี้ยงมากับธรรมชาติ เช่น การใช้ถ้วยชาม แก้ว เซรามิก ไม้ บ้านที่ใช้แสงธรรมชาติ สีธรรมชาติ เสียงธรรมชาติ เมื่อโตขึ้นจะมีนิสัยที่ละเอียดอ่อน รอบคอบ มีสมาธิ มากกว่าด็กที่มีแต่ของใช้ พลาสติก เมลามีน แสงจากไฟฟ้า เสียงจากทีวี
เพราะธรรมชาตินั้นมีความสุภาพและละเอียดอ่อน จึงเป็นการสร้างจิตวิญญาณที่ดีให้เด็ก ซึ่งพ่อแม่ไทยโบราณเลี้ยงลูกท่านก็ได้เลี้ยงลูกมาแบบนี้ อันนี้อาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่อธิบายได้ว่า ทำไมคนเดี๋ยวนี้หุนหันพลันแล่น จิตใจหยาบกระด้าง
7. เด็กที่เล่นของเล่นสำเร็จรูป เช่น เครื่องบิน รถ เรือ หุ่นยนต์ ฯลฯ โตขึ้นเด็กจะกลายเป็นคนเบื่อง่าย ไม่มีความคิดสร้างสรรค์ ขาดจินตนาการ ของเล่นที่ดีจะต้องเน้น "จินตนาการ" อาจจะเป็นก้อนหิน ใบไม้ เปลือกหอย ดินน้ำมัน และให้เด็กสมมติโน่นนี่
นี่เป็นตัวอย่างที่ยกมาจาก Blog คุณหมูเหมียวค่ะ หนังสือเล่มนี้ยังมีข้อน่าสนใจอีกมากมาย
แม่ๆที่สนใจลองอ่านหนังสือเล่มนี้ได้จากเวป http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/baby/index/index1.htm นะคะ ;)
สวัสดีค่ะุคุณอภิ
ขอบคุณมากๆสำหรับความห่วงใยและคำแนะนำ เทวีเองก็อ่านหนังสือเล่มนี้เหมือนกัน ซึ่งจริงๆแล้วเทวีก็ได้เวปมาจากห้องสมุดออนไลน์ของป้าพอลนี่ละค่ะ มันจึงเป็นแรงบันดาลใจที่อยากจะให้ลูกได้ในทุกสิ่งทุกอย่างในขณะที่สมองเขากำลังเรียนรู้และรับรู้ได้อย่างเต็มที่ เทวีเห็นด้วยกับคุณอภิอย่างยิ่งว่าเด็กอาจจะสับสนบ้างเล็กน้อยในช่วงแรกแต่หลังจากนั้นแล้วไม่ใช่ปัญหา ปัญหาอยู่ที่พ่อกับแม่ว่าจะเลือกพูดภาษาไหนกับลูกเท่านั้นเอง ตัวอย่างที่ใกล้ตัวเทวีมากที่สุดคือสามีเทวีเอง ด้วยเพราะเขาเป็นลูกครึ่งเหมือนกัน อิตาลี-สเปน แต่มาเกิดที่สวิส ตอนเล็กๆเขาจะอยู่้เฉพาะกับแม่ และแม่จะพูดแต่ภาษาสเปนด้วยเท่านั้น ตัวเขาเองพูดได้แต่ภาษาสเปนจนก่อนเข้าเตรียมอนุบาล(อายุประมาณ3-4ขวบ)พูดภาษาเยอรมันหรือสวิสเยอรมันไม่ได้แม้แต่คำเดียวในตอนนั้น นี่เป็นปัญหาแน่นอนสำหรับช่วงแรกของโรงเรียนเตรียมอนุบาลของเขาแต่แม่เขาเล่าให้ฟังว่าหลังจากนั้นไม่เกิน6เดือนเขาสามารถพูดภาษาสวิสเยอรมันได้เหมือนเด็กสวิสทั่วๆไป และในตอนนี้ทั้งภาษาเยอรมัน สวิสเยอรมัน และภาษาสเปนกลายเป็นภาษาแม่ของเขาทั้ง3ภาษา แม้ว่าทุกวันนี้เขาจะใช้ภาษาสเปนน้อยมากๆ จะใช้ก็ตอนที่พูดกับแม่หรือเพื่อนที่พูดสเปนได้เท่านั้น แต่ภาษาและสำเนียงสเปนอยู่ติดตัวตลอด ซึ่งเทวีัว่ามันเข้าเรื่องกับการที่เขาได้รับการเรียนรู้ตั้งแต่แรกเกิดจนถึง3ขวบ เ่ทวีตัดสินใจที่จะลาออกจากงานหลังจากคลอดลูกเพื่อที่จะอยู่กับลูกและสอนทุกสิ่งทุกอย่างที่ตัวเองรู้ให้เขา (หรือในกรณีไม่รู้ก็จะพยายามหามาให้รู้ให้ได้)อีกเรื่องที่อาจจะเป็นปัญหาคือ ทั้งเทวีและแฟนมิได้มีภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ แน่นอนว่าสำเนียงจะมิใช่อังกฤษแต่เทวีถือว่าหากเด็กเข้าใจด้วยแม้ว่าสำเนียงจะเพี้ยนก็ย่อมดีกว่าไม่เ้ข้าใจเลย และคงจะมีการสอนจากเทป หรือสื่ออื่นๆที่มีเจ้าของภาษาช่วยด้วย เพราะหากขืนให้เทวีพูดภาษาเยอรมันกับลูกก็คงเพี้ยนหนักกว่าภาษาอังกฤษอีก และลูกคงพูดภาษาเดียวคือภาษาเยอรมันเพราะเขาืถือว่าพ่อและแม่เข้าใจทำไมต้องแปลๆหลายๆภาษา อันนี้เทวีถือเป็นข้อด้อยทางการค้าเป็นอย่างยิ่ง เพราะเราเองลงทุนค้นหาสามีลูกครึ่งซื่งได้มาทีเดียว3ชาติ 3ภาษาอันนี้ต้องกอบโกยผลประโยนช์ให้ลูกเต็มที่หน่อย คุณอภิว่าไหมคะ
สวีสดีค่ะ คุณ เทวี และคุณ อภิ
ก่อนอื่นยินดีกับคุณเทวีนะคะ ที่จะได้เป็นคุณแม่แล้ว ตอนนี้ระวังให้มากๆ เพราะยังไม่พ้นช่วงเสี่ยง จะเดินจะลุกให้ระวัง หายแพ้หรือยังคะ อยากอะไรเป็นพิเศษไหม ตอนตะวันท้องตะวันแพ้ท้องมาถึง 5 เดือน ยิ่งท้องว่างๆ ล่ะก้อจะอ้วกตลอด ฉนั้นอีกทางเลือกที่จะลดแพ้ท้องอย่าให้ท้องว่างนะคะ เพราะลูกดึงสารอาหารจากแม่ ทำให้ร่างกายแม่มีปฏิกริยาโต้ตอบโดยการอ้วก ตอนท้องตะวันแพ้แม้กระทั่งหน้าสามีนะคะ เพือนหลายคนยังแซวว่าจะได้ลูกสาว แต่ผิดคาดค่ะ ได้ลูกชาย ก๊อบปี้พ่อมาเลย เพราะแม่แพ้หน้าพ่อนี่แหล่ะ เห็นหน้าสามีจะเหม็นขี้หน้ามากๆ ไม่อยากหอมแก้มสามีเลย (อันนี้ที่จริงเกิดจากโฮร์โมนเราค่ะผิดปกติ) อีกอย่างระวังให้มากๆ ระดับน้ำในตัวคนท้องจะลดต่ำลงมากกว่าคนปกติ จะทำให้คอแห้งมากๆ ดื่มน้ำให้เยอะๆ (อาการเหล่านั้นตอนนี้ตะวันหายหมดแล้ว หลังจากคลอด เลยรู้ว่า นั้นเกิดจากการท้อง) ตะวันเพิ่งคลอดค่ะ ได้ 3 อาทิตย์เอง ตอนนี้ยังไม่เข้าอู่เลย เรืองท้องเรืองลูกตะวันก้อได้แต่แชร์ประสบการณ์กับพี่นัน ทางเวปป้าพอลนี้แหล่ะ เพราะคลอดไล่ๆ กัน ตะวันคลอดลูกน้อยยากมากๆ เข้าไปหาอ่านกระทู้ตะวันได้นะคะที่กระทู้คุณ Giadanan หัวข้อ ขอรบกวนสอบถามเรืองpassport ฯ... ตะวันกระทู้ไว้แล้ว คลอดลูกแบบว่าใช้เครืองดูดออก เจ็บที่เรียกได้ว่า บล็อคหลังเอาไม่อยู่ถึงความเจ็บ เหมือนตายแล้วเกิดใหม่มาเจอหน้าลูกน้อย ตะวันจะน็อตไปก้อหลายรอบ แต่ทำใจอดทนว่าไงก้อต้องคลอดลูกก่อนน็อต
เรืองพูดภาษาอะไรกับลูกนั้น ตอนนี้ตะวันพูดภาษาไทยกับลูกค่ะ ถ้าพูดกับลูกสองคน แต่ถ้าจะพูดกับลูกเพือให่ครอบครัวหรือพ่อเขาเข้าใจด้วย ตะวันก้อจะพูดสวิสเยอรมันค่ะ ที่พูดไทยเพราะลูกเป็นคนไทยกับได้แม่ เวลาไปไทย เขาต้องพูดได้ค่ะ ตะวันจะพูดไทยตลอด เพราะตะวันเจอเพือนตะวัน เป็นคนแม็กซิโก เขาใช้ 4 ภาษา แต่ภาษาแม่คือสเปน เขาเลือกที่จะสอนลูกเขาเป็นสเปน พูดกับลูกเป็นสเปน กับเด็ก 2 ขวบกว่า เด็กไม่สับสนนะคะ แต่เด็กยังพูดไมได้ แต่ฟังรู้เรืองค่ะในภาษาสเปน
ในความคิดตะวันนั้นคือตะวันจะให้ลูกพูดภาษาไทยให้ได้ เพราะมันสำคัญกับเขาเวลากับไทยแน่ๆ แต่สำหรับภาษาหลักที่นี่ เยอรมัน สวิสเยอรมัน สิ่งแวดล้อมที่นี่สอนเขาอยู่แล้ว พ่อเขา ปู่ย่า โรงเรียนที่นี่สอนเขาไปในตัวอยู่แล้ว เขาพูดได้อยู่แล้วในตัวเขา ตะวันเคยไปสอบถาม 2 เครสมา เรืองเด็กสับสนภาษา ที่ใช้ คือหลานตะวันที่มาจากอเมริกา มาอยู่ไทยอีสานที่อุบล คนแรกเกิดที่อเมริกา คนที่สองเกิดที่ไทย ที่บ้านสอนอังกฤษกับพ่อแม่ ไป รร.พูดไทย เล่นกับเพือนๆ หรือพูดกับญาติ พูดอีสาน เด็ก 5ขวบ กับ3 ขวบ พูดได้ทั้ง อังกฤษ ไทย อีสาน ในคนเดียวกัน ไม่มีคำว่าสับสนเลย เขาจะแยกแยะในตัวเขาเอง หลาน 3 ขวบแม่เขาถามว่า..do you want some eat? เขาตอบว่า No,I'm done.แต่ผู้ใหญ่ข้างบ้านถามว่า บักหล้าหิวข้าวบ่มากินข้าวม๊ะบักหล้า.. เขาตอบว่า บ่.!!บ่อยากกินจ้ะ..นี่เรียกว่าสิ่งแวดล้อมพาไป..
ตอนนี้ตะวันตั้งชื่อลูกสองชือ่ค่ะ คือชือ่เล่นกับชื่อจริง แต่ใช้ในทางการเป็นชื่อที่พ่อเขาตั้งให้ชือ Gino Arpagaus แบบไม่มีชื่อกลางค่ะ ทีแรกพ่อสามีขอให้เอาชื่อคุณตาที่ไทยมาลงเป็นชื่อกลางให้ ชื่อคุณตาเราที่ไทยก้อ ทะแม่งๆ อยู่จะเอามาลงไงหว่า คุณตาชื่อ สิงห์
(Gino Singh Arpagaus) ฮ่าๆๆๆๆ ทะแม่งๆไหม เลยไม่เอาชื่อกลาง ส่วนชื่อเล่น..เป็นบุญ.. ชือ่นี้ฝรั่งเรียกได้นะ แต่เพี้ยนหน่อย
ยังแล้วขอให้รักษาสุขภาพให้แข็งแรงเพือลูกน้อยนะคะ ระยะเวลา 9 เดือน อย่าโกรธ ทำใจให้สบายๆ โกรธก้อขอให้เงียบไว้ ยึดธรรมมะ(หากเป็นพุทธ)เป็นที่พึ่ง เชื่อค่ะว่า ลูกเกิดมาเลี้ยงง่าย เพราะตะวันทำมาแล้ว ตอนท้องตะวันปล่อยวางทุกอย่าง ไม่ยึดติด ไม่โกรธ ทำอารมณ์ให้ดี หลังจากพ้นระยะแพ้ท้องมา ตะวันเป็นคนอารมณ์ดีมากๆ โกรธสามีเดินหนี โกรธแม่ผัวร้องไห้ให้ใจดีขึ้นก้อปล่อยวาง ไม่ยึดมั้นถือมั่น ไม่อยากจะเชื่อเลยค่ะว่า ความเงียบ ความที่เราอารมณ์ดีตอนท้อง ลูกเกิดมาวันแรกชม.แรก ร้องไห้นับเสียงร้องได้หลังจากพ้นช่องคลอดมาได้ 4 แว้ จากนั้นเงียบเลย จนหมอกับพยาบาลเรียกว่า เด็กชายเงียบ ทุกวันนี้เลี้ยงง่าย อารมณ์ลูกดี กินเสร็จนอนตลอด จะเงียบเหมือนแม่ตอนท้อง ทุกวันนี้แม่สามียังพูดค่ะว่า ..ลูกชายเงียบเหมือนแม่จริง..จริงๆตะวันไม่ใช่คนเงียบนะค่ะ มาอยู่ที่นี่ตะวันคิดซะว่า เอาความเงียบสงบเสียงรอบข้างที่น่ารำคราญ ฟังแต่เรืองดีๆ เรืองไหนไม่ดีก้อจะฟังด้วยแต่ฟังซ้ายออกขาวไป ไม่ถือมาติดในใจตัวเอง คนท้องอย่าคิดอะไรให้มาก คิดให้น้อยๆ สร้างสรรค์แต่ประโยคความคิด
อ่านหนังสือแนะนำให้อ่านหนังสือตามวัยลูกนะคะ อ่านทีหล่ะสเตปวัยของลูกไป การเลี้ยงดูลูก อ่านมากเดี๋ยวลืมป่าว ๆ เดี๋ยวอ่านมากคิดมากเรืองลูกเหมือนตะวันนี่ คิดห่วงเขาไปต่างๆ เพราะในหนังสือเขาจะบอกสภาพเด็กปกติรวมไปถึงเด็กที่มีสภาพผิดปกติ ไอ้สมองเราก้อคิดไปแต่เรืองผิดปกติ กลัวว่าลูกจะเป็น ด้วยความห่วงเขามากๆ หาแต่เรืองจะไปหาหมอไปถามหมอ ไปหาหมอทีไรจดใส่กระดาษถึงคำถามที่จะไปถามหมอยาวเฟื้อเลย อิอิอิอิ
โชคดีนะคะ คุณพระคุ้มครอง
สวัสดีค่ะ คุณเทวีและคุณตะวัน
เห็นด้วยอย่างยิ่งค่ะ ที่จะให้ลูกน้อยพูดได้หลายภาษา มันเป็นผลกำไรของลูกครึ่งค่ะ :D เอาไว้อภิมีน้องตัวเล็กๆเองบ้าง คงต้องปรึกษาคุณบ้างแล้ว ชอบอ่านกระทู้ของคุณตะวันและคุณเทวีค่ะ ได้เรียนรู้จากประสบการณ์ผู้อื่นก่อน เวลาเรามีประสบการณ์เองบ้างจะได้เตรียมพร้อม ขอบคุณนะคะ :D
สวัสดีค่ะคุณตะวันและคุณอภิ
ก่อนอื่นขอบคุณมากค่ะที่เข้ามาแบ่งปันประสบการณ์ทั้งตอนตั้งท้องและตอนคลอดรวมถึงเคล็ดลับต่างๆ น่าสนใจมากค่ะ เทวีจะพยายามทำตาม 3วันมานี่อาการแพ้ท้องของเทวีน้อยลงมาก เหลือบ้างก็ตอนเย็นๆ แต่ก่อนนี้จะเหม็นทุกสิ่งทุกอย่าง และที่เป็นเหมือนคุณตะวันนี่คือเหม็นหน้าสามีค่ะ และก็เหม็นสามีด้วย ขนาดอาบน้ำใหม่ๆยังเหม็นเลย ไม่จูบไม่หอมสามีมาจะ3เดือนแล้วค่ะ ปกติเขาจะหอมมากสำหรับเราแต่ช่วงท้องนี่เหม็นค่ะ เขาเองก็เข้าใจ ยิ่งกลิ่นหอมของน้ำมันหอมที่ซื้อมาเองและเลือกมาเองกับมือเพื่อมาใช้ในบ้านนี่เหม็นแบบได้กลิ่นไม่ได้เลยค่ะ จะอาเจียนอย่างเดียวเลย วันนี้สามียังถามว่าเธอดีขึ้นแล้ว เอาเจ้ากลิ่นพวกนี้กลับมาตั้งในบ้านอีกได้ไหม เราบอกว่ายังก่อน ยังไม่แน่ใจ เดี๋ยวมันจะแย่อีก
ส่วนเรื่องภาษานี่ยังไงเทวีก็ไม่เปลี่ยนใจที่จะสอนหลายๆภาษาและพูดพร้อมๆกันหลายๆภาษากับลูกแน่นอน ยิ่งได้รับการยืนยันจากคุณตะวันและคุณอภินี่ยื่งมั่นใจใหญ่เลย ตอนนี้ที่หนักใจคือสามีเทวีค่ะ กลัวเขาจะลืมพูดภาษาเยอรมันกับลูก เพราะที่ตกลงกันไว้คือเขาจะพูดได้เฉพาะสเปนเวลาที่พูดกับลูก2คน และหากเราพูดกันสามคนก็จะใช้ภาษาอังกฤษค่ะ อย่างที่คุณตะวันบอกว่าสิ่งแวดล้อมที่นี่จะทำให้ลูกพูดภาษาเยอรมันและสวิสเยอรมันได้อยู่แล้ว ไม่ต้องกลัว เทวีมีเพื่อนที่ทำงานคนหนึ่ง ตัวเธอเองเป็นคนสโลวากาย ซึ่งมีภาษาเป็นของตัวเอง สามีเธอเป็นคนเยอรมันที่ไปเกิดและโตอยู่ทางรัสเซีย ทั้งคู่ทำงานอินเตอร์เหมือนกันคือพูดได้ทั้งอังกฤษและเยอรมันก็ได้ดีเช่นเดียวกัน เพราะเธอเองไปเรียนปริญญาที่เยอรมัน ตอนนี้ลูกสาวของเธออายุ2ขวบใกล้3ขวบแล้ว ฟังภาษาสโลเวเนียเข้าใจดี แต่ไม่พูด เพราะแม่กับพ่อซึ่งทั้งคู่พูดได้ทั้งรัสเซีย สโลเวเนีย(เพราะเป็นกลุ่มภาษาคล้ายเคียงกัน)กลับพูดแต่ภาษาเยอรมันกับลูก
ต่อค่ะ เทวีถามว่าทำไมไม่พูดหลายๆภาษากับลูกเธอกลับบอกว่าเธอไม่อยากให้ลูกมีปัญหาเวลาที่ลูกเริ่มเข้าเตรียมอนุบาล เทวีเห็นว่านั่นเป็นการคิดที่ไม่ค่อยถูกเท่าไรเพราะแน่นอนว่าเด็กจะมีปัญหาเฉพาะช่วงแรกๆเท่านั้น แต่ด้วยความที่สมองเขายังว่างและพร้อมที่จะเรียนรู้เขาจะเรียนได้เร็วมาก เทวีกลับคิดถึงปัญหาต่อไปว่า อย่างดีลูกของเธอก็ฟังเข้าใจหมดแต่ไม่ยอมพูดภาษาของพ่อกับแม่ น่าเสียดาย เทวีนี่ยังคิดอยู่เลยว่าจะพูดภาษาใต้กับลูกด้วยสลับกับภาษากลาง ภาษาใต้ของเทวีเองก็ไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไร แต่อยากให้ลูกฟังรู้เรื่องด้วย คงต้องรอดู โปรแกรมเต็มสมอง ในหนังสือ รอให้ถึงอนุบาลก็สายเสียแล้วบอกว่า อย่ากลัวว่าเราจะสอนลูกมาเกินไป ให้กลัวว่าเรานั้นสอนลูกน้อยเกินไป แต่ในขณะเดียวกันของการเรียนการสอนต้องไม่ให้ลูกรู้สึกว่าเขาถูกบังคับให้เรียน นั่นคือการเรียนที่สมบูรณ์
สวัสดีค่ะทุก ๆ คน
เรื่องภาษาของลูก โดยเฉพาะลูกครึ่ง หรือครอบครัวที่พูดหลายภาษา เรื่องนี้ไม่ต้องกังวลค่ะ และไม่จำเป็นเร่งสอน เพราะถ้าจะให้พูดภาษาแบบชาวบ้าน เค้าเรียกว่ามันอยู่ในสายเลือดของเด็ก เพราะเด็กเค้าจะรับรู้และจดจำเวลาที่พ่อแม่ หรือคนรอบข้างพูดกันไม่ว่าจะเป็นภาษาใดก็ตามตั้งแต่เป็นทารก แต่บางทฤษฎีเค้าก็ว่าตั้งแต่อยู่ในครรภ์เลยล่ะ เด็กเค้าจะเรียนรู้จากสิ่งแวดล้อมรอบตัวเค้า และเซลล์สมองเค้าก็เจริญเติบโต และแตกแขนงอยู่ตลอดเวลาเมื่อเค้าสนใจในสิ่งต่างๆ ฉะนั้นการที่เด็กได้ยิน ได้ฟัง และรับรู้ภาษาทั้งหลายจะทำให้เซลล์สมองผลิตความสามารถในเรื่องของภาษานั้นขึ้นมาอัตโนมัติ ช่วงทารก-6 ปี ยังไม่จำเป็นต้องเน้นว่า ต้องสอนเรื่องภาษาให้เด็กหรอกค่ะ ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติก่อน ส่วนจะอัดเรื่องภาษาให้ลูกก็ช่วงที่เข้าสู่ไว้เรียนเริ่มหัดอ่านหัดเขียนนะคะ ;D
อย่างที่บ้านโจ้นะ พูดกัน 3 ภาษา คือ ไทย อังกฤษ สวิสเยอรมัน ตอนอยู่เมืองไทย ลูกไม่เคยพูดสวิสเยอรมันกับพ่อแบบเป็นประโยคยาว ๆ เลย พูดเป็นคำ ๆ นอกนั้นพูดไทยหมด คุณพ่อแสนดีก็ดันเข้าใจภาษาไทยของลูก บางทีมีคุยกันเป็นภาษาไทยกันอีกนี่ พ่อลูกจะพูดสวิสเยอรมันตอนนินทาโจ้เท่านั้น..555 โจ้เคยกังวลว่าลูกจะพูดสวิสเยอรมันไม่ได้ แต่คิดผิดถนัดค่ะ เบื้องต้นลูกสามารถเข้าใจทุกภาษาที่พ่อแม่พูดกัน ยกตัวอย่างนะคะ มีอยู่วันนึงพ่อสามีโทรทางไกลมาคุยกับสามีว่าเค้าไม่สบาย ลูกสาวโจ้ได้ยินโดยบังเอิญแล้วเดินไม่บอกยาย (แม่ของโจ้) ว่าพ่อสามีไม่สบาย หรือ โจ้พูดคุยกับสามีเป็นภาษาอังกฤษเกี่ยวกับลูกสาว ลูกสาวได้ยินก็ตอบขึ้นมาเองเลยโดยไม่ต้องให้แม่ถามเป็นภาษาไทย หรือให้พ่อถามเป็นภาษาสวิส แล้วพอพวกเราย้ายมาอยู่สวิส ลูกก็สามารถปรับตัวตามสภาพแวดล้อมพูดสวิสมากกว่าพูดภาษาไทย รวมทั้งเข้าใจภาษาเยอรมันจากโรงเรียนอีก และทุกวันนี้โจ้กับลูกก็ยังคงพูดไทยกันอยู่ค่ะ แนวความคิดโจ้คือ ภาษาอื่นการอ่าน เขียน ภาษาต่างประเทศใช้ตัวอักษรพื้นฐานจากภาษาอังกฤษเกือบทั้งหมด ไม่ยากที่คนต่างชาติต้องการเรียนเพิ่มเติมภาษานั้น ๆ แต่ภาษาไทย คนต่างชาติที่ไม่ใช่คนไทยน้อยคนนักที่จะสามารถเรียนจนบรรลุถึงขั้นอ่าน เขียนเหมือนคนไทยได้ ฉะนั้น ภาษาไทย อย่าให้ลูกลืมค่ะ ;D ข้อดีอีกข้อที่โจ้ใช้อ้างกับลูกให้พูดไทย คือ เวลาเราอยู่ที่สวิสแล้วต้องการพูดความลับกัน เราก็พูดไทยกัน ไม่มีใครเข้าใจ..อิอิ พอเราไปเมืองไทย เราก็พูดเยอรมันกัน ก็ไม่มีใครเข้าใจอีกเหมือนกัน..อิอิ ;D
พูดถึงเรื่องภาษาใต้ อยากจะเล่าให้คุณเทวีฟังค่ะ ตอนอยู่สมุย มีเด็กอยู่คนหนึ่งเป็นลูกครึ่ง แต่ไม่ใช่ลูกครึ่งไทยนะคะ ลูกครึ่งอังกฤษ-เยอรมัน แต่มีพี่เลี้ยงเป็นคนสมุย ซึ่งก็เลี้ยงกันมานาน ตอนนั้นเด็กก็อายุประมาณ 4-5 ขวบได้แล้ว เด็กคนนี้สามารถพูดภาษาใต้โดยที่พ่อแม่ไม่ได้เป็นคนใต้ค่ะ :o
เพิ่งเป็นแม่หมาดๆ2เดือนกับอีก4วันค่ะ ยังไม่คิดไปไกลถึงเรื่องอบรมสั่งสอนลูก เพราะเลี้ยงดูอย่างเดียวก็เดี้ยงแล้ว :'(
นี่ขนาดพ่อกับแม่บินจากไทยมาช่วยเลี้ยงนะเนี่ย ขออวดลูกสาวหน่อยนะคะ ชื่อฝรั่ง Joline (โจลิน)
ชื่อไทย Joline (โจลินี)ค่ะ
ยินดีด้วยค่ะ คุณ rojui รูปลูกสาว น่าเอ็นดูจัง ขอให้สุขภาพแข็งแร็งทั้งคุณแม่ คุณลูกนะคะ ;)
สวัสดีคะคุณโจ้
คุณโจ้เ้ข้าใจถูกต้องทุกอย่างและบวกกับประสบการณ์การมีลูกสาวน่ารักๆแล้วยิ่งทำให้ความเข้าใจของคุณโจ้ถูกต้องหนักเข้าไปอีกค่ะ แต่สิ่งที่เทวีเน้นนั้นมิได้อยู่แค่เพียงความเข้าใจในแต่ละภาษา เพราะว่าเมื่อเด็กอยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมที่หลากหลายไปด้วยภาษานั้น ความเข้าใจของเด็กจะดีแน่นอน เรียกว่าเข้าใจหมดละ ว่าเขาพูดอะไรกัน แต่ถ้าเราไม่ทำให้เป็นกิตจลักษณะว่ากับใครลูกต้องพูดภาษาไทยละก็เมื่อเด็กโตขึ้นเด็กจะรู้ว่ากับแม่ไม่จำเป็นต้องพูดภาษาไทยก็ได้เพราะแม่ก็พูดภาษาเยอรมันได้ ทำให้การตอบคำถามจะเป็นลักษณะว่าเราพูดไทยกับลูกแต่ลูกตอบกลับเป็นภาษาเยอรมัน และวันใดวันหนึ่งสำเนียงความชัดเจนจากการที่เขาไม่ค่อยได้พูดภาษาของเราก็จะน้อยและหายไปในที่สุด คงเหลือแต่ความเข้่าใจไว้ แต่ถ้าเรายังคงยืนยันที่จะพูดเพียงภาษาไทยและทำเป็นไม่เข้าใจว่าเมื่อลูกพูดภาษาอื่นกับเราลูกจะซึมซับว่าภาษานี่สำคัญเราต้องพูดกับแม่เราภาษานี้ และเมื่อหันไปทางพ่อลูกจะเปลี่ยนเป็นภาษาของพ่อทันที การสอนลูกเรียนรู้ภาษาอย่างที่เทวีเคยบอกมิใช่การเน้นย้ำเหมือนในโรงเรียน เพราะมันจะหนักเกินไปสำหรับเด็กเล็กๆเหมือนคุณโจ้ว่า แต่ว่าควรเป็นการเรียนการสอนที่ให้เขาได้ซึมซับและเข้าใจจากการเล่น การอ่านนิทานให้ฟัง การฟังเพลง และการพูดคุยกันมากกว่า อันนี้นานาจิตตังนะคะ ว่าอยากเลี้ยงลูกันแบบไหน แต่สำหรับเทวีคิดเหมือนหนังสือวเล่มหนึ่งที่ว่ารอให้ถึงอนุบาลก็สายเสียแล้ว
สำหรับคุณrojui ขอบคุณมากค่ะที่เอารูปลูกสาวมาอวด น่าตาน่ารักน่าชังมาก เห็นทั้ง2ประเทศชัดเจนมาก ไม่ว่าจะเอเชียหรือยุโรป ขอให้เลี้ยงง่ายๆและเป็นเด็กดี แข็งแรงๆนะคะ ตอนนี้ไม่ต้องคิดมากเรื่องภาษาเพียงแต่ควรจะพูดภาษาที่ต้องการจะให้ลูกพูดได้กับเขาบ่อยๆก็พอค่ะ โชคดีสำหรับคุณแม่และว่าที่คุณแม่ทุกคนค่ะ