(https://www.pallswiss.com/images/old_board/103129-101354-103129-072412-Clipboard01.jpg)
** มันฝรั่ง **
พูดถึงมันแล้วนึกถึงลุง.....แกชอบมากเรื่องกินมันมาก จะให้ป้าทำอาหารให้กินแทบทุกมื้อเลย
ขนาดไป กินที่เหลา แกยังสั่งมันฝรั่งมากิน ด้วยความชอบกินมัน แกจึงปลูกมันกินเอง ทุกปี
ป้าจะต้องเป็นลูกมือลุงแก แบบไม่สมัครใจจะต้องไปเลือกมันที่จะนำมาปลูกที่สวน ปีหนึ่งเราปลูกหลายพันธ์และหลายชนิด
และปลูกไว้ร่วมๆ100 กิโล เชื่อแล้วใช่ไหมว่า แกกินมันเก่งมาก แกเป็นฝรั่งก็เลยกินมันฝรั่ง
และไม่นานพอกินหมดก็ต้องไปซื้อที่บ้านชาวนา เพราะขายถูกกว่าในร้าน ซึ่งขายถูกมาก แค่กก.ละ .70Rappen(รัพเพิน)
**กระทู้นี้เป็นกระทู้เดิมหมายเลข 0086 ห้อง pallswiss (เผื่อใช้ในการค้นหา)**
(https://www.pallswiss.com/images/old_board/103129-101825-103129-073421-Clipboard01.jpg)
ภาพที่เห็นข้างบนนี้คือลักษณะของมันที่เริ่มงอกเพื่อจะนำลงปลูก ทุกปีลุงจะตะเวนไปหาซื้อพันธ์มันฝรั่งมาปลูก
พอซื้อชนิดของมันมาเสร็จ ป้าต้องเป็นคนจัดการเอาใส่ถาด และโรยผงป้องกันเชื้อราและนำไปวางไว้ที่กลางแจ้งมีแดดส่องหน่อยแต่ห้ามตากแดดนะ และคอยดูจนมันเริ่มงอก พอเริ่มโตได้นิดหน่อยก็จะนำไปลงดิน หลังจากนั้น
ก็ไปช่วยลุงแกนำมันไปลงดินที่แกยกเป็นร่อง แกต้องกะเล็งระยะให้เท่ากันเดะเลย ป้านี้เซ็งมาก
บางครั้งทะเลาะกันแทบจะไม่ได้ปลูกมันเลย แกบอกว่าที่ต้องกะระยะเวลามันๆออกลูกจะได้มีบริเวณไง
ไม่เชื่อให้ป้าไปขุดที่ชาวนาเขาปลูกซีแล้วจะเห็น ขืนป้าทำตามไปขุดที่ชาวนาปลูกสงสัยเขาดีดป้าออกมาแน่ๆ
คำแนะนำของแกแต่ละอย่างเจ๋งมาก ป้าเลยต้องเออออกับแก กัดฟันเอามันลงหลุม และลุงแกเอากระดูกป่นโรย
เพื่อช่วยเร่งให้มันโตเจริญงอกงาม หลังจากนั้น แกก็เอาดินกลบทุกๆวันแกจะยกร่องให้สูงเ
พื่อให้ดินโปร่งอากาศถ่ายเทได้ดี แบบนี้ทำให้ต้นมันโตไว ไม่ช้าลำต้นก็จะแทงขึ้นมาข้างบน ลุงแกจะยกร่องแบบนี้ทุกวัน
ต้นมันของแกนี่งามมากเลยและมีรสอร่อยมาก ผิดจากที่ซื้อมาจากร้านค้าหรือบ้านชาวนา
แกมีปุ๋ยธรรมชาติที่เราเอามาจากพวกผักและผลไม้ มาทิ้งไว้ในตะกร้าใหญ่ที่สำหรับทำปุ๋ยโดยเฉพาะ
มันของแกจะเริ่มออกดอกสวยมาก
(https://www.pallswiss.com/images/old_board/103129-102031-103129-073653-Clipboard01.jpg)
ศัตรูตัวร้ายคือแมลงตามที่เห็น บางปีป้าต้องช่วยลุงจับร่วมครึ่งกระถาง พวกแมลงพวกนี้มันชอบมากินใบ หลังจากที่ดอกเริ่มโรย
จะออกเป็นเมล็ดตูมๆห้อยและหลังจากนั้น ใบเริ่มออกสีเหลืองแห้งเราก็จะดึงต้นมันทิ้งและขุดขึ้นมา
ตอนขุดต้องระวังให้มากเพราะมันฝรั่งขึ้นเต็มไปหมด ถ้าไม่ระวังจะไปแทงทำให้ผลเสียหาย
(https://www.pallswiss.com/images/old_board/103129-102202-103129-073928-blauge.jpg)
ตอนนี้ชาวนาสวิสเริ่มหาพันธ์ใหม่มาปลูกเป็นสีน้ำเงิน แต่ป้ากับลุงไม่ชอบเพราะเหนียวไม่อร่อย
ลืมบอกไปว่ามัน ประมาณ 5 กิโล ถ้าปลูกแล้วจะได้มันร่วม 50 กิโล คิดดูซีลุงแกปลูกปีละ 10 กิโล ถึงได้ร่วม100 กิโล
(https://www.pallswiss.com/images/old_board/103129-102431-103129-074126-Clipboard01.jpg)
**ประวัติของมันฝรั่ง **
มันฝรั่งประวัติของมันมีมากมายและคนเขียนต่างๆกันไป เลือกอ่านกันเอาเองก็แล้วกัน
มันฝรั่งประวัติเริ่มต้นมาก่อน 6000 ปีแล้วที่อเมริกาใต้ ชาวอินคาประเทศเปรูเป็นชาติแรกที่เริ่มต้นการปลูกมันฝรั่ง
คนพื้นเมืองที่โน่นเรียกมันฝรั่ง potatoว่า Papas พันธ์มันฝรั่งมีมากกว่า 400 พันธ์
ต่อมาEroberer Pedro Cieza de León ชาวเสปนไปพบก็นำมาปลูกที่บ้านชาวนา
แต่ไม่ใช่เอามากินนะเอามาปลูกเพื่อความสวยงาม และตบแต่งสถานที่และให้สัตว์กินกัน
แต่พวกนักเดินเรือได้กินมันเพื่อช่วยรักษาโรโลหิตออกตามไรฟัน
(https://www.pallswiss.com/images/old_board/103129-102526-103129-074433-Clipboard01.jpg)
ดอกมันฝรั่งนี่สวยมากและแต่ละพันธ์จะมีดอกไม่เหมือนกันแล้วแต่ชนิดของพันธ์
(https://www.pallswiss.com/images/old_board/103129-103623-103129-075223-Clipboard02.jpg)
ความสวยของดอกมันฝรั่งทำให้พระนาง Marie Antoinette
นำเอาดอกมันมาทำเป็นพวงหรีดจัดตกแต่งสถานที่เวลาจัดงานในสวนตอนหน้าร้อน
คิดกันว่าบุคคลแรกที่นำมันเข้ามาในยุโรป เป็นคนค้าทาสชาวเสปน และชาวไอร์แลนด์ ชื่อว่า John Hawkins
เขานำมาปลูก ในเมือง Irland และชาวไอร์แลนด์ชอบกินมันฝรั่งกันมากจนเขาเรียกกันว่านักกินมันฝรั่งตัวยง
บางตำราเก่าๆที่เขียนๆไว้ในปี 1570 ที่เขียนโดย Hieronymus Cardanus ซึ่งเป็นนักธรรมชาติวิทยา ชาวอิตาลี
ว่าเป็นคนนำมันมาปลูกในอิตาลี เป็นมันสีน้ำตาล และใช้ชื่อเรียกว่า tartufolo ซึ่งคำนี้มาจากคำว่า Trüffel
และมีอีกมากมายที่นักประวัติศาสตร์ชอบเอามาอ้างอิง เช่น Sir WalterRaleighที่มีบรรพบุรุษเป็นโจรสลัด
ของราชินี Elizabeth ที่1 ของอังกฤษ
ที่เยอรมันเขาเล่ากันว่ามันฝรั่งปลูกครั้งแรกที่สวนสมุนไพร และมีเรื่องเล่ากันสนุกๆไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า
เพราะลุงเป็นผู้เล่าให้ฟัง ถ้าแกเล่าต้องเอาห้าหาร คิดเสียว่าเป็นการเล่าสนุกก็แล้วกันนะ
แกเล่าเรื่องนี้ป้าฟังแล้วขำมากเลยที่ลุงบอกว่า สมัยของ Friedrich der Grosse (1712-1786)ของเยอรมัน เป็นกษัตริย์ที่เจ๋งมากเลย พระองค์นี่นั่งคิดนอนคิดว่าจะทำอย่างไร ที่จะให้คนมากินมัน
เพราะในสมัยของพระองค์นี่ทำสงครามบ่อย และมันก็เป็นอาหารที่มีคุณค่าสูงและปลูกก็ไม่ยาก
จะได้มีอาหาร ตุนไว้ใช้ในยามคับขันเวลาขนมปังหมด พระองค์คิด จนไม่มีเวลาโกนหนวด ความคิดของพระองค์แล่นปรู๊ด
ในขณะขยับนิ้วไปมา เลยรีบเรียกท่านนายพล มาพบ (ป้าตั้งชื่อให้ว่าชื่อนายพลยานก็แล้วกัน) พระองค์รีบเรียกเพระกลัวลืม
และบอกถึงแผนการอันนี้ ท่านนายพลยานก็รับพระคำสั่ง และปฏิบัติอย่างเคร่งครัด
และเรียกพลทหารเกณฑ์โด่เด่(ป้าตั้งเอง) พลทหารหมุด(ตั้งเอง)พลทหารหย่อน(ตั้งเอง)
และอีกหลายพลทหารมารับคำสั่งให้มาเฝ้าสวน ที่พระเจ้าแผ่นดินปลูกมันไว้ แต่กระซิบว่า
ถ้าใครมาขโมยนี่ห้ามจับนะ พวกทหารนี่รับคำสั่ง พร้อมทั้งทำตาปริบๆๆ แบบตามมุขไม่ทันน่ะ
แต่ก็ต้องทำตามเพราะกลัวโดนจับขังคุกขี้ไก่ แหมแผนการของพระเจ้าแผ่นดินนี่ได้ผลมากเลย
คนเราถ้ายิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ ชาวบ้านก็นึกว่า คงจะเป็นอาหารที่วิเศษมากเลย
ถึงได้มีทหารมาคุมทั้งกองทัพ ต่างพากันเอากระปงกระป๋องอะไรมาขุดกันให้มั่วไปหมด
แต่ไม่รู้ว่าทำไมไม่เฉลียวใจเลย ว่ามาคุม แต่ไม่จับตอนขุด สงสัยคงขุดกันเพลินเลยลืมนึก
ความลืมตัว ถึงขนาดสั่งให้ทหารโด่เด่ ทหารยานโตงเตงขยับเท้ายังไม่โดนจับ
จนกระทั้งเกือบหมดสวนพระเจ้าแผ่นดินถึงได้รีบ ให้ทหารคุมอย่างเหนียวแน่นไม่งั้นพระองค์คงไม่ได้กินมันแน่
ส่วนพวกชาวบ้านที่ขโมยไปก็ไม่รู้จะทำอย่างไร
ด้วยความโมโห แค้นใจที่โดนหลอกแทนที่จะกอดเมียให้สบายอุราต้องไปเดินขโมยขุดมันตอนกลางค่ำกลางคืน
เลยโยนมันทิ้ง เผอิญมันหล่นปุ เข้าเตาผิง ตานี้ได้กลิ่นหอมเลยลองเอามากินดู รสมันเผาอร่อยมากเลยส่งข่าวไปทั่ว
ต่อมากินจนเบื่อกับการโยนมันใส่เตา เลยลองโยนเล่นไปใส่หม้อบ้างและลองเอามากิน รสอร่อยมากอีกเลยได้สูตรใหม่ๆประยุกต์ การกินมันจนถึงปัจจุบัน
ทวีปยุโรปเริ่มยอมรับการกินมันนี่เมื่อ 450 ปีที่ผ่านมา ว่าไปมันนี่จัดว่าเป็นอาหารที่คุณค่าทางด้านอาหารสูงมาก
และเมื่อสมัยที่เกิดสงครามในประเทศเยอรมัน มันเป็นอาหารที่ใช้ในการดำรงชีวิต ตอนนั้นอะไรแร้นแค้นไปหมด
*** มันฝรั่งมีคุณค่าทางสมุนไพรมาก ***
แก้โรคไอ โรคไอจนลงปอด บำบัดอาการปวดหลังปวดไหล่
** วิธีรักษาของคนสมัยก่อน **
เขาจะเอามันมาต้มและกดให้เละลงบนผ้าพร้อมทั้งมัดปิดให้แน่น และทำการรักษาแบบนี้
1. ถ้าไอก็เอามาวางบนหน้าอก
2.ถ้าปวดหลังปวดไหล่ก็เอามาวางตรงบริเวณที่ปวด ใช้เวลาประมาณ 10 - 15 นาที
มันฝรั่งมีคุณค่าทางอาหารสูงมากดังนั้นกินมันประมาณ 250 กรัม - 300 กรัมต่อวันก็พอเพียงแล้ว
** ในมันฝรั่ง 100 กรัมจะมีคุณค่า **
Vitamin B1 0,1 mg ช่วยโรคประสาทต่างๆ
Vitamin B6 0,2 mg ช่วยโรคประสาทต่างๆ
Eisen 0,8 mg ช่วยพวกโรคโลหิตจาง
Natrium 3,0 mg ช่วยเพิ่ม Mineral
Kalzium(แคลเซี่ยม) 10 mg 10 mg ช่วยเรื่องโรคกระดูกและฟัน
Vitamin C 14 mg ช่วยป้องกันการโรคต่างๆ
Phosphor 50 mg ช่วยป้องกันโรคกระดูกและฟัน
Eiweiß 2 g ช่วยรักษาเส้นประสาท
Kalium 443 mg ช่วยเพิ่มMineral
Kohlenhydrate 14,8 g ช่วยเพิ่ม Energie
Kcal / KJ 84 / 357
มีข่าวดีมาบอกจ้าตอนนี้ทางชมรมลดน้ำหนัก เขาเอามันขึ้นตั้งโต๊ะเพื่อลดความอ้วน ถ้าใครอยากผอม,สวย,
หมวยอึ๋มและเซ็กซี่ๆๆๆๆๆๆต้องมากินมัน แต่ถ้ากินแล้วไม่อึ๋มห้อยโตงเตงอย่ามาว่ากันนะ
เขาบอกมาแบบนี้ป้าเลยมาบอกข่าวต่อ
จากการสำรวจสถิติออกมาแล้วว่า มีคนสวิสกินมันกันตกร่วม 100 กก / หัว / ปี
มันมีจำนวนมากมายหลายพันธ์ตามที่บอกมาข้างต้น และการเรียกชื่อก็แตกต่างกันออกไปและตามลักษณะ
ขนาดด้วย ที่สวิตฯนี่เขาจะเอามันมาขาย ขนาดตั้งแต่ 42.5 mm,จนถึง 70 mm
และการเอามาปรุงอาหารนี่ต้องดูตามพันธ์ของมันฝรั่งแล้วแต่ชนิดด้วยจะไม่เหมือนกัน
** การเก็บรักษามันฝรั่ง **
ถ้าเรามีห้องใต้ดินถ้าอุณหภูมิประมาณ 4 - 8 องศา นี่จะดีทำให้เก็บได้นาน
ถ้าเอามันไว้ที่อุ่นๆมันจะงอกไวนะ และอย่าให้แดดส่องถึง
สมัยก่อนคนสวิสกินมันกันมากประมาณ 120 กก/ คน/ ปี ต่อมาลดเหลือ 90 กก/ คน / ปี
และยิ่งปัจจุบันยิ่งลดลงมากเพราะอาหารพวกฟาสฟูด หรืออาหารอื่นๆเช่น พวกพิชซ่าและอีกมากมาย
พันธ์มันฝรั่งที่คนสวิสนิยมกินกันเช่น
(https://www.pallswiss.com/images/old_board/103129-104100-103129-080404-Clipboard01.jpg)
SIRTEMA
(https://www.pallswiss.com/images/old_board/103129-104142-103129-080620-Clipboard01.jpg)
CHARLOTTE
(https://www.pallswiss.com/images/old_board/103129-104216-103129-080805-Clipboard01.jpg)
STELLA
(https://www.pallswiss.com/images/old_board/103129-104303-103129-080938-Clipboard01.jpg)
URGENTA
ป้าจ๋า อ่านประวัติ ของมันฝรั่งแล้ว สนุกดี ตอนนี้น้องพร เองก็ชอบกินมันฝรั่ง มานานแล้วเหมือนกันจ๊ะ มันสีม่วงที่สวีเดนก็เคยสั่งเข้ามาขาย แต่ไม่ได้รับความนิยม เลยตกไป คนยุโรปเนียก็รู้ๆ กันอยู่ ส่วนใหญ่ เขาไม่ค่อยชอบ ลองของใหม่จ๊ะ แต่ชอบของราคาถูกมาก กว่าจ๊ะ
อรุณสวัสดิ์ค่ะป้าจ๋า นี่ขนาดป้าไม่ค่อยสบาย ยังอุตสามาลงเรื่องมันฝรั่งให้อ่านอีกแล้ว ขอบคุณมากค่ะ
แหม ยังคุยไม่จบ กดส่งมาเสียนี่ งั้นขอต่อ อีกสักหน่อย อิ อิ โธ่ป้าจ๋า ถ้าน้องอยู่ใกล้ๆ บ้านป้าจ๋า จะไปขอซื้อ ให้ราคา เป็นสองเท่า เลย
เพราะ ลุงแกปลูกมันกินเองหนะ ได้เปรียบมากเลยป้า ไม่ต้องไปซื้อที่ร้านราคา แพง แถมฝรั่งชาวกสิกรรม ทั้งหลายเนีย พวกก็ต้องใช้สารเคมี ไล่แมลงกันบ้างหละ ไม่รู้เจอมันสารตกค้าง บ้างเปล่าไม่รู้ ป้าน้องเคยอ่านหนังสือ เขียนไว้ว่า กินมันเนีย ดีกว่ากินข้าว อีกหนะป้า
เขายังแนะนำไว้อีกว่า คนที่เป็นเบาหวานเนีย เปลี่ยนมากินมันบ้างก็ดี
เพราะมันน้ำตาล อาจจะน้อยกว่า ข้าว ก็เป็นได้
เมื่อมาอยู่เมืองนอกใหม่ๆ กินมันไปแล้ว ก็ต้องมากินข้าวอีก เพราะเราคิดไปเองว่า เรายังไม่ได้กินข้าว ตอนหลังมาเปลี่ยนความคิด แล้วพวกฝรั่งที่ เขาตัวโตยังกับตึกหนั่นหนะ เขาก็กินมัน กันทั้งนั้น ไม่เห็นเขาตายกันเลย หนะ อิ อิ (คนไทยเรากลัวกินมันแล้วคิดว่าไม่อิ่มท้อง เหมือนกินข้าว ก็ลองกินสักโลสองโลซิ รับรองอิ่มท้องแปร้ เลย อิ อิ ) สำหรับน้องตอนนี้ ทั้งข้าว ทั้ง มัน ลูกผสมเลย หละป้าจ๋า
ป้าพรคะ.........ชาดำว่าป้าน่ะนะ ควรจะเข้ามาช่วยป้าจ๋าเขียนในบอร์ดบ่อยๆ รู้ไหมคะ
ป้าเขียนแล้วอ่านสนุกดี ชาดำต้องได้ขำคนเดียวทุกที เพราะท่วงถ้อย กระทงความของป้านั่นแหละค้า
คุณมินตรา คุณนิดก็เขียนแล้วอ่านสนุก ชอบทุกคนเลยค่ะ ชาดำเขียนไม่เก่ง คุยไม่เก่ง(เท่าไหร่)อิอิ
ลืมบอกขอบคุณป้าจ๋า........ได้เคยแต่กิน ไม่เคยรู้หรอกค่ะประวัติมันฝรั่ง
ชาดำชอบ STELLA ค่ะ ว่าอร่อยกว่าพันธ์อื่น
หวัดดี น้องชาดำ ป้าพรหนะ ก็เขียนเหมือนที่เราอยากจะคุย จะพูด และก็ใช้คำพูดแบบ ตัวตัวของเรา ไม่ใช่ เขียนแบบ นักขงนักเขียนอะไรหลอกจ๊ะ ป้าพรเองก็ชอบเข้ามาอ่านทุกคน ที่เขียนมาคุย เพราะว่า คุยแล้ว รู้สึก ว่าการคุยของแต่ละท่าน เป็นธรรมชาติดี
พวกเราว่าไหม จริงๆที่เมืองไทยเราเนีย มีมัน อยู่หลายชนิดทีเดียวหนะ ไม่รู้ไปเอาพันธ์ มาจากไหนกัน อย่างเช่น มันหัวเสือ,มันแกว,มันต่อเผือก (จะมีสีม่วงผสมอยู่ด้วยรสชาติหวานทีเดียว) สมัยเด็กๆป้าพรชอบซื้อ แม่ค้าเข้าต้มมาขาย แล้วก็มีมันสำปะหลัง,มันเทศที่เอามาทอดขาย กับ กล้วยแขกนั่น แถมเอามาผสมแป้งทำ ขนมไข่นกกะทา ก็ได้
เอาไปเชื่อมก็ได้ เอาไปต้มน้ำตาลใส่น้ำแข็งใสก็ได้อีก แล้วก็มีมันอะไรหนะจำชื่อไม่ได้ หัวเล็กๆ แม่ค้าปอกเปลือกแล้วเอาไปแช่น้ำปูนใส ก่อนนำไปเชื่อมขาย พอเชื่อมออกมา แล้วเจ้ามัน ชนิดนี้จะมี สีเหลืองทองเข้ม ดูน่ารับประทานมาก และเจ้ามันชนิดนี้ ที่สวีเดน
และ ทางยุโรปเนีย ก็มีขาย ที่สวีเดน เรียกว่า มันหวาน แหมต้องเป็นการปรุงอาหาร แบบชนิดพิเศษ มาก ถึงจะใช้เจ้ามันชนิดนี้ทำ เพราะราคา แพงมากกิโลละ 30-40 โครนทีเดียว ปกติราคามันฝรั่งที่ สวีเดน นี่จะเสนอราคา กิโลกรัมละ 5-8 โครน กันทีเดียว ราคาแต่ละร้าน ก็ต่างกันไป แต่สูงต่ำ ไม่เกินราคานี้
แล้วก็ยังมีมันสำปะหลัง ที่พวกผิวดำ ชาวอัฟริกา เขารับประทานกันเป็นประจำ อยู่แล้ว ที่สวีเดนมีขายประจำ แต่คุณภาพ สู้มันสำประหลัง ของเมืองไทยไม่ได้ เพราะมันที่ว่านี้จะแข็ง และไม่ค่อยมีน้ำเท่าไหร่ ป้าพรเคยซื้อมา กะว่าจะมาทำขนมมันสักหน่อย โฮ้ไม่ได้เรื่องเลย มันไม่มีน้ำมากทำให้ขนมไม่เหนียวนิ่ม ตามที่ต้องการ
ป้าพร เคยเห็น รายการอาหารทางทีวี ก็นำเจ้ามันสำปะหลังเนีย
มาต้ม กินกับ อาหารเหมือนกัน แต่ไม่ได้รับความนิยม เท่าไหร่
แล้วที่เมืองไทยเรายังมี หัวกอย อีก ที่เอามามูลผสมกับ ข้าวเหนียวมูล แล้วเจ้าหัวกลอยเนีย มันจัดอยู่ใตตระ*ลไหน กัน หละป้าจ๋า ป้าจ๋ารู้จัก หรือเปล่า ถ้าป้าจ๋ารู้จัก มาเล่าให้ฟังหน่อยซิจ๊ะ
เขาว่า มันคันด้วย เจ้าหัวกอย เนีย ป้าพรเองก็ยังไม่เคยเห็น ตอนที่ยังเป็นหัว ก่อนจะนำมามูลกับ ข้าวเหนียวสักที มาเห็นอีกทีก็ตอนที่ ไปสั่งแม่ค้า ใส่ห่อ ลาดกะทิ โรยด้วยมะพร้าวขูด และน้ำตาลทรายผสมงาคั่ว โป๊ะหน้าไปแล้ว หนะจ๊ะ อิ อิ
เดี๊ยวนี้คนที่เมืองไทย เขากินหัวอะไรต่อมีอะไรกันหลายอย่างเพราะ ช่วงนี้สมุนไพรไทย กำลังดังมาก ป้าพรเคยได้ยินเขาเรียกว่า หัวบุก หัวบุบ อะไรเนีย ไม่รู้ใครเคยได้ยิน และ รู้เรื่องราวบ้าง เอามาเล่าสู่กันฟัง เป็นความรู้รอบตัวหน่อยซิจ๊ะ
อ่านป้าพรเขียนไป น้ำลายยืดไปด้วยค่ะ
ป้าพรว่าไหมคะว่า มันเทศ(หรือเปล่า) ที่หัวโตๆ น่ะค่ะ สีม่วงๆด้วย
พอต้มแล้ว เขาก็ทำบักให้มันเป็นร่องๆ (เรียกถูกไหมเนี่ย) แล้วก็เชื่อม
น้ำเชื่อมข้นๆ หน่อย โอ๊ยชาดำชอบกินมากค่ะ
แล้วก็*หัวกอยอีกนะคะป้าพร ชาดำก็ไม่เคยเห็นตอนเป็นหัวเหมือนกัน
เห็นแต่ตอนที่เขาเอามาล้างเสร็จแล้ว สมัยเป็นเด็กยายจะทำให้กิน
แต่เพราะตอนนั้นไม่ได้สนใจหรอกว่าทำยังไง เลยไม่เคยเห็นหัวกอยซักที
ยายบอกว่ามันคันมาก ต้องล้างน้ำมากๆ หลายๆ น้ำ แล้วก็แช่น้ำค้างคืนไว้อีก
ถ้าล้างไม่ถึง มันจะเป็นพิษเอา คนเลยไม่ค่อยทำกินกันค่ะ เพราะเสียเวลาและยุ่งยากมาก
สมัยนี้ก็ยังเห็นทำกันอยู่ แต่ชาดำว่าสู้คนสมัยก่อนทำไม่ได้ค่ะ เพราะรสชาติจะต่างกัน
จากที่เขาทำขายกันตามท้องตลาด ตอนนี้ยายแก่เกินไป ทำให้กินไม่ไหวแย้ว เลยต้องซื้อเขาพอหายอยาก
หัวกอยแค่เอามานึ่งแล้วผสมน้ำตาลออกหวานนิดหน่อย ก็สุดยอดแล้วค่ะ
(https://www.pallswiss.com/images/old_board/1031211-041525-Clipboard01.jpg)
เอาหัวกลอยมาให้ดูจ๊ะน้องพร กลอยเป็นไม้เถา
ลำต้นกลมหัวอยู่ใต้ดิน
เปลือกสีเทาหรือสีฟาง เนื้อสีขาวหรือสีเหลืองอ่อน
มีชื่อเรียกแล้วแต่ท้องถิ่นมากมาย
เช่นกลอยข้าวเหนียว, กลอยนก, กลอยหัวเหนียว, กอย, ครี้, มันกลอย
ป้าชอบกินมากเหมือนกันกลอยแต่ทำยากมากนะ
เพราะกลอยถ้าทำไม่เป็นจะมีพิษต้องคนทำเป็นและชำนาญ
คนแก่ๆนบ้านนอกนี่เก่งมาก
ป้าชอบมากถ้ายายทำขนมใส่กลอย
หรือทำกล้วยแขกทอดแบบคนโบราณอร่อยมาก
หากินไม่ได้แล้วมีแต่กล้วยทอดแบบสมัยใหม่
ตอนเป็นเด็กมากๆเคยเห็นคนกินกลอยแล้วเป็นพิษป่วยมาก
มีอาการอาเจียน วิงเวียน คลื่นไส้
พออาเจียนจนหมดท้อง อาการจึงเริ่มดีขึ้น
แต่ก็มีนะคนตายเพราะการกินกลอย
กินกลอยนี่ต้องระวังให้มากๆ หากรับประทานหัวกลอยมาก
จะกดระบบทางเดินหายใจ และทำให้ตายได้
ดังนั้น การนำหัวกลอยมาใช้ประโยชน์เป็นอาหาร
ต้องใช้ความชำนาญและเวลามาก โดยมีการหั่นเป็นชิ้นบางๆ
นำไปล้างในน้ำไหล หรือต้มในน้ำเกลือ
โดยเปลี่ยนน้ำล้างหลายหน
รวมทั้งการทดสอบในขั้นตอนสุดท้าย
ก่อนนำไปใช้ประโยชน์ให้แน่ใจว่าไม่มีสารพิษเหลืออยู่
(https://www.pallswiss.com/images/old_board/1031211-051055-Clipboard02.jpg)
บุก(Glucomannan)จัดว่าเป็นพืชสมุนไพร
เรามีชื่อเรียกมากมายแล้วแต่ชื่อเรียกตามท้องถิ่น
เช่น
ภาคกลาง เรียกว่า บุกบ้าน มันชูรัน
ปัตตานี เรียกว่า หัวบุก
สกลนคร เรียกว่าบักกะเดื่อ
บุรีรัมย์ เรียกว่า กระบุก
แม่ฮ่องสอน เรียกว่า เบีย
ภาคอีสาน เรียกว่า อีลอก
ในบ้านเราก็กำลังเป็นที่นิยมในรูปของ ผลิตภัณฑ์อาหาร
เพื่อสุขภาพ โดยเค้าจะนำหัวบุกนี้มาสกัดเอาแต่ส่วนที่เป็นวุ้น
ที่เรียกว่า "กลูโคแมนแนน" (Glucomannan) ออกมา
ซึ่งวุ้นนี้เองเป็นสารประกอบระหว่าง
น้ำตาลกลูโคสกับน้ำตาลแมนโนส ในหัวบุก
บุกนับเป็นพืชที่ มีปริมาณใยอาหารมากกว่าผลไม้บางชนิด
สาหร่ายหรือว่านหางจระเข้เสียอีก ใยอาหารที่พบ
ในหัวบุกนั้นเป็นชนิดที่สามารถ ละลายน้ำได้
มีลักษณะเป็นวุ้น ตอนแห้งจะเป็นผลึกคล้ายเม็ดทราย
แต่เมื่อโดนน้ำจะพองตัวออกถึง 30-40 เท่า
คนเอเชียนำพืชชนิดนี้มารับประทานทั้งในรูปของ
หัวบุกและวุ้นบุก ชาวญี่ปุ่นและชาวจีนนิยมทานกันมากทีเดียว
ข้อดีของใยอาหารจากบุกนี้ คือ
จะช่วยทำให้การดูดซึมน้ำตาลกลูโคสเข้าสู่กระแสเลือดช้าลง
ในขณะเดียวกันยังช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดอีกด้วย
คุณสมบัติพิเศษดังกล่าวนี้ได้รับการยอมรับจากวงการแพท
ย์แล้วว่า สามารถช่วยรักษาโรคที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ
อย่างในกรณีของ โรคเบาหวาน โรคอ้วน
และโรคมะเร็งลำไส้ได้ด้วย
ดังนั้นหากเราจะลองประยุกต์หัวบุกหรือวุ้นบุก
ในการทำอาหารว่าจะได้อาหารจานเด่นที่ทั้งอร่อย
ทั้งมีประโยชน์มาก
จากนิตยสารในครัว
โฮ้ยป้าจ๋า ขอบคุณมากเลย ที่เอาข้อมูล และ ภาพมาประกอบให้เห็น กันด้วย น้องพร เกิดมาก็เพิ่งเคยเห็น หัวกลอย เป็นครั้งแรก เลยจ๊ะป้า อื่มดูหัวมันก็ไม่น่ากินสักหน่อย แต่ทำไมอร่อยก็ไม่รู้
แถมเจ้า บุกเนียก็เหมือนกัน น้องยังไม่เคยได้ลิ้ม ชิมรส สักที และก็เพิ่งเคยเห็น เป็นครั้งแรก อีกเหมือนกัน ไปเมืองไทยเที่ยวนี้จะต้องหาโอกาสทดลอง ชิมเจ้าหัว บุก เนียให้ได้ ดูสรรพคุณมากมาย ด้วย
แต่อย่างไรก็จะไม่ไปหากิน แถวจังหวัด สกลนครแน่ป้าจ๋า เห็นชื่อแล้ว ไม่ค่อยกล้ากิน ป้า "บักกะเดื่อ" อิ อิ
น้องชาตำ เราคุยเรื่องมันกัน เราก็เลยได้รู้จัก มัน พันธ์ ต่างๆ เพิ่มขึ้นมาอีก เน้อ แต่เจ้า " มันยกร่อง" เนีย ก็ไม่รู้ รูปร่างหน้าตามันเป็นอย่างไร อิ อิ
ป้าจ๋า นี่นะเพิ่งรู้ว่ากินมันแล้วไม่อ้วน
ความรู้ใหม่ เปลี่ยนจากกินข้าวไปกินมันติดเหงือกดีกว่า
ป้าจ๋า.....โห นี่ยังอุตส่าห์นำเรื่องมาเล่าอีกแน่ะ บอกว่าให้พักก่อนๆ ดื้อนักเดี๋ยวให้ลุงกักบริเวณซะเลย
ขอบคุณมากกกกกกกกกกกก ค่ะสำหรับความรู้และรูปประกอบการเรียนการสอน
เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นหัวกอย หน้าตาคล้ายมะพร้อมแห้งชอบกลนะคะ
แต่อร่อยมาก สมัยนี้หากินยากมากแล้วด้วยค่ะ
ป้าพรคะ.....มันยกร่องนี่ สงสัยจะเป็นพันธุ์พิเศษหรือเปล่าคะ อิอิ
หวัดดีนี่นะด้วยค่ะ.....มารายงานสภาพอากาศแถวบ้านนี่นะหน่อยจิจ๊ะ
(https://www.pallswiss.com/images/old_board/1031211-193026-Picture%20005.jpg)
หัวบุก กะบุก มันบุก มันหัวช้าง แล้วแต่จะเรียกตามความถนัดเคยชินในแต่หล่ะท้องถิ่น เป็นพื้นหัว ล้มลุกพื้นเมืองแถบเอเชีย มีรูปร่างอันกลมแป้น ใหญ่กว่าหัวเผือกหัวมันหลายเท่านัก จัดเป็นพื้นที่มีความหลากหลายทางด้านสายพันธุ์ ภาษาอังกฤษเรียกว่า elephant yam, elephant bread จำแนกพันธุ์บุกจากท้องถิ่นทั่วโลกพบว่ามีประมาณ 170 ชนิด
(https://www.pallswiss.com/images/old_board/1031211-194010-Picture%20007.jpg)
ส่วนของไทยเรานั้น แทบทุกภาคมีหัวบุกอยู่ราว 20 ชนิด แต่มีอยู่ 2 ชนิด ที่ชาวบ้านนิยมนำมาบริโภค.
1. บุกโคราช ใช้ได้ทั้งหัวทั้งต้นอ่อน
2. บุกด่างมีปลูกอยู่แถบตะวันตกของไทย
บุกโคราชนอกจากยังนิยมกินหัวใต้ดินแล้ว ส่วนของต้นอ่อนชาวบ้านยังนิยมมาเก็ฐมาเป็นผักจิ้มน้ำพริก
(https://www.pallswiss.com/images/old_board/1031211-194106-Picture%20006.jpg)
ต้นบุก
บุกแปรรูป เส้นบุก วุ้นบุก
ทำไมรูปไม่ขึ้นงะ หย่ายยยยยไปหรือคับป้า
หวัดดีค่ะคุณนิด........แหม...มีวิชาการในตัวก็ไม่ยอมนำมาให้พวกเราได้ชื่นชม
อย่างงี้ซิ่ถึงจะเรียกรักกันจริง...นะป้าจ๋านะ....
พอเห็นต้นบุก.....ความทรงจำก็บังเกิดค่ะ ว่าเคยเห็นผ่านตามาบ้างเหมือนกัน
ตอนเป็นเด็กยังเคยไปเก็บในป่าเลยค่ะ....แต่ไม่แน่ใจว่าเขาเรียกบุกหรือเปล่า
แต่หน้าตาคล้ายๆ แบบนี้เลยค่ะ ลำตัวลายๆแบบนี้เด๊ะเลย
ขอบใจมากจ๊ะนิดดีจังเลยทำให้ป้าได้เห็นต้นบุกไปด้วย
ไม่เคยเห็นดอกบุกสวยมากเลย เรื่องเส้นบุกป้ายังไม่เคยซื้อกิน
แต่ได้ยินเขาพูดกัน ดอกบุกสวยมากกกกกกกก
(https://www.pallswiss.com/images/old_board/1031213-001155-Clipboard011.jpg)
บุกแปรรูป เส้นบุก วุ้นบุก
น่ากินมากเลยจ๊ะนิด
รูปสุดท้ายคล้ายๆขนมเลย
คุณนิดขา.............ชาดำเคยชิมวุ้นบุกค่ะ
แต่ไม่รู้บุกจริงหรือเปล่า ไม่เห็นลดไขมันเลยอ่ะ
แค่ชิมแต่จะให้ลดไขมัน เหอ เหอ
ขอข้อมูลเกี่ยวกับมันต่อเผือก
ขอวันนี้
หาซื้อหัวบุกที่เชียงใหม่ได้ที่ไหนบ้างคะ ใครรู้แหล่งที่ซื้อช่วยบอกหน่อยนะคะ เพราะต้องการใช้ในการทำงานคะ ขอบคุณมากๆคะ
อยากถามผู้รู้ค่ะ
คือ ดิฉันสนใจจะสกัดสาร Glucomannan ออกมาจากหัวบุกค่ะ
แต่ไม่รู้จะใช้วิธีการสกัดอย่างไร และจะทดสอบได้อย่างไรว่าเป็นสาร Glucomannan บริสุทธิ์ นะค่ะ
ใครทราบช่วยแนะนำด้วยนะค่ะ
ขอขอบคุณ ผู้ใจบุญค่ะ
ทำไมเมื่อทานหัวบุกเข้าไปแล้วจึงมีอาการคันครับ มีสารอะไรทำให้เกิดอาการคันครับ