สวัสดีค่ะคุณโอเชี่ยน และทุกๆคน
แอบเข้าไปอ่าน ประสบการณ์การเรียน การหางาน และการทำงานของคุณโอเชี่ยนมา แล้วก็เห็นด้วยกับป้าพอลจริงๆว่าราศีคนรวยจับคุณโอเชี่ยนเข้าแล้ว นับถือจริงๆค่ะ ขยัน และมีน้ำอดน้ำทนเป็นเลิศ อันนี้ซิคนไทย อ่านแล้วก็ได้กำลังให้กับตัวเอง และกับคนอื่นๆด้วย
หลังจากที่คนFonและคุณJoJoก็อยากให้คนที่มีประสบการณ์ทำงานมาแบ่งปันประสบการณ์ เทวีเลยมาเปิดหัวข้อใหม่ เพราะหัวข้อของคุณโอเชี่ยนกินเข้าไป2หน้าแล้ว
เทวีอยากเล่าประสบการณ์ในการเรียน หางาน และทำงาน หลังจากอยู่สวิสมา3ปีเต็มๆค่ะ
เทวีเริ่มมาอยู่สวิสเมื่อปลายปี05 พอปี06ต้นปีก็เริ่มไปโรงเรียน เรียนภาษาเยอรมัน ที่โรงเรียน HDS St.Fiden(St.Gallen)เริ่มเรียนคอร์สแรกA1 ใช้เวลาครึ่งปี เห็นจะได เรียนทุกวัน จันทร์-ศุกร์ ค่าเรียนเป็ดเสร็จ ก็2700-2800 ฟรังค์ ไปโรงเรียน วันแรกแล้วกลับบ้านมาก็พูดภาษาเยอรมันกับแฟนทันที พูดมันทั้งๆที่พูดไม่ได้นั่นแหละค่ะ แต่รู้สึกอยากพูดอยากเรียนและพูดเป็นเร็วๆ หลังจากนั้นไม่นาน เทวีก็มาโพส์ในเวปป้าพอลเรื่องหางานทำ ด้วยความร้อนวิชาว่าข้าก็พอจะพูดเยอรมันได้บ้างแล้ว (ทั้งๆที่คอร์สแรกยังไม่จบเลย)จากเวปป้าพอลก็ทำให้เทวีตาสว่างจากหลายความเห็นของคนอยู่ก่อนว่าเราควรเรียนภาษาเยอรมันให้ดีให้เก่งก่อน
หลังจากจบคอร์สแรก ก็ต้องหยุดเรียน(ที่โรงเรียน)ไว้ช่วงหนึ่งเพราะได้รับคำแนะนำจากเพื่อนของสามีว่าทำไมไม่ไปที่ ราฟ RAV ที่ที่ช่วยคนไม่มีงานทำ พอรู้ว่าจะไม่ได้เรียนที่โรงเรียนเดิมต่อ ก็ร้องไห้เลย เพราะอยากเรียนต่อ แต่ก็สงสารสามีว่าค่าเทอมแพง ลองดูที่ราฟว่าเขาจะช่วยอะไรบ้าง ปรากฏว่าเขาช่วยจ่ายค่าโรงเรียนให้ แต่โรงเรียนที่เขาจ่ายให้คือมิโกร ไอ้เราเองได้ยินสรรพคุณของมิโกรมาก็ไม่น้อย แต่ใจก็คิดว่า ของอย่างนี้อยู่ที่ตัวนักเรียน หากเราตั้งใจเรียนซะอย่างมันต้องได้ซิน่า ช่วงก่อนจะเริ่มเรียนที่มิโกรเทวีเรียนเอง A2 จบอีกหนึ่งคอร์ส ซึ่งเป็นคอร์สที่อ่านและทำแบบฝึกหัด และถามสามีเยอะมาก เรียนได้เยอะแต่ก็นั่นละ เรียนเอง เข้าใจเอง และไม่เข้าใจเอง เทวีเลยเก็บคำถามที่มีอยู่ทั้งหมดกะว่าจะไปถามครูที่มิโกร
วันแรกที่มิโกร เขาให้สอบว่าเราจะเข้าเรียนคอร์สไหนได้ ก็ปรากฏว่าเทวีได้เรียนคอร์สสุดท้ายที่มีคือ ข้ามไป เบ1 เลย และก็ได้รับรู้ว่า นรกๆมีอยู่ทุกที่ที่มียูโกสลาเวีย ขอบอกว่าทั้งคลาสที่ไปเรียนไม่มีสักคนที่อยู่ที่สวิสต่ำกว่า5ปี และทุกคนล้วนรู้มากแต่ไม่มีงานทำทั้งสิ้น ขอย้ำว่าคอร์สเรียนนี้ กรมจัดหางานเป็นคนจ่ายค่าเรียน ดังนั้นคนที่ไม่มีงานทำ ที่เป็นคนต่างชาติต้องมาเรียน เพื่อที่จะได้รับเงินทดแทนบางอย่าง กรณีเทวีนี่ไม่ได้รับเงินทดแทนใดๆทั้งสิ้นเพราะยังไม่เคยทำงานที่สวิสเลย ได้ก็แต่เรียนฟรี
เรียนได้เดือนกว่าๆเกือบ2เดือน รู้เลยว่าทำไมคนดีๆที่อยากเรียนจึงไม่มาขอความช่วยเหลือจาก ราฟ ก็เพราะมันเสียเวลากับคนพวกนี้นั่นเอง
คนพวกนี้บอกแต่ว่าโอ๊ยฉันพูดได้แล้วภาษาเยอรมัน ฉันอยู่ที่นี่มา10ปีแล้ว แต่เวลาให้อ่านหรือพูดโฮ๊คด๊อย ตายกันเป็นแทบๆ
กลับบ้านเล่าให้สามีฟัง บอกว่าฉันไม่ได้คืบหน้าไปไหนเลยที่มิโกร กลับกลายเป็นว่าต้องมาเรียนเองที่บ้านหนักกว่าเดิมอีก เพราะที่โรงเรียนแทบจะไม่ได้เรียนอะไรเลย กว่าจะจบคอร์ส รู้สึกเวลาช่างเนิ่นนาน บอกสามีว่าไม่เรียนแล้วที่มิโกร สามีเห็นด้วย หาโรงเรียนใหม่ เอาให้ไฉไลกว่าเดิม ตังค์ก็ไม่มีเพราะสามีทำงานคนเดียว สามีเห็นภรรยาอยากเรียนลงทุนขายรถสปอร๋ตที่มีแล้วซื้อรถเก่า10กว่าปีขับเพราะอยากให้ภรรยาได้เรียน แหม มันจำขึ้นใจ คิดอย่างเดียวว่าต้องเรียนให้ดีมิใช่แค่เรียนให้ได้อย่างเดียว ตั้งใจเรียนสุดๆ ค่าเทอม 10อาทิตย์3200ฟรังค์ แพงมากๆ แต่เอาวะ ก็เลยมาเรียนที่เบเนดิค แล้วก็ได้เห็นถึงความแตกต่างระหว่าง3โรงเรียนอย่างชัดเจน จากนักเรียนที่เบเนดิคนี่เอง นักเรียนที่นี่เรียนแค่คอร์สแรกพูดได้ดีมากๆหากเทียบกับเทวี ที่คิดว่าตัวเองดีแล้ว แต่เปล่าเลย
มาเขียนต่อนะ รออ่านอยู่จ๊ะน้องเทวี แต่วันนี้ขอตัวไปนอนก่อนนะ พรุ่งนี้ต้องช่วยสามีขับรถ แล้วพี่จะคอยติดตามเรื่องของเทวีนะ
มาต่อค่ะ เขียนเยอะมากเพราะมันเป็นประสบการณ์ กว่าจะก้าวถึงขั้นนี้มันใช้ทั้งแรงกาย แรงใจ และแรงเงินมหาสาร (จะมีคนมาอ่านไหมน๊อเขียนซะยาวยืน)
ต่อค่ะเทวีไม่ได้สักครึ่งของนักเรียนที่เบเนดิกเลย ก็เลยเลือกที่จะเรียนต่อที่เบเนดิด และก็เรียนไป2คอร์ส เบ2และเซ1 หากนับจริงแล้วเทวีเรียนที่โรงเรียนเพียง3คอร์สเท่านั้น ที่เหลือความพยายามล้วนๆที่จะก้าวให้ทันนักเรียนในชั้นคนอื่น และก็ทำได้ ตอนจบคอร์ส เซ2 ก็ได้เกรด6มาให้สามีชื่นใจ (เกรด6นี่คือเกรดสูงสุด)อ้อลืมบอก ตอนเรียนจบเบ2นั้นก็ไปสมัครงานที่บริท(ที่ทำอยู่ทุกวันนี้นะคะ) แต่ก็ไปสมัครครั้งแรกได้กินแห้วไป3กิโล จุกเลย จริงๆแล้วก่อนหน้านั้นก็สมัครงานไปเรื่อยๆ งานทุกอย่างสมัครหมด ทำความสะอาด ก็สมัครเขายังไม่รับเลยค่ะ พอมาเจองานที่ทำอยู่ทุกวันนี้(โดยการที่เพื่อนของแฟนเห็นการรับสมัครในอินเตอร์เน็ตแล้วก็คิดถึงเราว่าคุณสมบัติเรามันตรง) เทวีก็มานั่งอ่านข้อความที่เขารับสมัคร อ่านอยู่2ชั่วโมง เข้าใจอยู่ไม่กี่คำ แฟนก็ตัดกำลังใจทางตรงแต่ให้แรงบันดาลใจว่า นี่เธอจะบ้าเหรอ จะไปสมัครงานยังไม่รู้เลยว่าเขารับสมัครอะไรยังไง เข้าใจเพียงแค่ว่าเขารับคนที่พูดภาษาไทยเป็นภาษาแม่ และพูดและเขียนภาษาอังกฤษและภาษาเยอรมันได้ดี เท่านั้นละที่เข้าใจ ก็บอกแฟนว่าคอยดูนะ ถ้าเขารับคนไทย คนไทยคนนั้นต้องเป็นฉัน
เอ้าลองดูไม่เสียหาย หลังจากส่งประวัติไปให้เขา เขาก็เรียกไปสัมภาษณ์ทันที ดีใจมากๆ แต่อีก1อาทิตย์ก็กินแห้วอย่างที่บอก
หลังจากนั้นก็มีแบ่งปันประสบการ์ณนี้ในเวปป้าพอลอีกตามเคย ก็ได้รู้จากหลายๆคนไทยในเวปป้าพอลว่าตำแหน่งนี้เขาหามานาแล้ว แต่ก็ยังไม่มีใครได้ไป เทวีเลยกะว่า ถ้าหามานานแล้วยังไม่ได้เทวีต้องลองใหม่ แต่ก่อนลองก็ไปเรียนภาษาเยอรมันอีก1คอร์ส คือคอร์สสุดท้ายที่เบเนดิค ใช้เวลาอีก10อาทิตย์ ก็กลับไปสมัครใหม่อีก ไปสัมภาษณ์มาก3รอบ เขาตอบตกลง(คงเพราะหามานานแล้วจริง) และคราวนี้เทวีก็มีความมั่นใจมากขึ้นในการสอบสัมภาษณ์ ตอนแรกก็ปรึกษากับแฟนว่าจะขอเงินเดือนเท่าไหรดีสำหรับการสัมภาษณ์ครั้งนี้ แฟนบอกเท่าไรก็เอาให้เขารับเถอะ เทวีมาคิดดูแล้วก็โทรปรึกษาแม่ที่เมืองไทย แม่เราขี้งกบอกขอเยอะๆให้เขาดูว่าเราเก่ง เทวีเรียกมากกว่าที่แฟนแนะนำ1000ฟรังค์ ปรากฏว่าเขารับเพราะเราดูแล้วมั่นใจกว่าครั้งแรกเยอะมาก กลับบ้านเล่าให้แฟนฟัง แฟนบอก เธอสุดยอด ตอนเขาเริ่มทำงานครั้งแรกเขาได้เงินเดือนน้อยก่ว่าเรา1000ฟรังค์ นั่นคือเหตุผลที่เขาไม่อยากให้เรียกเงินเดือนเยอะ เขากลัวไม่ได้งานทำ บวกกับเราเป็นชาวต่างชาติและไม่ได้จบการศึกษาที่สวิส แฟนบอกว่านี่มันเป็นพราะเธอพยายามให้เขาเห็น คนอื่นจะบอกว่าเทวีโชคดีที่ได้งานนี้ แต่แฟนเทวีและคนสนิทจริงที่เห็นว่าเวลาเรียน เทวีเรียนยังไง เขาจะบอกว่า Du hast diesen Job wirlich verdient. ถึงวันนี้ครบ1ปีแล้วที่ทำงานที่บริษัทนี้ เดือนนี้พิ่งจะได้โบนัสไปเป็นเงินเดือนอีกหนึ่งเดือน (อันนี้ไม่เกี่ยวกับเงินเดือนเดือนที่13นะคะ) เป็นเหมือนเงินเดือนๆที่14 หากยังไม่เบื่อที่จะอ่านต่อ พรุ่งนี้เทวีจะมาเล่าประสบการ์ของงานที่ทำแต่ละวันว่าทำอะไรกันบ้างที่ออฟฟิศ รับรองว่าน่าสนใจ เพราะทั้งบริษัทมีคนสวิสเพียงคนเดียวที่เหลือเป็นอินเตอร์เนชั่นแนลหมดเลย มีหลายภาษาหลายวัฒนธรรมมากๆที่ออฟฟืศ
;D ชอบ ๆ รออ่านต่อ ;D เขียนเป็นพ๊อกเก็ตบุ๊คเลยได้มั๊ยอ่ะ ;D
อ่านแล้วช่วยสร้างพลัง และแรงผลักดันให้กับตัวเองมากเลย ว่าคนอื่นเค้าทำได้ เราก็ต้องทำได้ซิ มีหนึ่งสมอง สองมือ เหมือนกัน
ถ้าบวกกับความขยัน ตั้งใจและพยายาม ;)
เขียนต่อให้จบนะเทวี พี่รออ่านอยู่ จะได้เก็บเป็นแนวทางในการหางาน
ขอบใจมากนะสำหรับข้อมูลดี ๆ
สวัสดีค่ะคุณโจ้และพี่แพน(นิด) และทุกๆคน ก่อนอื่นขอโทษพี่แพนก่อนนะคะ ที่เข้ามาคุยในเอ็มเอสเอ็นแล้วเทวีไม่ได้ตอบ เพราะว่าเทวีไม่ได้อยู่บ้านค่ะ
เอาละมาต่อเรื่องงานกันนะ หลังจากที่ไปสัมภาษณ์มา3รอบ ก็ได้งานมาทำดังใจปรารถนา ช่วง3เดือนแรกยอมรับว่ากลับมานอนกัดฟันทุกคืนเพราะว่ามันเครียดมากๆจริงๆ เพราะเทวีเริ่มจากติดลบมิใช่เริ่มจากศูนย์กล่าวคือไม่รู้เรื่องอะไรเลยเกี่ยวกับงาน งานที่ทำเป็นงานสำนักงานครอบจักรวาล เพราะพนักงานแต่ละคนจะดูแลแต่ละประเทศแตกต่างกันไป คนละ6-8ประเทศ ประเทศที่เทวีต้องรับผิดชอบจะเป็นประเทศแทบเอเชียทั้งสิ้น เพราะเทวีเป็นคนไทย ประเทศที่เทวีดูแลก็มี ประเทศไทย(นั่นคือเหตุผลที่เขารับคนไทย เป็นหลักสำหรับงานนี้) เหตุผลง่ายๆคือ คนไทยเราเองส่วนน้อยที่จะพูดภาษาอังกฤษ การติดต่องานต่างๆจึงจำเป็นต้องใช้ภาษาไทยเป็นหลัก แต่เอกสารทุกอย่างจะเขียนเป็นภาษาอังกษและเยอรมันทั้งสิ้น ประเทศต่อไปคือ ประเทศฟิลิปปิน เวียดนาม อินเดีย ปากีสถาน ศรีลังกา(เป็นปะระเทศแขกซะเป็นส่วนใหญ่) ปัญหาแรก ในช่วงแรกๆคือเรื่องภาษา เพราะประเทศที่เทวีดูแลนี้ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ ดังนั้นสำเนียงในการพูดจะแตกต่างกันไป อินเดียเป็นประเทศที่ภาษาอังกฤษฟังยากมากๆ และเป็นประเทศที่สับสนวุ่นวาย ไม่มีระบบระเบียบในการทำงานเลย
บริษัททีเทวีทำชื่อ Rationalใครสนใจลองเข้าไปดูที่เวปไซค์ www.rational-online.com บริษัทนี้เป็นบริษัทใหญ่อันดับหนึ่งอของเยอรมันที่จำหน่าย เครื่อง combi-steamer หรือเรียกว่าเตาอบพลังไอน้ำและความร้อน สำหรับอุตสาหกรรมอาหาร หรือจำหน่ายให้ร้านอาหาร ใหญ่ๆ โรงแรมใหญ่ๆ (เพราะราคาเครื่องค่อนข้างสูง) บริษัทนี้เป็นบริษัทที่ทำธุริจทั่วโลกจริงๆ มีหลายภาษามากๆ บริษัทแม่อยู่เยอรมันนี แต่สำนักงานที่เทวีทำอยู่ที่ Heer Brugg โดยเราเป็นบริษัทลูกที่บริการให้กับประเทศที่เรายังไม่มีสำนักงานในประเทศนั้นๆ เช่นประเทศไทยยังไม่มี เราเลยใช้ที่ แฮร์บรุ๊คเป็นสำนักงาน
ที่บริษัทเทวีจะมีหลายภาษามากๆ พนักงงานส่วนใหญ่จะพูดได้อย่างน้อย3ภาษา 2ภาษาที่บังคับพูดคือภาษาเยอรมัน และภาษาอังกฤษเพราะเราเป็นอินเตอร์แนชั่นแนล งานที่ทำก็จะเป็นตั้งแต่รับออร์เดอร์จากต่างประเทศทางอีเมลล์ แล้วก็พิมพ์ใส่ในระบบของบิษัท แต่นั่นละกว่า1ออร์เดอร์จะจบมันมีแปดล้านกว่าขั้นตอน เริ่มตั่งแต่ ดูรายละเอียดว่าสั่งอะไร แบบไหน จ่ายเงินยังไง แล้วจะผลิตเครืองเมื่อไร แล้วจะส่งยังไง ทุกอย่างล้วนต้องติดต่อและติดต่อ และติดต่อกับหลายๆฝ่ายๆ หลายๆภาษา
ยกตัวอย่างว่าได้รับออร์เดอร์จากเมืองไทย จะได้รับเป็นภาษาอังกฤษจากอีเมล์ ซึ่งส่วนใหญ่ข้อมูลจะไม่ครบ ลูกค้าบางคนสั่งมาแบบไม่บอกว่าจะจ่ายเงินยังไง จ่ายเป็นเครดิต เงินส่วนล่วงหน้า Letter of credit โอ๊ยวุ่นวาย แล้วพอสั่งแล้วก็จะเร่งๆเอา แต่ว่าข้อมูลก็ให้ไม่ครบ นี่คือลูกค้าส่วนใหญ่ เมืองไทยไม่ค่อยมีปัญหา แต่อินเดียโอ๊ย เทวีจะนั่งบ่นกับคอมพิวเตอร์หรือคุยกับคอมพิวเตอร์ประจำ รายละเอียดงานมันเยอะมาก เล่าไปคงจะน่าเบื่อ
เอาเป็นว่าพอติดต่อกับเมืองไทยก็คุยภาษาไทย แล้วมาเขียนภาษาอังกฤษและภาษาเยอรมันส่งให้กับทางเยอรมันเป็นคนผลิตและส่งออก
เรื่องของส่งออกเองก็มีปัญหาล้านห้า ไหนจะค่าส่งออก ค่าภาษีส่งออก นำเข้า เอกสารที่ไม่เคยเห็นมาก่อน และมาเห็นเป็นภาษาอังกฤษและภาษาเยอรมันเลย ก็คิดเอาแล้วกันว่ามันจะเครียดขนาดไหน สำหรับช่วงแรกๆ
เทวีเลยได้เป็นกรณีพิเศษที่ตอนเริ่มงานนั้นเทวีมีเวลาทดลองงาน1ปี เพราะเจ้านายเห็นว่าเทวีนี่เริ่มจากไม่รุ้เรื่องเลย หากเป็นระยะเวลาทดลองงานจริงๆแค่3เดือนเทวีคงโดนไล่ออกไปนานแล้ว เพราะไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นเจ้านายจึงให้เวลา1ปี และตอนนี้ก็ผ่านมาแล้ว1ปี เทวีก็ผ่านการทำงานตรงนั้นแล้ว ทุกวันนีก็ยังสนุกกับงาน งานที่ทำไม่ต้องตอกบัตร เข้างานได้ตั้งแต่7โมงจนถึง8.30 ทำงาน40ชม.ต่อสัปดาห์ ซึ่งถือว่าเวลาการทำงานน้อยกว่าคนสวิสทั่วๆไป เพราะบริษัทแม่เป็นเยอรมัน คนที่เยอรมันทำงานน้อยกว่าคนสวิสอีก แค่38ชม.เอง นั่นคือวันศุกร์หลังเที่ยงก็เลิกงานแล้ว เทวีเองเลยได้รับผลบุญไปด้วย โดยทำแค่ถึงบ่าย2โมงเท่านั้นและเวลทำงานนั้นพนักงานจะเป็นคนดูแลเวลาการทำงานของตัวเอง เทวีดูประเทศฝั่งเอเชีย เรื่องการติดต่องานมันก็ต้องดูเวลาด้วยเพราะเวลาที่นี่และเอเชียแตกต่างกัน ดันั้นเทวีจะมีเวลาติดต่อและคุยโทรศัพท์แค่ช่วงเช้าเท่านั้น ช่วงบ่ายก็จะมีเวลาเงียบๆ นั่นคือไม่ได้รับการติดต่อจากเอเชีย แต่จะมีเวลาเครียงานกับทางเยอรมัน นี่คือความลงตัวองงานส่วนเงินเดือนก็ธรรมดา13เดือน(สามีบอกว่าบริษัทนี้จ่ายเงินเดือนดีมากๆ เทวีเองก็ว่าอย่างนั้นละ แต่พนักงานที่เคยที่ทำนี่กลับไม่พอใจเรื่องเงินเดือแล้วไปหางานใหม่ทำ และส่วนใหญเขาก็ได้เงินเดือนมากว่าอีก นั้นหมายความว่างานที่ทำนี่มันเป็นงานที่พอเรามีประสบการณ์แล้วก็จะมีโอกาสในการงานงานอื่นที่ดีกว่าได้อีก สู้ๆ นอกจากนั้นก็ยังมีมีโบนัสก็เหมือน14เดือน (บุญหล่นทับแท้ที่ได้ทำงานที่นี่)สรุปว่างานที่ทำก็หลังจากรู้เรื่องแล้วก็เป็นงานออฟฟิศที่มีเรื่องของภาษาเพิ่มเข้ามานั้นเอง
บางทีรับโทรศัพท์นะสับสนมากไม่รู้จะพูดภาษาไหนดี ส่วนใหญ่ก็จะปนเปทั้งอังกฤษเยอรมันไทย บางครั้งคุยกับลูกค้าซึ่งต้องใช้ภาษาอังกฤษแต่เรากลับไปพูดภาษาเยอรมัน ลูกค้าก็งง มันพูดอะไรวะ ไอ้เราก็ว่ายาวเลย แต่ลูกค้าไม่เข้าใจ
ตอนนี้เทวีเองกำลังเรียนภาษาสเปนด้วย เพราะสเปนเป็นภาษาที่กว้างขวางมาก เรียกว่าเป็นภาษาที่2ของโลก และคนที่บริษัทที่ดูแลประเทศที่ต้องใช้ภาษาสเปนก็น้อยคน เทวีก็เลยได้ช่วยพูดภาษาสเปนบ้าง ตอนนี้ก็เรียนไปเรื่อยๆ เรียนด้วยตัวเอง หวังว่าวันหนึ่งคงจะได้พูดภาษาสเปนด้วย
สวัสดีค่ะ คุณเทวี
ได้เข้ามาอ่านเรื่องราวที่แสนยาวๆๆ ของคุณแล้ว สนุกและน่าติดตาม ยอมรับในความพยายามและตั้งใจจริงของคุณ คุณเก่งจังค่ะ สำหรับชีวิตที่เมืองนอก อ่านแล้วดูยากลำบาก แต่ก็ต้องพยายามถ้าเราเลือกทางเดินทางนี้แล้ว ใช่ไหมคะ Nan จะขอวีซ่าไปเยี่ยมแฟน พค.นี้คะ มันเป็น step แรก
หลังจากนั้น ถ้าแต่งงาน ไปอยู่ที่โน่น และต้องเรียนภาษาและหางานทำ คงต้องเอาเรื่องชีวิตของคุณมาเป็นประสบการณ์สอนตัวเอง โชคดีนะคะ
Nan
สวัสดีค่ะทุกคน
ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เล่าเรื่องราวแล้วเป็นการสร้างกำลังใจให้กับหลายๆคน
อย่างที่คุณแนนบอก ค่ะว่าเลือกมาอยู่ที่นี่แล้วมันก็ต้องสู้ๆกันเต็มที่
ยังไงก็พยายามกันต่อไปนะคะ ฝันมันคงไม่ไกลเกินไป
หวัดดีค่ะทุก ๆ คน
คุณเทวี จบแล้วเหรอ มีต่ออีกมั๊ย :o :o
ขอถามหน่อยซิ บรรยากาศในการทำงานภายในองค์กรของสวิส กะของไทย ความรู้สึกมันแตกต่างกันมั๊ยอ่ะ ::)
สวัสดีค่ะคุณโจ้
จริงก็ไม่รู้จะเล่าอะไรต่อ เพราะว่าการทำงานแต่ละวันมันช่างแตกต่างกันออกไป(เพราะอารมณ์ของลูกค้า) บางทีก็ขำกับคอมพิวเตอร์หลังจากได้อ่านอีเมลล์ของลูกค้าถึงคำถามที่ไม่น่าจะถามมาได้ เราอ่านแล้วก็สบถออกมาบ่อยมากๆ ทั้ง3ภาษาที่สบถออกมา แต่แล้วก็ต้องยกหูโทรศัพท์หรือไม่ก็เขียนอีเมลล์บอกลูกค้า ว่า แหมเป็นคำถามที่ดีมากเลย (แม้ว่าก่อนหน้านี้เราจะตอบเขามาแล้วแปดแสนกว่าครั้ง)แต่ลูกค้าก็ยังวนเวียนถามเหมือนเดิม บางทีรู้สึกว่า แหมคนพวกนี้ไม่น่าจะมาทำธุรกิจเลย ทำเหมือนเราขายปลาที่ตลาดสด มันต่อแล้วต่ออีก ยิ่งพวกแขกนี่มีแต่ปัญหา มันถาม..ถาม..ถาม แล้วก็ขอรายละเอียดนั้น นี่โน่น แต่ก็ไม่เคยจะืซื้อ น่าแปลกที่บริษัท ที่ไม่มีกำลังในการซื้อจะเรื่องมากเสมอ ผิดกับฟบริษัทที่มีกำลังซื้อมาก เขาไม่ค่อยถามหรอกค่ะ เขาซื้อโลด ไม่มีวุ่นวายสั่่งๆ มา จ่ายเงิน จบ แต่พวกบริษัท ที่ไม่ค่อยจะซื้อนะคะมันเรื่องมาสุดๆ
ส่วนบรรยากาศในการทำงานระหว่างเมืองไทยกับเมืองนอกต่างกันราวฟ้ากับดิน อันนี้ไม่รู้ที่ไหนดิน ที่ไหนฟ้านะคะ
แต่ที่รู้สึกได้คือทำงานที่นี่เหนื่อยและเครียดกว่าที่เมืองไทยล้านเท่า ทั้งๆที่ที่เมืองไทยทำงาน6วันต่อสัปดาห์แต่ที่นี่ทำแค่4วันครึ่ง ยังรู้สึกว่าที่เืมืองไทยงานไม่เหนื่อยและไม่หนัก เหมือนที่นี่ แม้ว่าเขาจะไม่ได้ให้ไปแปกปูนก็ตาม แต่ว่าทั้งวันนั่งหน้าคอมพิวเตอร์ และดูกันแต่คอมพิวเตอร์ มันเหนื่อยสายตามาก เทวีจาำกไม่เคยใส่แว่นก็ต้องมาใส่แว่น ก็ตอนทำงานที่นี่ละคะ แล้วรายละเอียดงานมันเยอะมากแบบว่าเรียนกันมา1ปีแล้วก็ยังมีประสบการณ์ใหม่มาให้เรียนเสมอ ทำงานที่นี่ต้องรู้ทันลูกค้ามากๆ แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้เขารู้สึกว่าเขาสำคัญกับเรา เทวีคิดว่าหลายๆประเทศจะมองว่าคนฝรั่งเป็นพวกตรงไปตรงมา และซื่อสัตย์ และเขาจะมองไปเห็นข้อด้อยในส่วนของคนฝรั่งว่ารู้ไม่ทันประเทศแบบเราๆ นี่น่าจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่บริษัทของเทวีจ้างพนักงานจากประเทศนั้นๆมารับมือกับพวกหัวหมอที่มีร้อยแปดล้านเล่มเกวียน
จากการทำงานและระบบงานที่เมืองไทยคือ เงินถึงงานเดินที่นี่ลืมไปได้เลย เพราะมันไม่มีอย่างที่คุณๆรู้กัน หลายครั้งที่บริษัทยอมจ่ายเงินจำนวนมากๆเพื่อให้ระบบงานสะอาดและถูกต้องโดยไม่ทำตามคำแนะนำของลูกค้าจากประเทศ(โลกที่3) แนะนำว่าอันนี้ทำได้โดยแก้อันนั้นนิด อันนี้หน่อย เราก็ประหยัดไปเยอะ บริษัทเทวีบอก เข้าใจค่ะ แต่เราไม่ทำ เรายินดีจ่าย เพื่อให้งานใสสะอาด พวกลูกค้าก็ว่าเราโง่ แต่มันไม่ใช่เลย
ส่วนบรรยายในการทำงานที่นี่คือเพื่อนร่วมงาน น้อยครั้งมากที่จะบอกว่านี่คือเจ้านายของฉัน เจ้านายก็น่ารักมากไม่บ้าอำนาจ เวลาอยากให้เราทำอะไรให้ก็พูดจาดี๊ดี เหมือนว่าเขาไม่ใช่เจ้านาย แต่บางครั้งการทำงานมันก็มีอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง แต่พอเสร็จงานหากเขารู้สึกว่าเขาพูดจาไม่ดีกับเราเขาจะรีบขอโทษทันที และเขาจะบอกเลยว่าให้แย้งหรือห้ามได้ทันทีหากรู้สึกว่าเขาทำไม่ถูกต้อง เพราะเราคือเพื่อนร่วมงานกัน แม้กระทั่งเจ้านายใหญ่ๆก็ทำและพูดเช่นนั้น นี่คือข้อแตกต่างระหว่างคนไทยและฝรั่ง งานมีปัญหาคุยกันค่ะ จะด่ากันก็ด่ากัน จะแย้งก็แย้งแ้ล้วก็จบ
บรรยากาสในการทำงานดีมากๆ แล้วที่นี่ดีอีกอย่างคือเราทำงานกับหลายชาติหลายภาษาและหลายวัฒนธรรม เราจะคุยและถามกันเสมอ กรณีมีกรณีแปลกๆว่าอันนี้เป็นอย่างนี้เพราะวัฒนธรรมของประเทศนี้เป็นอย่างนี้หรือเปล่าทำไมเขาจึงทำอย่างนี้ แล้วเธอคิดว่ายังไง ทำอย่างนี้จะดีกับประเทศนี้ แต่บางทีอาจไม่ดีกับอีกประเทศก็ได้ ก็ทำให้งานสนุกดี
ยังมีดีอีกอย่างคือที่นี่เราจะปรุงอาหารและรับประทานอาหารด้วยกันบ่อยมากด้วยเครื่องที่เราจำหน่าย และแน่นอนว่าอาหารก็อินเตอร์เนชั่นแนล โอ๊ยเทวีได้กินอาหารดีๆโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายบ่อยมากๆ
แหมรักบริษัทจังเลย
มีอะไรอยากถามเชิญนะคะ ยินดีค่ะ ;D
อยากถามเรื่องการทำงานกับคนต่างชาติว่ามีความแตกต่างอย่างไรบ้าง
พี่เคยทำงานกับเจ้านายคนอังกฤษ แต่เขามีภรรยาไทย และก็ทำในเมืองไทย ก็เลยยังมีระบบแบบไทย ๆ ปนอยู่
ตอบด้วยนะจ๊ะน้องสาว
วันศุกร์ไปทำงานที่ร้านพี่อ้อยใจไหม ถ้าไป พี่จะไปหาเทวี :-* :-*
เข้ามาอ่านแล้วเพลินดีจังเลยจ้ะเชื่อในฝีมือเทวีจริงๆ ไว้ตอนไปอยู่ที่โน่นและได้เริ่มหางานแล้วพี่คงต้องขอคำปรึกษาจากเทวีบ่อยๆเลยล่ะจ้ะ ขอบคุณที่เอาประสบการณ์ดีๆมาแบ่งปันกันนะจ๊ะ
สวัสดีค่ะพี่นิดและคุณฝน
ก่อนอื่นขอตอบพี่นิดก่อนนะคะ ว่าไม่ได้ไปทำงานที่ร้านพี่อ้อยแล้ว ไม่ไหวอะ เล่าไปก็เหมือนว่าเราดูถูกงาน แต่เทวีไม่เหมาะกับงานแบบนี้จริงๆ ไปได้2วัน ก็บอกเลิกพี่อ้อยไปค่ะ พ่อเทวีก็ห้ามไม่ให้ไปทำ สามีก็บอกว่าดีแล้วอย่าไปเลย ไมุ่คุ้ม ประสบการณ์ที่อยากลองดูว่าทำงานในบาร์นั้นเป็นยังไงก็ได้เห็นจากการทำงาน2วันนั้น รู้เลยว่าเราไม่เหมาะกับงานที่รบาร์ไทย อันนี้ไม่อยากเล่าเพราะว่าเหมือนดูถูกกันเอง พอดีกว่า เอาไว้เราค่อยเจอกันที่อื่นดีกว่า แล้วค่อยนัดกันนะคะพี่นิด
ส่วนเรื่องระบบงานก็อย่างที่บอกว่ามันต่างกันมากๆ ระหว่างทำงานกับฝรั่งที่เมืองไทยกับฝรั่งที่เมืองนอก เทวีคิดว่าส่วนหนึ่งที่เราก้าวเข้ามาถึงจุดนี้ได้ก็ทำให้ฝรั่งนับถือแล้ว และเมื่อเขานับถือโดยที่เราก็แสดงความสามารถให้เขาเห็น เขาก็จะรู้สึกดีๆกับเรา เพราะความยากระหว่างเขากับเรามันไม่เหมือนกัน เหมือนว่างานชิ้นเดียวกัน ถ้ามีเรื่องของภาษาเข้ามาเกี่ยวข้องยังไงๆเราก็เข้าใจสู้เจ้าของภาษาไม่ได้แน่นอน แต่ถามว่าเข้าใจไหม จาก 100ก็เข้าใจสัก95 อันนี้ถือว่าเจ๋งแล้ว เทวีเองเคยทำงานที่เมืองไทยกับเจ้านายชาวอเมริกา ก็อย่างที่พี่นิดบอก บางทีระบบมันก็ยังเป็นไทยอยู่และการดูถูกหรือเรียกว่าเลือกได้ ที่เมืองไทยนั้นเยอะกว่าที่นี่ เทวีว่าระบบบ้าอำนาจมีมากกว่าที่นี่เยอะ
สำหรับพี่ฝนก็อย่าลืมบอกมานะคะว่าจะมาซังกาแลนด์เมื่อไร จะได้นัดเจอทั้งพี่นิดและพี่ฝนเลย
เรานัดเจอกันที่ไหนก็ได้ สามีพี่เขาอยากไปกินอาหารไทย นาน ๆ ทีได้กินข้าวนอกบ้านก็ดี เพราะปกติจะไม่กินข้าวที่ร้านอาหาร ที่ Metzergasse ก็ดีนะ เคยไปทานอร่อยดี เป็นร้านอาหารไทย แต่เจ้าของเป็นคนเวียดนาม ทำอาหารได้รสชาติคนไทยดี อีกร้านก็ที่ไฮเด้น แต่อาจจะไกลไปสำหรับน้อง แต่ใกล้สำหรับพี่ สามีบอกห้ามเป็นร้านอาหารที่ดูโลโซมาก และห้ามแพงเกิน (โฮ่โฮ่ สามีฉันอยากจะไฮโซขึ้นมาซะงั้น) ถ้าเห็นด้วยก็บอกพี่แล้วเราค่อยนัดกันว่าวันไหน
มีเรื่องอยากเล่าให้ฟังเยอะ
หวัดดีจ้ะเทวี เดี๋ยวตอนพี่จะไปแล้วจะบอกอีกทีนะจ๊ะ คิดว่าคงประมาณ พ.ค.-มิ.ย. จ้ะถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดเรื่องผลสอบ ;D ไว้เจอกันจ้ะ
สวัสดีค่ะ ทุกคน
ขอบคุณสำหรับการแชร์ประสบการณ์นะคะ จะไปอยู่ที่สวิสเร็วๆปลายพ.ค.นี้ ยินดีรู้จักท่านนะคะ
สวัสดีคะพี่นิด
โทษทีที่ไม่ได้เข้ามาตอบเลย พี่นิดแบบว่าเทวีไม่ไปกินอาหารไทยนอกบ้านหรอกค่ะ เพราะทำกินเองทุกวันเลย หากจะไปกินอาหารนอกบ้านส่วนใหญ่จะเป็นอาหารฝรั่งที่ไม่ทำกินเองมากกว่า เอาไว้ว่างๆเราค่อยโทรนัดกันนะคะ ได้เบอร์ไปแล้วนี่เนอะ
สำหรับคนอื่นๆคุณApi ก็ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ มีอะไรให้ช่วยในฐานะคนอยู่ก่อนก็บอกได้นะคะ ยินดีแบ่งปันค่ะ คนไทยน้ำใจเหลือล้น
ขอบคุณคุณเทวีมากค่ะ ที่มาแบ่งปันประสบการณ์ให้อ่าน แม่จิ๋วจิ้วฯรู้สึกชื่นชมกับความขยันของคุณเทวีจริงๆในเรื่องการเรียนภาษา พร้อมกันนั้นก็ให้รู้สึกละอายแก่ใจที่ตัวเองช่างเป็นนักเรียนที่ไม่เอาไหนเสียเลย ขี้เกียจสุดๆ อีกไม่นานจะต้องสอบเอาใบประกาศนียบัตร B2 แล้วด้วย (ไม่ได้อยากสอบเองหรอกค่ะ โดนคุณสามีบังคับ) ไม่รู้จะผ่านหรือเปล่า
ส่วนเรื่องงานของคุณเทวี อ่านแล้วก็ได้มุมมองใหม่เพิ่มขึ้นว่าไม่ได้มีแต่งานทำความสะอาด งานร้านอาหารหรือรับจัดงานเลี้ยง งานนวดแผนโบราณ งานสปา เท่านั้นที่คนไทยพอจะทำได้ในต่างแดน เคยคิดอยากจะเรียนโน่นนี่เพิ่มเติม อ่านเรื่องของคุณแล้วทำให้ต้องกลับมาคิดทบทวนใหม่ว่า เออ..เอาเรื่องภาษาให้รอดก่อนดีกว่า
สวัสดีคะแม่จิ้วจิ่ว ไม่ได้เห็นข้อความโพสของคุณตั้งนาน หายไปไหนมาคะ หรือว่าเทวีที่หายไป เพราะมัวแต่ยุ่งอยู่ หวังว่าคงสบายดีนะคะ
ยินดีค่ะที่ได้สร้างความรู้สึกอยากเรียนให้กับหลายๆคนอีกครั้ง แหมคนไทยก็คนค่ะ อย่าคิดอย่างนั้น งานที่นี่สำหรับคนไทยมันก็หลากหลายอย่างคุณว่าละคะ ของอย่างนี้มันอยู่ที่ว่าใครจะอึดกว่าใครค่ะ (เรื่องเรียนนะคะ) เพราะเก่งแต่ขึ้เกียจมันก็ไปได้ไม่นานค่ะ ของเราเอาไม่ต้องเก่งมาก แต่ขยันและอึดมากๆหน่อยรับรอง มันต้องมีวันของเราค่ะ
Quote from: kornnika on March 08, 2009, 12:20:43 PM
สวัสดีคะพี่นิด
โทษทีที่ไม่ได้เข้ามาตอบเลย พี่นิดแบบว่าเทวีไม่ไปกินอาหารไทยนอกบ้านหรอกค่ะ เพราะทำกินเองทุกวันเลย หากจะไปกินอาหารนอกบ้านส่วนใหญ่จะเป็นอาหารฝรั่งที่ไม่ทำกินเองมากกว่า เอาไว้ว่างๆเราค่อยโทรนัดกันนะคะ ได้เบอร์ไปแล้วนี่เนอะ
ไม่เป็นไรค่ะน้องเทวี ถ้าน้องไม่กินอาหารไทยนอกบ้าน เพราะปกติพี่ก็ทำทั้งอาหารไทย และอาหารฝรั่งทานที่บ้าน เนื่องจากพี่และสามีไม่ชอบทานข้าวนอกบ้าน แต่ก็จะมีบ้างบางครั้งที่มีอารมณ์อยากทานข้าวนอกบ้าน หรือเนื่องในโอกาสพิเศษ ๆ เราถึงจะไปทานอาหารนอกบ้าน ฝืมือทำอาหารของพี่มันอร่อยแค่สามีและพี่ ส่วนคนอื่น ๆ พี่ไม่รู้เขาอร่อยด้วยไหม พี่เชิญเพื่อนทั้งคนไทย เพื่อนฝรั่งมาทานที่บ้าน เขาก็บอกอร่อยแต่ไม่รู้ว่าอร่อยจริงไหม หรือแค่ชมเอาใจเราเฉย ๆ ;D ;D
เอาเป็นว่าถ้าน้องเทวีว่างหรืออยากเจอก็ค่อยนัดกัน ช่วงนี้พี่อาจไม่ค่อยมีเวลาเท่าไร เพราะต้องเตรียมตัวสอบใบประกาศของเกอเธ่
ถึงไม่ได้เจอกัน เราคุยกันในนี้ไปก่อนก็ได้จ๊ะ