(https://www.pallswiss.com/images/old_board/104115-223904-Clipboard06.jpg)
การย้ายบ้านทุกคนจะมีปัญหามากมาย
เกี่ยวกับสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ
ที่ไม่อาจจะนำติดตัวไปได้หมด
บางคนอาจจะทิ้งหรือแจกจ่ายให้เพื่อนฝูงคนรู้จัก
หรือบางคนรักพี่เสียดายน้องไม่ยอมทิ้งพยายามเอาไปด้วย
ค่าขนส่งที่เมืองนอกแพงมากจะคิดเป็นระยะทาง
จำนวนคนช่วยขน...คิดเป็นชม........หรือ....
แล้วแต่ข้อกำหนดตกลงกันก่อนการเคลื่อนย้าย....
แต่ละแห่งและแต่ละบริษัทจะไม่เหมือนกัน
ย้ายเสร็จก็มีปัญหาตามมาคือต้องทำบ้านให้อยู่ในสภาพ
เดิมตอนที่เราเซ็นสัญญาก่อนอยู่...........ถ้าสิ่งไหนชำรุดเสียหาย
เราต้องซ่อมแซมให้อยู่ในสภาพดีเหมือนเดิม..
แต่ขึ้นอยู่กับระยะเวลาการอยู่อาศัยด้วย
และสิ่งของบางอย่างมีอายุตามกฎหมาย
เราต้องตามให้ทันเขาด้วยไม่เช่นนั้นเราเสียเปรียบเขา
ต้องจ่ายเงินหน้ามืดแน่ๆถ้าไม่รู้กฎหมาย
เพราะเจ้าของบ้านหรือคนดูแลบางคนเขี้ยวมาก
ถ้าคนชอบBid ทั้งหลายจะรู้ดี...ฤดูการย้ายบ้านที่นี่
เราจะมีเป็นช่วงๆ.....และต้องบอกการย้ายล่วงหน้า 3เดือน
ตามข้อตกลงในสัญญาที่ทำกัน คนชอบบิดบางคนที่
ต้องการประหยัดเงินและได้ของดีจากคนที่ย้ายบ้านที่ซื้อของแพง
และขายประมูลถูกๆ มักจะรอช่วงนี้มาบิดกัน
คนขายบางคนขี้เกียจขนของเพราะค่าขนย้ายแพงมาก
ถ้าต้องย้ายไปอยู่รัฐอื่นเลยจัดการเอาลงประมูลจนหมด
และหาซื้อของใหม่แทนซึ่งประหยัดเวลา....
ไม่ต้องเครียดจากการย้ายบ้าน......
แต่บางคนที่ย้ายบ้านไม่ได้สนใจกับการขายของแบบนี้
แต่จะยกบริจาคให้กับสถานที่ต่างๆเช่น
HEILSARMEE เพียงแต่เราโทรศัพท์ไปบอกเขา
ทางHEILSARMEE จะบริการเอารถมาขนของให้เราฟรีทุกอย่าง.....
แต่ของที่เราบริจาคต้องมีมูลค่าทั้งหมดตั้งแต่ CHF 500 ขึ้นไป
แต่ถ้าไม่ถึงเขามาขนของไปเราจ่ายช่วยค่าขนส่งเพียงเล็กน้อย
ถ้าเปรียบเทียบกับการต้องจ่ายสะติคเกอร์ติดของ
สำหรับทิ้งที่ทางเขตที่อยู่ได้ระบุไว้เราต้องเปรียบเทียบว่าคุ้มไหม
บางคนอาจจะบริจาคของให้แก่Brockenhaus
คำนี้หมายถึงBrocki -Second-Hand-Kaufhaus
ถ้าเราบริจาคให้สถานที่แห่งนี้จุดมุ่งหมายพอๆกับ HEILSARMEE
ของทุกอย่างจะอยู่ในสภาพดีและบางครั้งได้ของใหม่ซิงๆๆ
คนทำงานให้กับ Brockenhaus
จะเป็นการทำงานฟรีๆไม่มีการคิดเงินค่าจ้าง
Brockenhaus จะมีทุกๆรัฐในสวิตฯ
สมัยตอนที่ป้ามาอยู่ใหม่ๆไม่ค่อยมีคนเข้ามาซื้อ
เพราะต่างคิดกันว่ากระจอกเข้าไปซื้อจะทำให้อับอายขายหน้า
แต่ปัจจุบันนี้คนเข้ามาซื้อของกันธรรมดามาก
บางคนแต่งตัวแบบมาดามเลย
และบางคนทำงานสถานทูตติดป้ายสีเขียว
ใครที่คิดจะย้ายบ้านในอนาคตหรือกำลังจะย้ายบ้าน
ลองคิดให้ดีก่อนจะทิ้งของไปโดยเปล่าประโยชน์
การบริจาคของเก่าของเราให้สถานที่เหล่านี้
เหมือนกับเราได้ช่วยผู้เดือดร้อนทางอ้อม....
**กระทู้นี้เป็นกระทู้เดิมหมายเลข 0142 ห้อง pallswiss (เผื่อใช้ในการค้นหา)**
(https://www.pallswiss.com/images/old_board/104115-224032-Clipboard07.jpg)
**Papier Sammlung**
หมายถึงการเก็บพวกหนังสือเก่าทิ้ง
เชื่อไหมหนังสือเก่าๆที่เขาเอามามัดทิ้ง
บางครั้งหนังสือพวกนี้มีคุณค่ามากที่สุด
มีคนพบมาแล้วหนังสืออายุเก่าแก่ปี1600
แทบไม่น่าเชื่อเลยว่าหลงมาได้อย่างไร
บางครั้งเราจะเห็นคนไปเที่ยวเมียงมอง
และไปดึงเอาหนังสือที่เขามัดไว้เก็บกลับมาบ้าน
อาจจะเป็นหนังสือตำราอาหาร
ทำสวน...และหนังสือต่างๆ
ตอนลูกชายป้ามันยังเป็นเด็ก
ทางโรงเรียนที่นี่จะมีการให้ออกไปช่วยเก็บหนังสือพิมพ์
ที่เขามัดไว้เพื่อเอาเป็นรายได้เข้าโรงเรียน
ถ้ามันสองคนเก็บหนังสือพิมพ์เมื่อไรจะรู้เลยมันจะขนเอาหนังสือ
กลับบ้าน พูดถึงเก็บหนังสือพวกนี้พวกเด็กๆชอบกันมากนะ
ที่ไม่ต้องเข้าเรียนหนังสือ บางครั้งเด็กจะเอารถเข็นลากจากบ้าน
ไปช่วยขน อย่างลูกชายป้ามันชอบเอารถลากจากบ้านไปช่วย
และพวกเพื่อนๆจะนั่งกันเต็มรถเลยผลัดกันลาก
ชีวิตเด็กๆช่างน่าสนุกจริงๆ
นึกถึงความหลังแล้วเศร้าจริงๆ
เวลาผ่านไปไวเหลือเกิน.....................
ป้าชอบมากการสะสมพวกหนังสืออ่าน
ไม่ว่าหนังสืออะไรจะเก็บสะสมหมด
พวกหนังสือดารา หนังสือบันเทิงต่างๆ
ขวัญเรือน ดิฉัน แพรว .....ครัวแม่บ้าน.....อีกมากมาย
ป้าเก็บสะสมมาร่วม30ปีไม่รวมหนังสือปกแข็ง
ของพวกนักเขียนมีชื่อทุกๆคนหนังสือป้าจึงค่อนข้างจะเก่ามาก
และใบกระดาษบางเล่มออกสีเหลือง
ถ้าไม่ย้ายบ้านป้าไม่มีวันทิ้งหนังสือพวกนี้อย่างเด็ดขาด
ยอมรับว่ารักมาก หนังสือบางฉบับป้ามีครบทุกฉบับ
ตั้งแต่เขาออกใหม่ๆและจนบริษัทเขาเจ๊งไป
อย่างหนังสือฟ้าเมืองไทยป้ามีตั้งแต่ปกใหญ่มากเหมือนหนังสือพิมพ์
กุลสตรีตั้งแต่ปกเล็กและบาง......
เมื่อวานน้ำตาซึมทิ้งไปเป็นรุ่นที่สาม
และเป็นรุ่นสุดท้ายเพราะจะย้ายบ้านเร็วๆนี้
บ้านที่จะไปอยู่ใหม่เป็นห้องพักมีแค่ 3ห้องครึ่ง
เหมาะสำหรับลุงกับป้าสองคน
และห้องเก็บของเล็กมากไม่ใหญ่เหมือนที่อยู่ปัจจุบัน
ไม่สามารถเก็บหนังสือพวกนี้ได้
ป้านอนไม่หลับมาหลายเดือนจนทำใจทิ้งไปได้
..............ลาก่อนเพื่อนรัก.........
หนังสือพวกนี้เป็นเหมือนเพื่อนสนิทของป้า
ช่วยแก้เหงา คลายเครียด ให้ความรู้ทุกอย่าง
ระหว่างที่ป้าเก็บหนังสือมัดเพื่อทิ้งไป
อ่านไปด้วยและยิ้มไปด้วยจากการเขียนยิ้มมังกร
ของนักเขียน ถาวร สิกขโกศล
ในหนังสือดิฉันปีพศ.2537
***แล้วทำไมไม่รีบบอก***
เจ้าทึ่มคนหนึ่งลงทุนจ้างครูมาสอนหนังสือ
พยายามเรียนท่องจำสำนวนว่า
**ไหนเลยจะมีเรื่องเช่นนี้ได้**
ท่องแล้วท่องอีกเพราะกลัวลืม
ต่อมาขณะที่โดยสารเรือ คนเรือร้องตะโกนเสียงดัง
เขาตกใจจนลืมสำนวนที่ท่องไว้
จึงรีบออกเดินหาจนทั่วเรือ
ผู้โดยสารต่างพากันช่วยหาและสงสัยถามเขาว่าหาอะไร
เขาบอกลืมคำพูดสำคัญคำหนึ่ง
ผู้โดยสารต่างพากันหัวเราะพูดว่า
คำพูดจะตกหายได้อย่างไร.....ไหนเลยจะมีเรื่องเช่นนี้
เจ้าทึ่มได้ยินเข้าตบมือด้วยความดีใจมากและพูดว่า
ถูกแล้วคำที่ฉันหาคำนี้แหละ..ทำไมพวกท่านไม่รีบบอกปล่อยให้ฉันหาเสียเหนื่อยแทบตาย
**พิพากษาแบ่งทรัพย์**
ครั้งหนึ่งในสมัยราชวงศ์ซ่ง(พศ.1503-1822)
ขุนนางผู้ใหญ่คนหนึ่งถึงแก่อนิจกรรม
ในพินัยกรรมได้ระบุให้แบ่งทรัพย์สิน
แก่ลูกชายทั้งสองให้เสมอภาคกัน
ผู้จัดการมรดกได้ประชุมลุง ป้า น้า อา ของผู้รับมรดกทั้งสอง
ช่วยกันแบ่งทรัพย์สิน สิ้นเปลืองเวลาไปไม่น้อย
กว่าจะแบ่งให้เท่ากันได้ แต่ก็ลุล่วงไปด้วยดี
แต่ต่อมาอีกไม่กี่วันพี่ชายเกิดหวาดระแวงว่าลุงลำเอียง
เข้ากับน้อง เอาทรัพย์สินที่มีราคามากกว่าให้เป็นส่วนแบ่งไป
ส่วนน้องก็หวาดระแวงว่าอาปกป้องเอาผลประโยชน์ให้พี่
แบ่งข้าวของให้มากกว่า
ต่างฝ่ายต่างคิดว่าตนได้รับมรดกน้อยกว่า
กลายเป็นข้อวิวาทบาดหมางกัน
ในที่สุดเรื่องก็ลุกลามฟ้องร้องกันถึงโรงถึงศาล
ไปตามลำดับจนถึงขั้นถวายฏีกา
ฮ่องเต้จึงมีพระราชโองการให้
อัครมหาเสนาบดีจางฉีเสียนเป็นผู้ยุติปัญหานี้
จางฉีเสียนคิดว่าถ้าเอามรดกมาแบ่งใหม่
เจ้าสองคนคงคิดว่าได้น้อยกว่า
หาหลักฐานพยานมายืนยันความคิดของตนอยู่ร่ำไป
เรื่องจะไม่มีวันยุติ........จะจัดการอย่างไรดีหนอ....
ในที่สุดจางฉีเสียนก็ออกนั่งบัลลังก์
ถามคู่คดีคนพี่ว่า
"เจ้าว่าเจ้าได้รับส่วนแบ่งข้างน้อยน้องชายได้ส่วนข้างมากไช่ไหม"
"ใช่ครับใต้เท้าไม่ยุติธรรมต่อเกล้ากระผมจริงๆ"
"เจ้าก็ว่าเจ้าได้รับมรดกส่วนข้างน้อยเหมือนกันใช่ไหม"
จางฉีเสียนหันไปถามคู่คดีผู้น้อง
"ถูกแล้วขอรับใต้เท้าโปรดประทานความยุติธรรมด้วย"
'เอาล่ะ พรบรมราชโองการอยู่นี่
หากสอบพบว่าคนใดคนหนึ่งพูดไม่จริง
หรือพูดกลับกลอกจะมีโทษฐานเพ็จทูลฮ่องเต้นะพวกเจ้าทราบไหม"
"ทราบขอรับที่ให้การมาทั้งหมดล้วนเป็นจริง
และไม่มีวันกลับกลอก"
พี่นอ้งสองคนพูดเกือบจะพร้อมกัน
"ถ้าเช่นนั้นไม่เห็นจะยากอะไร เจ้าคนพี่ไปครอบครอง
ส่วนที่น้องชายได้รับไป
เจ้าคนน้องไปครอบครองมรดกส่วนของพี่
หวังว่าพวกเจ้าคงไม่กลับคำให้การอีกนะ"
พี่น้องสองคนได้แต่แลดูตากันรับคำพิพากษาโดยดุษณีภาพ
***เรื่องของ ถาวร สิกขโกศลเขียน**
ป้าจ๋า
แวะมาทิ้งแถวเมกาก็ได้ค่ะ นี่นะรอรับอยู่ ฮิๆๆ