การขอวีซ่าเยี่ยมญาติ ( Visitor Visa )

Previous topic - Next topic

pall

**การการันตรีของคนที่เชิญแขกมาพัก**
 
 1.ทำประกันสุขภาพให้แขก...(ถ้าไม่มีเงินสดรับรอง)
 2.ถ้ามีเงินสดรับรองจำนวน20,000สวิสฟรังก์
 ก็สามารถนำใบแสดงยอดเงินของ3เดือนสุดท้ายมายื่นแจ้ง
 แทนการทำประกันสุขภาพ
 (การแสดงยอดเงินสุดท้ายไม่ทราบว่าแต่ละแห่งเหมือนกันไหม)
 
 **พอแขกเดินทางมาถึงสวิตฯแล้ว**
 คนเชิญไปแจ้งต่อเขตที่อยู่ว่าแขกที่เราเชิญ
 ได้เดินทางมาถึงสวิตฯเรียบร้อยแล้ว
 ตอนนี้เราจะต้องยื่นประกันสุขภาพหรือยอดเงินสด
 เพื่อเป็นการการันตรีแขกที่เราเชิญมาตามที่เขาบอกไว้
 ให้ทางเขตที่อยู่...และพร้อมทั้งจดหมายที่เราต้องเขียนบอก
 เขาว่าถ้าวีซ่าของแขกที่เราเชิญมาหมดอายุต้องกลับแน่นอนไม่อยู่ต่อ
 พอทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว...ทางเขตจะออกใบAusweis Lชั่วคราวมาให้
 
 **พูดถึงการขอต่อวีซ่าอยู่ต่อ**
 บางคนขอวีซ่ามาแค่3เดือนแต่สามารถขอต่อได้อีก3เดือน..
 การขอแบบนี้ขึ้นอยู่กับเขตที่อยู่....บางคนเคยขอได้มาแล้ว
 บางคนอาจได้รับการปฏิเสธ
 

pall

ที่ป้าเขียนมาข้างต้นนี้เป็นการเชิญแขกทางเมืองไทยมาเที่ยวที่นี่
 ของป้าเท่านั้นนะไม่เกี่ยวกับใคร
 ป้าไม่ทราบว่าคนอื่นๆทำแตกต่างกับที่ป้าทำมาหรือไม่
 หรือต้องเขียนจม.เชิญส่งไปให้ทางสถานฑูตสวิสทางเมืองไทย
 
 ขอขอบคุณคนที่เข้ามาช่วยเขียนเล่าถึงการเชิญแขก
 มาพักที่นี่..ยอมรับว่าสนใจมากจริงๆอยากรู้ว่าแต่ละเขต
 ทำแตกต่างกันแค่ไหน
 ขอขอบคุณล่วงหน้าค่ะ

pall

วันนี้ได้คุยกับคนไทยหลายๆคนและกำลังจะนำน้องมา
 ต่างก็ต้องเขียนจดหมายเชิญแบบที่จิ๋วจิ้ว บอกมา
 เขาบอกว่าขอไม่ง่ายเหมือนสมัยก่อน
 อีกคนบอกว่าขนาดเขาถือพาสสวิส(หย่าแล้ว)แต่ทำงานแค่50%
 และทำประกันเจ็บป่วยยังเชิญน้องมาที่นี่ไม่ได้เลย
 ทางสถานฑูตสวิสทางเมืองไทยไม่ออกวีซ่าให้
 
 เมื่อ2วันก่อนป้าไปถามจากเขตที่อยู่
 ถึงได้ความรู้ใหม่ว่าสถานฑูตสวิส
 ที่เมืองไทยมีสิทธิในการตัดสินใจต่อการออกวีซ่า
 ว่าจะให้หรือไม่ให้..ถึงแม้ว่าตม.
 Migrationsdiest des Kts. Bern
 จะผ่านการตรวจสอบและอนุญาติแล้วก็ตาม
 
 ขอบคุณจิ๋วจิ้วอีกครั้งที่นำข้อมูลทั้งหมดมาบอก
 เป็นความรู้ต่อคนทั่วๆไป

นิด ( แม่ลูกหมูสามตัว )

ขอบคุณป้าสำหรับข้อมูลเพิ่มเติม นี่พึ่งรู้นะค่ะว่า สถานฑูตสวิส
 ที่เมืองไทยมีสิทธิในการตัดสินใจต่อการออกวีซ่า เพราะที่ผ่านมาเข้าใจว่า สิทธิ์ขาดอยู่ที่Bern เท่านั้น
 
 

pall

ป้าก็เพิ่งรู้จากเขตที่อยู่  ป้าก็เคยเข้าใจแบบนิดนี่แหละว่า
 สิทธิขาดอำนาจการตัดสินใจอยู่ที่Bernแห่งเดียว
 เขาบอกว่าถึงแม้Migrationsdiest des Kts. Bern
 อนุญาติแล้ว  แต่ถ้าทางเมืองไทยปฎิเสธไม่ออกวีซ่าให้
 ทางนี้ก็ทำอะไรไม่ได้.
 

เกี๊ยว

โทรไปถามเรื่องผลวีซ่านี่ต้องโทรไปกี่โมงคะ
 หนูงงมาก โทรไปช่วงเช้า เค้าบอกว่าแผนกวีซ่ายุ่งมากให้โทรใหม่ช่วงบ่าย
 โทรไปตอนบ่ายสองเค้าบอกว่าโทรเชคผลวีซ่าให้โทรตอนบ่ายสี่
 โทรตอนบ่ายสี่แผนกวีซ่าปิดแล้ว
 
 หูหนูผิดปกติรึพี่เค้าบอกผิดอะ โทรมาสองวันละยังไม่ได้เรื่อง โทรติดยากด้วย สายไม่ค่อยจะว่างเลย
 
 
 ++เพิ่มเติมอีกนิดนะคะ เอกสารตอนไปขอวีซ่าครั้งแรก คนที่เป็นนิสิต นักศึกษา เค้าจะขอใบรับรองสถาพความเป็นนิสิต-นักศึกษาด้วยอะค่ะ++

pall

สวัสดีจ๊ะเกี๊ยว
 ขอบใจมากจ๊ะสำหรับข้อมูลที่บอกมา
 อย่างที่เกี๊ยวบอกมา
 อาจจะเป็นช่วงที่คนยื่นคำร้องขอวีซ่ามาสวิตฯกันเป็น
 มีจำนวนมาก เจ้าหน้าที่อาจจะยุ่งเกี่ยวกับเอกสารต่างๆ
 ไม่มีเวลาพอที่จะมาตอบคำถามหรือให้ข้อมูลเราได้
 
 ป้าเห็นใจทั้งสองฝ่ายมากจริงๆเพราะคนที่เดือดร้อนต้องการ
 คำตอบที่ต้องการทราบผลของวีซ่า..แต่ไม่ได้รับคำตอบ
 แบบนี้ป้าก็เข้าใจถึงความหงุดหงิดอย่างมาก
 เกี๊ยวลองโทรไปใหม่หลายๆครั้ง
 ไม่แน่อาจจะโชคดีช่วงที่เจ้าหน้าที่ว่างก็ได้
 เอาใจช่วยจ๊ะ
 
 รอคนอื่นที่มีประสบการณ์หรือเคยเจอปัญหาแบบนี้เข้ามาช่วยตอบ
 ขอบคุณมากค่ะ
 
 

เกี๊ยว

ขอบคุณค่ะป้าพอล
 
 หนูไปถามที่สถานฑูตด้วยตัวเองแล้วล่ะค่ะ
 น้องคนข้าง ๆ ก็ท่าทางอารมณ์เสียบ่นว่าโทรไม่ติดเหมือนกัน ^^

pall

ตกลงเกี๊ยวรู้ผลของวีซ่าแล้วไชไหมจ๊ะ
 ตกลงเป็นวีซ่าของน้องหรือของเกี๊ยวจ๊ะ
 เอป้าถามมากไปหรือเปล่านี่เพราะยังงอยู่ค่ะ
 ถ้าถามมากไปขอโทษด้วยนะคะ

แม่จิ๋วจิ้ว สยิวกิ้ว

สวัสดีค่ะ แม่จิ๋วจิ้วฯ มาแล้วค่า โทษทีค่ะที่เข้ามาตอบช้าไปหน่อย เพิ่งจะพิมพ์ไทยได้วันนี้เอง
 
 ขอบคุณ คุณป้า Pall มากนะคะที่มาแลกเปลี่ยนความรู้กัน
 
 คุณข้าวจ้าวคะ แม่จิ๋วจิ้วฯว่าเขียนเป็นภาษาเยอรมันจะดูดีกว่านะคะ  หรือจะภาษาอังกฤษก็ได้  แฟนแม่จิ๋วจิ้วฯเขียนมาเป็นภาษาอังกฤษทุกที ทั้งที่เขาพูดเยอรมัน  ส่วนการเดินเรื่อง 1 เดือนก่อนเดินทางน่าจะกำลังดีค่ะ จะได้ไม่รีบร้อนมาก  อย่างเร็วสุดก็ประมาณ 10 วัน ( สถิติแม่จิ๋วจิ้วฯ ) วีซ่าจะระบุวันเริ่มต้นตามวันที่เดินทางที่ระบุในตั๋วค่ะ  เพราะฉะนั้นเขาจะยังไม่ออกวีซ่าให้ ตราบใดที่เรายังไม่มีตั๋วตัวจริงไปแสดงค่ะ
 
 คุณเกี๊ยวคะ ดีใจด้วยนะคะที่ได้วีซ่าแล้ว
 
 คุณเราก็หญิงไทย  ขอบคุณมากค่ะที่แวะเข้ามา โดยส่วนตัวแล้วแม่จิ๋วจิ้วฯว่า คนที่ต้องทำงานติดต่อกับคน ต้องเป็นคนที่รักคนด้วยกัน  ต้องมีใจรักที่จะบริการคน  ไม่งั้นย้ายไปทำงานอื่นดีกว่า แบบที่ไม่ต้องเจอคน  แม่จิ๋วจิ้วฯเกลียดจริงๆคนที่มองคนด้วยสายตาดูถูกแบบนั้น  ถึงคนที่ไปขอวีซ่าจะเป็นโสเภณีที่ต้องการไปขายที่นาจริงๆก็เถอะ เขาก็ไม่สมควรได้รับการดูถูกแบบนั้น
 
 คุณนิด ( แม่ลูกหมูสามตัว ) ดีใจจังที่คุณนิดอุตส่าห์แวะเข้ามาคุยด้วย  

เกี๊ยว

วีซ่าของหนูเองค่ะ วีซ่าเยี่ยมญาตินะคะ น้องข้าง ๆ ที่บ่นคือน้อง(ที่หนูไม่รู้จัก แต่เค้าอายุน้อยกว่าน่ะค่ะ)
 ช่วงนี้แผนกวีซ่ายุ่ง คนเยอะเชียว เลยโทรติดยากหน่อย
 ถ้าโทรไม่ได้จริง ๆ ก็เข้ามาพร้อมพาสปอร์ต + ตั๋วเลยก็ได้ ถ้าวีซ่าออกจะได้ทำใบรับไปเลยทีเดียว
 
 ตอนไปทำ แม่ย้ำมาก ๆ ว่าห้ามใส่กระโปรงสั้น อย่าแต่งหน้า รึแต่งอ่อน ๆ ไป แต่งตัวสุภาพ เพราะบางทีเค้าดูจากการแต่งตัวแล้วไม่ให้ผ่าน
 
 หนูไปครั้งแรกก็อึ้ง ๆ ทำไมหน้าบึ้งจัง ขึ้นชื่อว่าสถานฑูต น่าจะยิ้มแย้ม สุภาพกว่านี้ ก็เข้าใจ แต่คิดว่าน่าจะทำดีกว่านี้ได้ง่ะ

pall

ดีใจด้วยจ๊ะเกี๊ยวกับการเดินทางมาที่นี่
 ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพนะจ๊ะ

ตุ้ม

สวัสดีทุกๆคนค่ะ  ดีใจดัวยที่น้องเกี๊ยวจะได้เดินทางแล้ว  โชคดีนะคะ

แม่จิ๋วจิ้ว สยิวกิ้ว

สวัสดีค่ะ  แม่จิ๋วจิ้วฯขอเขียนเพิ่มเติมเกี่ยวกับการสัมภาษณ์ค่ะ
 
 ตอนเอาเอกสารไปยื่นครั้งแรกที่เคาน์เตอร์  เจ้าหน้าที่จะขอเงินก่อนเลย เป็นค่าสมัครขอวีซ่า 1,800 บาท ( เงินจำนวนนี้เราจะไม่ได้คืน ไม่ว่าจะได้หรือไม่ได้วีซ่า  คิดดูู วันๆนึง สถานทูตได้ตังค์ตั้งเท่าไหร่ หักค่าจ้างให้เจ้าหน้าที่หน้าตาเป็นมลพิษมาทำงานแล้วยังเหลืออีกตั้งเยอะ )
 
 หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่จะเปิดเอกสารดูู  พิมพ์ชื่อเราลงในคอมพิวเตอร์เพื่อตรวจสอบว่าเราเคยเข้าประเทศสวิสหรือไม่  ถ้าเคย เคยกี่ครั้ง  แต่ละครั้งมีใครเป็นสปอนเซอร์  กลับตามเวลาที่กำหนดหรือไม่ ( ตอนแรกแม่จิ๋วจิ้วฯก็สงสัยว่าเขาคลิกไปคลิกดูอะไร  พยายามเขม้นมองที่จอถึงได้รู้  ตอนแรกนึกว่าเขาคลิกตรวจสอบประวัติอาชญากรรมซะอีก...หุหุ )
 
 คำถามที่เคยโดนถาม  เท่าที่พอจำได้มีดังนี้ค่ะ
 
 ไปสวิสครั้งแรก ( แฟนเพื่อนเป็นสปอนเซอร์ให้, คนรับเอกสารและสัมภาษณ์เป็นเจ้าหน้าที่ผมยาว ) : ไปทำไม ( ไปงานแต่งเพื่อนค่ะ ), เพื่อนชื่ออะไร ( ...ค่ะ ), แต่งกับใคร ( ...ค่ะ ), ที่ไหน ( เจนีวาค่ะ ), จะไปอยู่กี่วัน ( 2 อาทิตย์ค่ะ )
 
 ไปสวิสครั้งที่ 2 ( แฟนเราเองเป็นสปอนเซอร์ให้, คนรับเอกสารและสัมภาษณ์เป็นเจ้าหน้าที่ผมซอยสั้น หน้าเด็ก แต่โหด ) : เคยไปสวิสมากี่ครั้ง ( ครั้งเดียวค่ะ ), ไปทำไม ( ไปงานแต่งเพื่อนที่เจนีวาค่ะ ), คราวนี้ไปเมืองอะไร ( เมือง...ค่ะ ), ไปทำไม ( ไปเยี่ยมเพื่อนชาวสวิสชื่อ...ค่ะ - ตอนนั้นไปกล้าบอกว่าไปเยี่ยมแฟน  คิดไปเองว่าอาจได้วีซ่ายาก ซึ่งจริงๆไม่เกี่ยว คิดมากไปเอง ), ตอนนี้ทำงานอะไร ( ถ้าทำงานหลายอย่าง ก็ตอบอย่างเดียวที่เป็นรายได้หลักก็พอ  แม่จิ๋วจิ้วฯทำงานหลายอย่าง บอกเจ้าหน้าที่หมดทุกอย่าง  แทนที่จะดี กลับกลายเป็นว่าทำให้เจ้าหน้าที่สงสัยว่าเราทำงานอะไรกันแน่ ), ใ้ช้ภาษาอะไรสื่อสารกัน ( อังกฤษค่ะ ), คราวนี้เลยโดนถามเป็นภาษาอังกฤษแทนว่า how did you know him ?, when did you meet him the first time ?, where ?, how many times he came back to see you in Thailand after the first time ?, what is his job ?, where will you stay in Switzerland ?, how long will you stay in Switzerland ?  ( ซึ่งเราต้องตอบเป็นภาษาอังกฤษ... )
 
 ไปสวิสครั้งที่ 3 ( แฟนเราเองเป็นสปอนเซอร์ให้, คนรับเอกสารและสัมภาษณ์เป็นเจ้าหน้าที่ผมยาว  ) : ทำไมมีชื่อสปอนเซอร์ครั้งนี้เป็นคนละคนกับครั้งแรก ( ประมาณว่าสงสัยว่าเรามีแฟนใหม่เหรอ เราตอบไปว่า คนแรกเป็นสามีเพื่อน แต่คนนี้เป็นแฟนเรา ), เพื่อนชื่ออะไร  สามีเพื่อนชื่ออะไร ( แล้วเธอก็คีย์ดููข้อมูลของสองคนนี้ในคอมพิวเตอร์ ว่าเป็นสามีภรรยากันจริงหรือไม่ ), หลังจากนั้นเปลี่ยนเป็นถามภาษาอังกฤษแทนว่า how many times time your boyfriend come to Thailand ? when was the last time he travel Thailand ? why do you want to go to Switzerland again ? ( ซึ่งเราต้องตอบเป็นภาษาอังกฤษ...คำถามหลังสุด  แม่จิ๋วจิ้วฯตอบไปว่า I miss him แล้วเจ้าหน้าที่ก็หยุดถามเลย...หุหุ )
 
 สรุปว่า  ไม่ต้องเกร็ง  ตั้งสติให้ดี  เขาถามอะไรก็ตอบไปตามตรง  แม่จิ๋วจิ้วฯคิดว่าเขาคงถามหยั่งเชิงดููว่า เรารู้จักกันจริงๆเป็นแฟนกันจริงๆหรือเปล่า  หรือเป็นแค่แฟนอุปโลก (นายหน้าหาให้) เพื่อหาโอกาสไปทำงานในประเทศสวิส
 

พรหล้า

พรหล้าเป็นคนหนึ่งที่ไม่เคยมีปัญหาวีซ่าเลย ขอเข้าประเทศไหนก็ผ่านซะงั้น ผ่านแบบไม่ต้องตอบคำถามเจ้าหน้าที่ด้วยค่ะ มีประเทศเดียวที่ลองขอแล้วเจ้าหน้าที่ห่วยแตกมาก ขอกับสามีค่ะ หมดอารมณ์เลย
 ประเทศที่ว่านี้ต้องกรอกเอกสารทั้งหมด 7 แผ่น ถือว่าเยอะมาก แล้วก็รอคิวยาวเหยียด เมื่อถึงคิว พรหล้าก็เข้าไปกับสามีจะมีเจ้าหน้าที่ไทยคนหนึ่งและเจ้าหน้าที่ชาวต่างชาติคนหนึ่งเป็นพวกผิวดำและใจดำ
 เค้าให้เรายื่นเอกสารทั้งหมด ทั้งโฉนดที่ดิน(สถานทูตนี้เอาทุกอย่างที่เป็นทรัพย์สินมีค่าต้องยื่นไม่ว่าจะโฉนดที่ดิน โฉนดบ้าน บัญชี) พอยื่นให้แล้วเค้าก็สัมภาษณ์ เค้าบอกว่าเค้าไม่เชื่อว่าพรหล้าแต่งงานกับแฟนจริง ทั้งๆที่ยื่นทะเบียนสมรสให้ดู แล้วก็จดมาแล้วตั้งนานวันที่ก็เขียนอยู่ในใบ พรหล้าคิดในใจว่าบ้าเปล่าเนี่ยยย...ทรัพย์สินที่ยื่นไปก็เยอะคงจะมีผู้ชายบ้าจี้มาแต่งงานกับผู้หญิงเพื่อให้โดนฟ้องหย่าเล่นๆแบ่งสมบัติ เพราะเอกสารที่ยื่นไปทั้งหมดเป็นชื่อแฟนหมดเลย แล้วเค้าบอกว่าทำไมกรอกเงินที่ใช้ในการไปเที่ยวเยอะจัง(เค้ามีช่องให้ใส่จำนวนเงินที่จะใช้จ่ายในการไปเที่ยว) พรหล้ากรอกไป 1,000,000 ล้านบาท ทางสามีพรหล้าตอบไปว่าเงินในบัญชีก็มีจริง มีมากกว่าที่กรอกอีก เจ้าหน้าที่บอกว่ามันเยอะไป(บางคนกรอกน้อยก็ว่าน้อยไป) จะรอสัมภาษณ์ไหม
 ถ้ารอสัมภาษณ์ก็เสียเงินด้วย ไม่รับรองว่าจะได้หรือไม่ได้
 แฟนพรหล้าตอบทันทีว่า ไม่รอสัมภาษณ์ แล้วเดินออกมาเลย เพราะเค้าคิดว่าไม่จำเป็นต้องไปเที่ยวประเทศนี้ประเทศเดียว ที่อื่นมีเยอะแยะไป จะเอาเงินไปให้ ไม่ได้ไปเอาเงินออกมาจากประเทศเค้าซะเมื่อไหร่ ไม่ง้อ เจ้าหน้าที่หน้าตาแบบว่างงเลย ไม่เคยเจอแบบพรหล้า เพราะทุกคนจะยอมเสียตังค์เพื่อรอสัมภาษณ์ ต้องบอกก่อนว่าสถานทูตนี้ต้องสัมภาษณ์ทุกคน บางทีอดคิดไม่ได้เหมือนกันว่ามันออกแนวธุรกิจหรือเปล่า เพราะบางคนเสียตังค์แล้วก็ไม่ได้ตั้งเยอะแยะ ไม่ผ่านมากกว่าผ่าน เงินเข้าอื้อเลย เราไม่มีความจำเป็นที่ต้องไปนักหนาเลยไม่เอาดีกว่า
 แต่ถ่าเป็นสถานทูตสวิตโดยส่วนตัวพรหล้าต้องบอกเลยว่าเจ้าหน้าที่น่ารักมาก เจ้าหน้าที่คงคนเดียวกับ แม่จิ๋วจิ้ว สยิวกิ้ว ซอยผมสั้น หน้าเด็ก
 ตัวขาวๆ หน้าหมวยนิดๆ คุยดีมากค่ะ ถามว่าไปทำไม เราก็บอกว่าไปฮันนีมูน เค้าก็ยื่นเอกสารคืนพรหล้ามาเยอะแยะเลย แล้วเค้าก็หัวเราะ บอกว่าไม่ต้องยื่นเอกสารพวกนี้ก็ได้ เอาแค่บัญชีอย่างเดียวพอ เจ้าหน้าที่พูดแค่นี้เองค่ะ แล้วบอกว่าพรุ่งนี้มารับเล่มนะค่ะ ทั้งหมด....บาทค่ะ(ค่าขอวีซ่า) ยิ้มแย้มดีด้วยค่ะ
 พอตกบ่ายเจ้าหน้าที่คนเดิมโทรมาบอกว่า พรหล้ายังไม่ได้เปลี่ยนนามสกุลในพาสปอร์ต เพราะเปลี่ยนมาใช้นามสกุลแฟนแล้ว ช่วยเอาเล่มไปเปลี่ยนด้วย หลังจากเอาไปเปลี่ยนนามสกุลแล้ว ก็ต้องเอาเล่มไปให้คุณเจ้าหน้าที่คนเดิม วันนั้นคิวยาวมาก แต่คุณเจ้าหน้าที่ให้พรหล้าลัดคิวเข้าไปเลย เพราะจำหน้าได้ เจ้าหน้าที่ยิ้มแล้วก็ทักทายน่ารักมาก เป็นกันเองสุดๆ
 
 เป้าหมายทริปหน้าของ พรหล้ากับแฟนคือ โมนาโก อยากไปมากคุยกันแล้ว แต่คงต้องเสร็จธุรจากเยอรมันแหละค่ะ ยังไม่รู้เหมือนกันว่าเสร็จเมื่อไหร่