ตอน4           

                <<<< Trip to Samedan >>>>

Trekking

การเดินทางขึ้นเขาวันที่ 2   วันที่ 2 สิงหาคม 2003

 

CHO D’VALLETTA

Cho  d’Valletta  อ่านว่า โชด วาเล๊ตท่า ตั้งอยู่บนความสูงประมาณ 2493 เมตร

ลุงปลุกให้ตื่นเพื่อลงไปกินอาหารเช้าด้วยกัน ป้าแทบจะคลานลงจากเตียงเพราะเมื่อยมาก บิดขี้เกียจจนกระดูกลั่นกรอบแกรบ  แต่พอเหลือบมองนาฬิกาแล้วต้องแล่นถลาลุกขึ้นจะ8โมงเช้าแล้ว บิดขี้เกียจก่อนไปแช่น้ำอุ่นเอาแรง สดชื่นมากกระชุ่มกระชวยเห็นทันตา ลุงแกนั่งรอหน้าตูมมองดูนาฬิกา จะแต่งตัวสักหน่อยแกด่าใหญ่บอกแค่ไปกินอาหารเช้าไม่ได้ไปเข้าประกวดกับใคร เซ็งมากเลยคว้ากางเกงใส่กับเสื้อยืดผมเผ้าแค่สางๆเอา ส่วนทีแกแต่งซะหล่อเช้งวับเลย

ในห้องกินอาหารมีคนไม่มากเท่าไรแต่อาหารบกพร่องไปมากแสดงว่ามีคนเข้ามากินแต่เช้า สาวผมทองหน้าเดิมคนเดิมวิ่งรอกทำงานไปมารวมทั้งคนทำความสะอาดห้องด้วย เห็นวิ่งกันแค่สองคน หลังจากหาที่นั่งตรงมุมห้องได้แล้ว  ที่หามุมแบบนี้เพราะเราชำนาญมากเวลาคาบของกลับบ้านคนไม่ค่อยเห็นตอนยัดใส่กระเป๋า เราพากันไปตักอาหารหอบมาซะเต็มเลยไม่ใช่อะไรหรอกจะคาบด้วยน่ะ นี่แหละนิสัยไทยไปไหนกินแล้วคาบ ลุงด่าที่เห็นป้าหอบแบบนี้ว่าแย่มากฝรั่งเมืองแห่งอารยะธรรมเขาไม่ทำกัน แต่แกนั่นแหละหอบพวกขนมปัง ไข่ต้ม เนื้อแฮมเข้าเป้ป้า สงสัยงวดหน้าไปพักใหม่เขาคงไล่ออกจากโรงแรมแน่ๆ

ระหว่างที่กินอาหารอยู่มีผู้หญิงสาวคนผมดำเดินเข้ามานั่งกินข้างหลังดีใจมากนึกว่าคนไทยไปทักกลับกลายเป็นคนฟิลิปปินส์ ใครเห็นคนผมดำๆแล้วเขาไม่ยิ้มหรือทักเราอย่าหาว่าเขาหยิ่งนะเพราะไม่ใช่คนไทย  ป้ากำลังฟัดไข่ลวกที่เขาลวกจนปาหัวหมาร้องเอ๋งๆคือแข็งมากอยู่ เสียงลุงร้องดังขึ้นว่าแกต้องเขียนให้รู้ไอ้เมนูอาหาร 4 จังหวะช้ามากจนจะหลับคาชาม อยากให้เขาใช้จังหวะไวกว่านี้แกคงแค้นใจมากเพราะไม่ได้ไปดูไฟ  หลังจากกินเสร็จเรารีบกลับเข้าห้องไปเตรียมข้าวของเครื่องใช้สำหรับการเดินเขาวันนี้  ลุงยัดของที่คาบมาใส่เป้ รายการทัวร์วันนี้โหดมากเพราะทั้งสูงและชัน

เราออกจากโรงแรมประมาณ 10 โมงกว่าเดินกระย่องกระแย่งกันเพราะเหนื่อยจากเมื่อวาน ระหว่างทางที่เดินลุงแกสอดส่ายสายตาหาคนโชคร้ายที่มีหน้าตาไม่โนะเนะหลงทางมาเพื่อถามทางไป Cho d’Valletta  เย้ๆโชคดีมากสำหรับแกแต่โชคร้ายเป็นของอีตาคนนี้ เป็นผู้ชายอายุยังน้อยอยู่ประมาณ ร่วม 30 ปี หน้าตาบอกยีห้อว่าเป็นคนที่นี่ มีผมหยิกหยอง หน้าเรียวยาวคล้ายพวกชาวโรมันเก่าที่ตกค้างกลับบ้านไม่ถูก  ลุงถามๆจนพี่แกบอกตอบคำถามมั่วไปหมด เพิ่งรู้ว่าที่เราทำทัวร์เมื่อวานเป็นทัวร์ที่โหดมากขนาดแกอยู่ที่นี่ยังไม่เคยไปเดินเลยเพราะถ้าใครเดินเขาเส้นทางนี้จะต้องเดินรุดหน้าห้ามหันหลังกลับ ถึงว่าตั้งแต่เดินทางกันไม่เคยเจอหน้ามนุษย์เลย แต่ทัวร์ที่เราจะทำกันวันนี้ แกทำมาแล้วบอกสวยมาก เส้นทางตอนแรกโหดหน่อยเพราะทางที่เดินจะสูงชันแต่คุ้มกับการชมวิวข้างบน

เราต้องเดินใช้เส้นทางไปที่โบสถ์ St. San Peter ตั้งอยู่บนความสูง 1795 เมตร เป็นโบสถ์เก่าแก่มากชาวโรมสร้างไว้โบสถ์นี่ดูสวยสง่ามาก และต่อจากนั้นเขาจะมีแผนที่บอกทางเดินปักไว้ให้คนอ่าน ระหว่างทางที่เดินไปยังโบสถ์St.San Perter ป้าปวดท้องเยี่ยวมากจนลุงด่าว่าเป็นโรคแฉะ คนปวดท้องเยี่ยวแล้วไม่ได้เยี่ยวนี่จะรู้ว่าเป็นอย่างไร ป้าต้องเดินขมิบไปตลอดทางจนถึงโบสถ์ St. San Perter เราเปิดประตูเข้าไปข้างในเพื่อหาส้วม โบสถ์ที่นี่แทบทุกแห่งจะมีการบริการเรื่องน้ำรดต้นไม้หน้าหลุมศพและส้วม

ไม่มีอะไรเลยนอกจากหลุมฝังศพที่อยู่ข้างๆ หลุมฝังศพพวกนี้ถ้าคนที่ตายลงไปคนที่ยังอยู่จะต้องไปแจ้งกับเขตที่ตัวเองอยู่เขาจะหาหลุมศพให้ซึ่งหลุมพวกนี้มีอายุประมาณ 25 ปีถ้าเราต้องการต่ออายุก็จ่ายเงินเขา ถ้าเราไม่แจ้งต่อเขาจะทำการล้างป่าช้าให้คนตายคนใหม่ลงหลุมแทน บางคนต้องการความสบายไม่อยากมาสุสานบ่อยๆก็จะจ้างคนทำสวนของสุสานให้มารดน้ำพรวนดินให้  ค่าหลุม ค่าป้ายชื่อปัก ค่าดูแลแพงพอสมควรและแล้วแต่เราต้องการอย่างไร  แต่ก็มีการบริการให้ฟรีนะแบบอนาถารวมกับคนอื่นเขาจะแค่เขียนชื่อติดไว้ข้างฝาให้รู้ว่าเด๊ดซะมอเร่แล้ว สุสานเมืองฝรั่งสวยมากขอบอกเหมือนสวนเลย คนตายก่อนที่เขาจะเอาไปเผาหรือเอาไปฝัง เขาจะเปิดห้องให้คนไปเยี่ยมครั้งสุดท้ายเปิดให้ชมเป็นเวลา ห้องเย็นมาก ป้าชอบเดินไปดูคนตายข้างในบ่อยๆถ้าคนกลัวผีอย่าไปนะขอบอก เรารีบเดินออกจากสุสานเพื่อหาทางเข้าป่าป้าจะไปทำธุรกิจส่วนตัว  ระหว่างที่เดินป้าเห็นเขากำลังเอาส้วมใหม่มาลงจากรถบรรทุกเป็นตู้สีแดงขีดเหลือง ลุงบอกให้รอถ้าขืนป้ารอสงสัยเยี่ยวราดกางเกงแน่ๆหลับหูหลับตาจ้ำเดินจนไปจนเห็นกองไม้ กำลังเยี่ยวเพลินคนเดินมาแทบใส่กางเกงไม่ทัน

Trekking

ทางที่เดินสูงชันเหมือนที่เขาบอกและแคบพอควรเดินโค้งไปมายิ่งเดินยิ่งสูงชันมาก  ป้าเดินขากางเลยเพราะยังเหนื่อยจากเมื่อวาน ลุงแกต้องช่วยฉุดด้วยไม้เท้าเส้นทางเส้นนี้ถ้าไม่มีไม้เท้าเข้าช่วยสงสัยกราบลาแน่ๆ

ระหว่างทางสายที่เดินขึ้นบนเขา สายเป้ห้อยคล้องไหล่ลุงขาดต้องใช้เวลาซ่อมนานเสียเวลาไปร่วม 20 นาทีโชคดีที่ป้ามีที่เย็บติดตัวมาด้วยเลยซ่อมได้  ป้าถึงบอกว่าเราต้องเตรียมตัวให้พร้อมถ้าขึ้นเขา  ทางที่เดินเริ่มดีขึ้นจนกระทั่งเห็นควันไฟจึงรู้ว่าเราเริ่มขึ้นมาถึงข้างบนเขาแล้ว

ข้างบนมีบ้านชาวนาและมีม้านั่งอยู่ 2 อันให้คนมานั่งชมวิว บ้านชาวนาหลังที่เห็นนั้นเขาเอามาทำเป็นที่พักให้คนเดินเขามาพักค้างแรม ผู้ชายที่กำลังก่อไฟควันโขมงที่เห็นเป็นชาวเยอรมันมาพักค้างแรมร่วมอาทิตย์แล้ว เขาบอกลุงว่าถ้าอยากดื่มนมจากวัวสดๆต้องเดินไปข้างหน้าตกร่วมชั่วโมงจะมีบ้านชาวนาที่เขาเปิดบริการ ลุงสั่นหน้าด๊อกแด๊กดื่มนมกล่องเราดีกว่า  ป้านั่งกางร่มกินอาหารแต่ลุงแกชอบนั่งตากแดดหัวแดงปล่อยแก ขณะที่กำลังนั่งกินอยู่มีคนเดินมาไม่รู้ว่าหลงมาจากไหนมาถามทางเรา  คนถามคงไม่ได้มองหน้าเลยหลวมตัวมาถาม  ลุงได้โอกาสเลยถามเขาด้วย ตกลงเขาคงเซ็งมากเลยไปกางแผนที่ดูทางเอาเอง หลังจากกินอาหารอิ่มแล้วเรารีบเก็บของเพื่อเดินทางต่อยังไม่รู้ว่าหนทางข้างหน้าเป็นอย่างไรบ้าง

ทางที่เราเดินชื่อ Peida Grossa บนเทือกเขา Alp Muntatsch เขตนี้มีทางเดินให้เลือกแต่เราเลือกทางเดินไปที่ Marguninอยู่สูงประมาณ  2420 เมตร

ทางที่เดินแคบมากต้องระวังสุดๆมัวเหล่ชมวิวทิวทัศน์ตกไปอยู่ข้างล่างไม่มีใครตามไปเก็บหรอกนะ  ทางบางแห่งจะเป็นก้อนหินเล็กๆซึ่งเป็นอันตรายมากคนเดินเขาจะรู้จักกันดี ทางที่เดินมาไม่มีต้นไม้เลย เท่าที่เห็นมีวัวแค่กลุ่มเดียวจำนวนไม่กี่ตัวเอง  ทางสายนี้ถ้าเทียบกับทางเดินเมื่อวานจะต่างกันมาก วันนี้เดินยังได้เห็นทิวทัศข้างล่างที่เป็นหุบเขา Val Bever

Val Bever

เราเดินเลาะเขา Alp Muntatsch ตั้งอยู่บนความสูง 2186 เมตร เขตนี้มีทางให้เลือกเดินไปยังสถานที่ต่างๆแล้วเรา แต่เราต้องการกลับไปยังSamedan

Alp Muntatsch

ทางที่เราเลาะเดินลงข้างล่างเป็นทางเดินที่เก่าแก่มาก ทางเล็กแคบนิดเดียวขนาดเดินและวางได้แค่2ตีน ถ้าไม่ระวังจะสะดุดตกเขาได้ง่ายๆ และมีแต่ก้อนหิน ทางอันนี้ยาวมากเดินจนเกร็งไปหมด จุดหมายปลายทางที่เห็นข้างล่างคือหมู่บ้าน  SAMEDAN  การเดินเขาเส้นทางนี้ห้ามแซงกันเด็ดขาด ระหว่างทางที่เดินลงมีต้นไม้ขึ้นส่วนมากจะเป็นต้นสน เส้นทางนี้มีคนเดินกันมากและมีม้านั่งให้นั่งพักหรือกินอาหารกัน ระหว่างทางที่ไหลลงปรากฏว่า  ไม้เท้าป้าคงใช้งานมากไปถึงกับหักเลย

ลงมาถึงตรงเนินเขาต้องการย่นระยะทางให้สั้นลงเลยใช้วิธีโหนต้นไม้ลงกันและกระโดดลงข้างล่าง  โชคดีมากที่ไม่สูง หลังจากนั้นเราก็ย่นระยะทางเดินตัดทุ่งหญ้าที่ชาวนาตัดไว้ แต่แล้วใจหดหู่มากเพราะทางที่เดินลงชันมากและมีน้ำไหลผ่านความกว้างร่วมเมตร เลยพยายามอ้อมกระโดดข้ามจุดนี้  หลังจากตะเกียกตะกายขึ้นเนินเขาเราดีใจมากที่เห็นโรงแรมอยู่ไม่ไกลจากจุดที่เราเดิน ข้างทางที่เดินผ่านคนงานกำลังก่อสร้างบ้านกันอยู่เห็นทำงานกันเชื่องช้ามากไม่เหมือนเขตที่ป้าอยู่ทำงานกันไวมาก  มาถึงโรงแรมประมาณ  4 โมงเย็นเรารีบไปเอากุญแจมาและกลับห้องพักเหนื่อยมาก สิ้นสุดกันเสียทีกับการเดินเขา 2 วันเต็ม ป้านอนแผ่สองสลึงบนเตียงแต่ลุงแกยังซ่าอยู่บอกจะไปซื้อของกินที่COOP เป็นร้านค้าขายของทุกกอย่าง ป้าไปอาบน้ำและนอนดูทีวีรอแกจนหลับคาที่กด  มาสะดุ้งตื่นอีกทีตอนแกร้องเรียกให้เปิดประตู  แกหายไปตั้งนานได้ผลไม้มา2อย่างและน้ำดื่มอีก 1 ขวด ที่หายไปนานแกบอกมัวไปฝอยกับสาวๆ

เย็นนั้นเราพากันออกไปชมดูเมือง Samedan มีสถานที่น่าสนใจหลายอย่าง บ้านเรือนที่ปลูกโรแมนติคมากทรงแองกาดิน

Chesa Plantaสร้างในสมัยปี 1600ทำเป็นห้องสมุด

Evangelische Dorfkirche เป็นโบสถ์ที่สารคดีกำหนดให้เป็นของสงวนปี 1770/1771และเป็นหลักเขตของSamedan

ประเพณีหน้าหนาว    ชุดแต่งกาย

   

Nusstorte                                                  หน้าต่างของบ้านสะไตEngadin

ขนมขึ้นชื่อของเขตนี้  Nusstorte ทำมาจากเนยสด แป้ง Caramel  ถั่วและน้ำผึ้งอร่อยมาก

เดินชมเมืองจนเย็นมากเลยรีบไปหาของกินกัน เย็นนี้ลุงไม่ยอมไปกินที่โรงแรมคงเข็ดเมนู 4 จังหวะมาก และคงเข็ดราคากาแฟและเหล้าไวน์ เราพากันเดินดูป้ายราคาที่ถูกที่สุดยังหาไม่เจอ


“Pall ชั้นเจอแล้วอาหารมันถูกที่สุดอย่างอื่นแพงมาก ชั้นจะกินร้านนี้อาหารถูกมากนี่ขนาดมาเที่ยวยังขนาดนี้ถ้าอยู่บ้านคิดดูเอาเองก็แล้วกันว่าขนาดไหน ตระกูลนี้เป็นอย่างไรเรียกว่าขี้ต้องใช้กรรไกรตัดเลย ตกลงเราเข้ามากินร้านนี้ คนเสิร์ฟมี2คน เป็นสาวนางหนึ่งเหน็บปากกาตรงหน้าอกเหี่ยวๆ และอีกคนสูงอายุเหน็บปากกาที่เดียวกันคนนี้หน้าอกยิ่งเหี่ยวมากกว่าสาวคนแรก  สงสัยร้านนี้มีแต่คนหน้าอกเหี่ยวแบบขาดอาหารหรือวิ่งบริการคนจนผอม เห็นมีแค่ 2 คนเอง  เขาเอาเมนูมาให้สั่งและถามว่าจะดื่มอะไรไหมแต่เราบอกรอก่อน  สองเราดูแต่ราคาที่เขาแปะไว้ข้างหลังก่อนแล้วถึงจะเลื่อนมาดูข้างหน้าว่าเป็นอาหารอะไร ถ้าไม่ชอบก็เลื่อนใหม่  ตกลงลุงแกสั่งมันผัดหน้าตาแกยาวจะเป็นมันเทศฝรั่งแล้ว ของป้าRavioli กัดฟันสั่งราคาแพงมากถึง10 สวิสฟรังก์

ของลุงแค่ 9สวิสฟรังก์  เขามาถามเราใหม่ว่าจะดื่มอะไร ตอนแรกเราบอกยังไม่สั่งเพราะถ้าสั่งตอนแรกแล้วมันหมดไวไง เลยมาสั่งตอนหลังพร้อมอาหารจะได้ประหยัด  บอกแล้วไงร้านค้าทุกแห่งต้องเจ๊งแน่ๆถ้ามีลูกค้าแบบเรา   เดินกลับโรงแรมอย่างผู้ชนะ ไปหยิบกุญแจไม่มีใครอยู่เลย  เปลี่ยนเสื้อผ้านอนดูทีวีคนเดียวเพราะลุงหลับไปก่อนกรนเสียงดังลั่นไปหมด ป้านอนดูหนังดูไปดูมาหลับไม่รู้ตัว

 

วันที่ 3 สิงหาคม 2003

อำลา SAMEDAN

เช้านี้เราพากันเดินตัวลีบดูลู่ทางว่ามีใครบ้าง คนมากผิดปรกติเต็มหาที่นั่งแทบไมได้ เราไปได้ที่นั่งด้านหลังสุดอยู่ติดหน้าต่าง ทุกคนในห้องกินอาหารเช้าล้วนแต่หน้าตูม ส่วนมากมาจากเยอรมัน เรารีบกินอาหารเช้ากันเพราะจะต้องกลับไปจัดของเข้ากระเป๋าเตรียมกลับบ้าน วันนี้คาบอีกตามฟอร์มเดิมแต่ของที่คาบน้อยกว่าเมื่อวานนี้ เพราะของเขามีน้อย  เพิ่งจะเห็นเจ้าของโรงแรม แกมีหน้าตาคล้ายเสี่ยชูวิทย์ที่ดังจากการอุ้ม  ถึงเวลาแล้วเราลงมาข้างล่างคืนกุญแจและแจ้งถึงการกลับ ทุกอย่างเรียบร้อย  เดินทางด้วยเส้นรถไฟสายเดิมและวิ่งกระเซอะกระเซิงขึ้นรถไฟเหมือนเดิม   กว่าจะถึงบ้านร่วม 18.00นใช้เวลากับการเดินทางรถไฟ จาก Samedan มายัง Koeniz ร่วม 5 ชั่วโมง Home Sweet Home

Goodbye
Ade
A bun ans vair a revair

ลาก่อน
Samedan

Copyright © 2003 Pallswiss All Rights Reserved