ทำวีซ่าไม่ผ่านค่ะ ใครก้อได้ช่วยแนะนำที

Previous topic - Next topic

angkanarak

ขอบคุณน่ะค่ะที่ช่วยแนะนำถ้าแนะนำแบบนี้ไม่ต้องมาหรอกค่ะ ถ้าไม่ให้กำลังใจก้อไม่ต้องมา แฟนอ่ะเค้าทำงานมาหลายปีแล้วทำงานธนาคารด้วย มั่นคงไม่มั่นคงก้อคิดดูเอาเองล่ะกันน่ะ คนอื่นที่เค้าจาไปเที่ยวก้อมีเยอะแยะไป ไม่เหงต้องไปขายเลยเสียดายตังที่ซื้อตั๋วเครื่องไปขายที่นู่น แฟนหนูเค้าคิดรอบคอบค่ะ เค้ารู้ว่เราจาไปอยู่นู่นเค้าเลยเก็บตังไว้ ไม่ได้เข้าข้างแฟนตัวเองน่ะค่ะ เพราะเค้าทำได้จริงๆ จากที่ดูๆกันมานานกว่าปีครึ่งหรืออาจจะมากกว่านั้น ว่าเค้าไม่มีทางให้ทางรัฐรับผิดชอบแน่นอน มันก้ออาจจะจริงอย่างที่พี่ว่าว่าทำไปแล้วเสียเวลารอป่าวๆ แต่ก้ออยากเสี่ยงถ้ามันได้ขึ้นมาก้อคงดี เพราะตอนนี้จาทำวีซ่าแต่งงานน่ะค่ะ ไม่ใช่วีซ่าเยี่ยม

BUAKAO

โอ เค ไม่แนะนำก็ได้
แต่อย่าตีความหมายผิดว่า ฉันว่าคุณไปขายตัว ไม่ได้ว่าอย่างนั้นเลย ไม่ต้องเอามาเป็นอารมณ์
ที่เขียนไปหมายถึง ทางสถาทูตเขาจะคิดแนวนั้น เพราะมันมีให้เห็นกันเยอะ เป็นปัญหาใหญ่เลยทีเดียวตอนนี้
ผัวได้ดีมีงานทำ ทำงานธนาคารก็ดีใจด้วย แต่ทำงานมาหลายปีคงเป็นไปไม่ได้ คิดดูสิ เริ่มฝึกงานอายุสิบแปด ฝึกงานสามปี สิบแปดบวกสาม ยี่สิบเอ็ด ตอนนี้ผัวคุณอายุยี่สิบสอง
...จากที่ดู ดู กันมานากว่าปีครึ่งหรืออาจะมากกว่านั้น ว่าเค้าไม่มีทางให้ทางรัฐรับผิดชอบแน่นอน ...
ไม่ไม่อย่างงั้นนะสิ .อยู่ อยู่ กันไป วันดีคืนดี ทะเลาะกัน ผัวไม่ให้อยู่ด้วย หลายคนแล้วก็ต้องไปอยู่บ้านพักฉุกเฉิน สุดท้ายทางรัฐก็ต้องเข้ามาดูแล
เหอ....พอ  ไม่แนะนำแล้ว เดี๋ยวจะเข้าใจผิดว่า ฉันไปว่าคุณอีก

angkanarak

โทดน่ะค่ะ แฟนดิฉันอ่ะเค้าทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย ทางที่ทำงานเค้าส่งให้เรียนไม่ได้พึ่งจาเริ่มทำงานเหมือนคุณคิดถึงเค้าจะเด็กและอายุน้อยแต่เค้าก้อมีความคิดเป็นผู้ใหญ่ก้ออย่างว่าอะน่ะเด็กเนอะเค้าไม่มีสิทธิจะพูดไรได้ก้อบอกแค่ว่าอายุยี่สิบสองก้อคิดกานว่าพึ่งทำงานไม่มีปัญญาจะดูแลครอบครัว ถ้าพวกดิฉันคิดกันเล่นๆล่ะก้อไม่คิดที่จะทำวีซ่าแต่งงานหรอก การแต่งงานเปงเรื่องใหญ่ไม่ใช่อยากแต่งก้อแต่งแล้วเลิกไม่เอาหรอกค่ะ รักใคร ใครก้ออยากจะอยู่กับคนที่เรารักหรือไม่จริงค่ะ ไม่ใช่ว่าหลง แต่เคยเลิกกันมาแล้ว ถึงได้รู้ไงว่าตัวเองคิดยังไงและรู้ด้วยว่าแฟนของเราไม่มีทางทำอย่างนั้นเค้าป็นคนที่คิดไว้เสมอ

pall

สวัสดีค่ะ

ใจเย็นๆๆๆๆๆๆค่ะ
ความเข้าใจผิดจากจุดเล็กจะทำให้กลายเป็นปัญหาใหญ่ได้ คิดว่าเข้าใจกันผิดกันมากกว่านะคะ
ตัวอักษรที่เขียนสามารถเป็นชะนวนก่อความแตกแยกได้เพราะไม่สื่อสารความเข้าใจเหมือนภาษาพูดที่สื่อสารกันได้อย่างลึกซึ้งได้ทุกอย่างตามที่เราต้องการ บางคนมีความรู้ดีอย่างมากมีประสบการณ์อย่างที่คนอื่นไม่มี แต่ขาดทักษะการเขียนที่ต้องการให้คนอื่นเข้าใจ มีหลายคนในเวบนี้ค่ะที่มีความรู้มากมาย และมีประสบการณ์ แต่วิธีการเขียนจะสั้นและห้วนมากอย่างที่เราชอบพูดกันว่าพูดเหมือนมะนาวไม่มีน้ำ บางครั้งคนเข้าใจผิดในการตอบของเขามากที่เขาเขียนด้วยความจริงใจและเป็นความจริงที่บางคนไม่ถูกจริตในการตอบที่ถูกต้องของเขา  แม้กระทั่งป้าเองก็เคยเจอมาแล้วกับการตอบที่มาจากใจจนโดนด่ามาแล้ว  ยอมรับค่ะว่าท้อใจมากและมีหลายคนที่ไม่เข้ามาตอบอีกเลยเพราะการตอบจากข้อมูลความจริงแล้วได้รับผลตรงกันข้าม อย่างที่เราพูดกันว่า อยู่ของเราดีๆมาช่วยตอบแล้วโดนด่าใครอยากจะมาตอบอีกจริงไหม และอีกอย่างไม่ใช่เรื่องหรือปัญหาของเราทำไมต้องมาหาเรื่องใส่ตัว  มีหลายคนที่ไม่เข้ามาช่วยตอบอีกเลย
จากสาเหตุที่บอกมาค่ะ

เข้าใจถึงความรู้สึกของคุณangkanarak ดีค่ะว่ากำลังอยู่ในช่วงกลุ้มใจหงุดหงิดมาก อยากให้ยุติกันดีกว่านะคะไม่ว่าใครทั้งนั้นไม่อยากให้ทู้นี้เป็นทู้แตกแยกกันค่ะ
คุณบัวขาวเท่าที่เห็นเป็นคนมีน้ำใจ มีความจริงใจและจะพยายามช่วยตอบคำถามเท่าที่จะทำได้และจะช่วยแบ่งปันความรู้ให้คนอื่นตลอดเวลาเท่าที่จะทำได้ถึงแม้จะไม่ค่อยมีเวลาเท่าไร
แต่เท่าที่เห็นคุณบัวขาวจะเขียนสื่อสารไม่ค่อยเก่งเท่าไรนักคือจะเขียนจากใจแบบเว้ากันซื่อๆแข็งทือไปเลยเอาแต่น้ำแต่เนื้อและต้องอ่านหลายเที่ยวสำหรับบางคน แต่บางคนอ่านเที่ยวเดียวถึงจะเข้าใจ

อย่างไรก็ตามขอเอาใจช่วยคุณเกี่ยวกับวีซ่าค่ะขอให้ประสบความสำเร็จได้รับวีซ่าค่ะ


Jojo

สวัสดีค่ะป้าพอล และพี่ ๆ เพื่อน ๆ ชาวเว๊บบอร์ดนี้ทุกคน จากที่อ่านกระทู้นี้มาปัญหาคงเกิดการเข้าใจกันไปคนละอย่างนะคะ ใจเย็น ๆ กันนะคะ อยากฝากถึงคุณบัวขาวนะคะ อย่าเพิ่งด่วนเลิกเข้าเว๊บป้าพอลซะก่อน เดี๋ยวจะไม่มีผู้รู้เข้ามาตอบคำถามเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ดี ๆ  เพราะโจ้ได้รับประโยชน์จากคุณบัวขาวและคนอื่น ๆ ที่เข้ามาช่วยตอบปัญหาและแชร์ประสบการณ์ในเว๊บบอร์ดนี้อย่างมากก่อนค่ะ ส่วนป้าพอ

เรื่องวีซ่าเป็นเรื่องที่คาดเดาไม่ได้จริง ๆ นะคะ มันขึ้นอยู่กับสถานฑูตเป็นคนตัดสิน จากฐานข้อมูล และความน่าจะเป็น เพราะตอนที่โจ้ขอวีซ่าเพื่อมาอยู่ที่สวิสเป็นการถาวรนั้น มั่นใจมากว่า 2 อาทิตย์ก็ต้องได้ แต่ก่อนก็ ไป ๆ มา ๆ สวิสอยู่เรื่อย ๆ (ขอวีซ่าท่องเที่ยว) ขนาดโจ้แต่งงานกันมาแล้ว 6 ปี มีลูกด้วยกันหนึ่งคน หน้าที่การงานสามีและตัวเองก็ระดับ ผจก. ทั้งคู่ วีซ่ายังไม่ผ่านเลย ทำเอาเครียดเลยค่ะกว่าจะได้มาอยู่ที่นี่  เรื่องวีซ่านี้จึงต้องทำใจค่ะ ถ้าขอวีซ่าหลายครั้งแล้วไม่ผ่านควรเว้นระยะไว้ก่อนนะคะ เพื่อให้เค้าลบประวัติการขอวีซ่า และการถูกปฏิเสธไปก่อน ถึงครั้งใหม่จะขอวีซ่าประเภทอื่นก็ตามค่ะ (จากเท่าที่ทราบมาควรเว้นซักประมาณ 6 เดือน) เพราะถ้าเรายิ่งพยายามที่จะขอโดยการขอวีซ่าทุกประเภทที่เค้ามี ทางสถานฑูตเค้าจะคิดว่าทำไมเราจึงพยายามที่จะเดินทางเข้าประเทศเค้าจัง มีอะไรหรือป่าว แล้วเค้าจะคิดเป็นอย่างอื่นนะคะ เค้าไม่เข้าใจเราหรอกค่ะว่าเราคิดถึงแฟน;D
อย่าหยุดที่จะเดินหาโอกาส

Nath

หวัดดีค่ะป้า และเพื่อนสมาชิกทุกท่าน

หวัดดีค่ะ คุณโจ้ นัทเองเห็นด้วยกะคุณโจ้ค่ะ  หลักการและเหตุผล อยู่ที่ดุลพินิจของทางสถานทูตฯ เท่านั้น  และเท่าที่ทราบทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ขึ้นอยู่กับ ฐานข้อมูลที่มั่นคง แน่นหนา น่าเชื่อถือ และ วุฒิภาวะ เป็นสำคัญ  ที่คุณโจ้กล่าวมานั้น ถูกต้องแล้วววว คร้าบบบบบ.... :D

สำหรับนัทเอง จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ในการขอวีซ่าสวิสฯ แต่ละครั้ง ไม่ว่า ท่องเที่ยว เยี่ยมเยือน หรือล่าสุด วีซ่าแต่งงาน  จะได้รับวีซ่า ไม่เกิน 2-3 สัปดาห์   อ้อ.. น่าจะครั้งแรก ที่ต้องรอ 3 สัปดาห์  ::)

สำหรับน้องเจ้าของกระทู้ คงต้องใจเย็นนิดนึงนะคะ อาจจะยังไม่ใช่วันของเรา (ในตอนนี้) เข้าใจความรู้สึกค่ะ ว่าคนไกลกันน่ะ คิดถึงกันแค่ไหน  (ด้วยประสบการณ์ส่วนตัว) กว่าพี่จะมีวันนี้กันได้ ปีนึงๆ เจอกันแค่ 3 ครั้ง และครั้งนึง ก็อยู่ด้วยกันแค่ 2 อาทิตย์  แล้วก็ต้องรอไปอีก รู้เลยว่าทรมานจิตใจเอาการอยู่  ยังไงก็เอาใจช่วยละกันนะคะ... :)

ปล.ฝากถึงน้องบัวขาว ของพวกเราด้วยเช่นกันค่ะ อย่าเพิ่งท้อใจ เลิกเป็นที่ปรึกษาให้เพื่อน ๆน้องๆ รุ่นหลังซะก่อนล่ะ  ยังมีคนรอคิวปรึกษาอีกยาววววเลย... :-*



angkanarak

ขอบคุณทุกคนมากน่ะค่ะ ที่เข้ามาช่วยตอบและให้คำแนะนำค่ะ ตอนนี้ก็คงทำอะไรไม่ได้ค่ะ คงได้แต่รออย่างเดียว รอให้แฟนมาหาน่ะค่ะ เพราะแฟนจะมาอีกก็สิ้นปีนี้อ่ะค่ะ ตอนนี้ก็เรียนอยู่ค่ะ แล้วคิดว่าจะกลับไปอยู่บ้านสักระยะหนึ่ง เหนื่อยใจค่ะ ท้อด้วย คงจาไม่ได้เข้ามาเว็บนี้แล้วน่ะค่ะ ขอบคุณทุกคนมากน่ะค่ะ ที่ให้คำแนะนำที่ดี

onuma

สวัสดีคะน้อง angkanarak น้องใจเย็นๆนะคะ พี่อ่านกระทู้ของคุณ BUAKAO แล้วพี่คิดว่า คุณ BUAKAO  น่าจะอยากบอกน้องว่าทางสถานฑูตเค้าอาจคิดแบบนั้นนะคะ พี่ว่าทุกๆคนที่เข้ามาตอบกระทู้ก็อยากช่วยน้องทุกๆคนคะพี่เองก็ได้พี่ๆและป้าพอลนี่แหละคะช่วยเหลือให้ความรู้เรื่องวีซ่าตอนไปเยี่ยมแฟนครั้งแรก พี่เข้าใจน้องนะคะที่คิดถึงแฟนและแฟนก็คิดถึงน้อง พี่เองก็จะขอวีซ่ากลับไปเยี่ยมแฟนอีกครั้งในปีหน้านับแล้วก็เกือบเก้าเดือนกว่าจะได้เจอกันอีกครั้งนึง พี่คิดว่าน้องใจเย็นๆนะคะเตรียมเอกสารให้แน่นๆ แล้วเตรียมตัวใหม่อีกครั้ง ต้องมีซักครั้งที่เป็นของเราคะพี่ขอเป็นกำลังใจให้อีกคนนะคะ

Khwanjai

สวัสดีคร่น้องอังคณาลักษณ์
               ไม่รู้ว่าอ่านและเขียนชื่อน้องถูกรึเปล่า ถ้าผิดก็ขอโทษด้วยนะคะ. . พี่ขวัญนะคะ เช้ามาแวบอ่านที่เว็บนี้ไม่ค่อยบ่อยแต่เป็นระยะๆน่ะค่ะ ยามใดใจว้าวุ่นก็เข้ามาอ่านๆดูแล้วสบายใจขึ้นน่ะค่ะ. . . พี่องก็มีปัญหาเรื่องขอวีซ่าเหมือนกัน. . ครั้งแรกขอวีซ่าเยี่ยม ตอนแรกบอก 2 วันรู้ผล ไปๆมาๆขอเอกสารเพิ่ม แล้วติดวันหยุดแห่งชาติขิงเค้า บวกกับเสาร์อาทิตย์ แต่ผลก็ออกมาว่าไม่ผ่าน. . . เศร้ามากเหมือนกันค่ะ เพราะเราไม่เข้าใจว่เรามีงานที่มั่นคง แฟนี่เองก็เป็นหมอ แต่ไม่ผ่าน. . . ปรึกษาแฟนใหม่ เลยยื่นอุทธรท์ เค้าบอกว่า 6-8 สัปดาห์ใช่ไม๊คะ แต่ของพี่ปาเข้าไป10 สัปดาห์แล้วยังไม่รู้ผลเลย. . . โทรถามแฟนเห็นบอกว่าข้อมูลไม่ถถึงเมืองที่เค้าอยู่ มันติดอยู่ที่เบิร์น กว่าจะส่งๆไปๆมาๆ ทั้งขอเพิ่ม ก็นานเลย. . . แต่เค้าไม่ค่อยตามให้ไงไม่แน่ใจนะคะ. . . แฟนทั้ง email และโทรถาม จนเค้าบอกว่าจะรู้ผลพรุ่งนี้. . . ไม่แน่ใจว่าจะผ่านรึเปล่าเหมือนกัน. . . แต่ถึงผ่านก็ไม่ดีใจแล้วค่ะ เพราะพี่หมดช่วงหยุดพักแล้ว. . . เฮ้อ

             ส่วนเรื่องที่ถ้าวีซ่าน้องไม่ผ่านแฟนจะเลิกน่ะ ขอโทษนะคะมีเหตุผลอื่นอีกหรือเปล่า. . ถ้าเค้ารักเราจริงจะมาเลิกด้วยเหตุผลแค่นี้ ฟังไม่ขึ้นเลยจ่ะ. . . ยังไงก็พิจรารณาให้ดีๆนะจี พี่เป็นผู้หญิงเหมือนกัน. . รอบคอบและใช้สตินะจ๊ะ. . น้องอายุยังน้อยยังเจอคนอีกมากจ่ะ. . . ยังไงพี่ก็ขอให้น้องโชคดีนะคะ

Ola

ขอวีซ่าครั้งแรกเหมือนกันค่ะ ขอแบบ tourist ตอนขอก็ขอแค่ 15 วัน แต่ได้มา 90 วัน ใช้เวลารอผล 2 วัน แต่เตรียมเอกสารอยู่ประมาณ 1 เดือน ตอนไปสัมภาษณ์ก็เอาไปหมดเลยทั้งสำเนาและตัวจริง เล่าคร่าวๆนะคะ เผื่อว่าคนที่กำลังจะไปขอหรือคนที่ขอแล้วไม่ผ่านจะได้ข้อมูลเพิ่มขึ้น ตอนแรกแฟน (เป็นคนสวิสค่ะ) จะเป็นคนการันตี แต่ด้วยความที่เคยเจอกันแค่ครั้งเดียว แถมการติดต่อก็ใช้ระยะเวลาไม่นาน คือ คบกันแค่ 4 - 5 เดือน ก็กลัวว่าน้ำหนักไม่เพียงพอกับสถานทูต แฟนเป็นอาจารย์ค่ะ เงินเดือนและความมั่นคงอยู่ในขั้นดีเลยทีเดียว แต่อย่างที่บอกคือเวลาที่คบกันยังเป็นจุดอ่อนกับทางสถานทูต เลยไม่เสี่ยงดีกว่า เพราะถ้าให้แฟนการันตี ก็ต้องใช้ระยะเวลาในการดำเนินการอย่างน้อย 2 เดือน รอกันไปรอกันมา หรือถ้าขอวีซ่าแบบนักเรียนก็ต้องรอถึง 3 เดือนอีกเหมือนกัน เลยตัดสินใจขอให้คุณแม่เป็นคนการันตี โชคดีที่ยังเป็นนักศึกษาอยู่ เรียนปริญญาโท ที่ธรรมศาสตร์ค่ะ ก็ขอหนังสือรับรองสภาพนักศึกษาจากมหาวิทยาลัย รวมทั้งหางานทำด้วยค่ะ ก็เพิ่งทำได้แค่เดือนเดียว แต่ก็ขอหนังสือรับรองได้แล้วว่าเรามีงานทำจริง มีสลิปเงินเดือนด้วย เอกสารที่เอาไปวันสัมภาษณ์นะคะ
1.  เอกสารของตัวเอง
- พาสปอร์ต ตัวจริงพร้อมสำเนา
- สำเนาบัตรประชาชน + ทะเบียนบ้าน ถ่ายสำเนาติดหน้าที่เป็นรายละเอียดของแม่ไปด้วย
- หนังสือรับรองสภาพนักศึกษา
- หนังสือรับรองการทำงาน ระบุวันเริ่มงาน เงินเดือน และวันลา
- สลิปเงินเดือน ตัวจริงพร้อมสำเนา
- รูปถ่ายขนาดเท่ารูปในพาสปอร์ต 1 รูป ติดรูปในใบสมัครไปเลย แต่ก็ไม่ลืมที่จะเขียนชื่อ - เลขที่พาสปอร์ตหลังรูปถ่าย
- สมุดบัญชีที่มียอดเงินเดือน อันนี้แอบเอาติดตัวไปด้วยเผื่อเค้าขอดู
2.  เอกสารของแม่ (คนการันตี)
- สำเนาบัตรประชาชน + ทะเบียนบ้าน ชื่อของแม่ไปเป็นเจ้าบ้านอีกหลังนึง เพิ่งย้ายไป
- สำเนาบัตรข้าราชการของแม่
- สมุดบัญชี ตัวจริง + สำเนา
- หนังสือแสดงความจำนงขอสนับสนุนด้านการเงิน เขียนเป็นภาษาไทยได้ค่ะ เพราะดำเนินเรื่องในเมืองไทย
3.  เอกสารของคนเชิญ
เนื่องจากเดินทางคนเดียว เป็นผู้หญิงด้วย ดูไม่น่าเอาตัวรอดได้ในต่างเมือง ดังนั้น ควรจะมีคนรู้จักที่โน่นเชิญมาค่ะ คนไทยดีที่สุดค่ะ แฟนก็ไปขอให้เพื่อนคนไทยเป็นคนเชิญ
- จดหมายเชิญ ระบุชื่อเรา เลขที่พาสปอร์ต ระยะเวลาที่พักที่โน่น และเหตุผลที่เชิญ
- สำเนาพาสปอร์ต + สำเนา ID card
4.  เอกสารของโรงแรม
แหม ก็ขอวีซ่าท่องเที่ยวนี่ค่ะ ก็ต้องมีทำเอกสารประมาณมีแผนจะมาเที่ยว
- เอกสารการจองเที่ยวบิน ตอนแรกเอเจนท์ออกเป็น business class ให้ เราก็จะบร้าเหรอ ถ้าสถานทูตสังเกตุก็แย่สิ ดิชั้นไม่ได้มีงบมากมายนะคะ
- เอกสารการจองโรงแรมทุกเมืองที่ทำแผนว่าจะไปค่ะ เวลาครอบคลุม
- เอกสารการจอง swiss pass ประมาณว่าเดินทางจากเมืองนี้ไปเมืองโน้นด้วยรถไฟ
- travel plan ระบุว่าวันนี้จะไปเที่ยวเมืองนี้ วันถัดไปจะเที่ยวที่นี่ ถัดไปจะเที่ยวที่นั่น ระบุโรงแรมที่พักในแต่ละเมืองชัดเจนคะ
5.  แบบฟอร์มขอวีซ่าที่กรอกและปริ้นท์มาอย่างสวยงาม

ก็แจงเรื่องเอกสารให้แฟนฟัง แฟนบอก you so crazy แต่พอผลวีซ่าออกมาว่าได้ 90 วัน แฟนบอก great job ไหมล่ะ
ก่อนวันสัมภาษณ์ก็โทรไปนัดล่วงหน้าสักประมาณ 1 อาทิตย์ ไม่มีอะไรเร่งด่วนและเรามีเวลาเตรียมตัวด้วย ก็ได้คิวเช้าสุดคนแรกเลย ก่อนไปก็เตรียมตัวนิดหน่อย แต่งตัวเรียบร้อย แล้วก็ถ่ายเอกสารทั้งหมดเก็บไว้ด้วย เผื่อคุณแฟนใจดีพาไปเยอรมัน จะได้ไปขอวีซ่าเยอรมันด้วย
ตอนสัมภาษณ์ก็มั่นใจว่าเอกสารเราพร้อม ต้องได้วีซ่าแน่นอน แต่ได้กี่วันนั่นแหละที่ลุ้นอยู่ แล้วก็ขอไปไม่มากด้วย แค่ 15 วัน นักท่องเที่ยวชัดๆ คุณพี่ฝรั่งที่สัมภาษณ์ก็ไม่ถามอะไรมาก
- ไปทำไม
- ไปเที่ยวค่ะ
- ใครออกค่าใช้จ่าย
- แม่ค่ะ
- ขอดูเอกสารของแม่ด้วย
- เราก็เอาสมุดบัญชีของแม่ให้ไป พลิกดูประมาณ 5 ครั้ง
- พักที่ไหน ที่นี่หรือเปล่า พลางชี้ไปที่จดหมายเชิญ
- เปล่าค่ะ จองโรงแรมไว้แล้ว คุณพี่ก็พลิกๆ booking โรงแรมแล้วก็พยักหน้าหงึกๆ ดูเวลาที่ book ไว้แล้วก็พูดคนเดียวงึมงำๆ แล้วก็ไล่ให้ไปนั่งรอ สักพักก็เรียกไปอีก คราวนี้เป็นคนไทย สัมภาษณ์เวอร์ชั่นภาษาไทยเสียงเครียดเชียว
- เป็นนักศึกษาเหรอ ไหนวันที่มหาลัยระบุว่าปิดเทอม
- ค่ะ แต่ไม่มีคอร์สเวอร์คแล้ว รอสอบกับ thesis แล้วก็ทำหน้างง ประมาณว่าซวยแล้ว ต้องไปขอเอกสารจากมหาลัยใหม่แหงๆ ก็มหาลัยเค้าออกให้มาอย่างนี้นี่ จะให้ทำไง
- ทำงานรึเปล่า
- ทำค่ะ
- ไหนใบรับรองจากที่ทำงาน
- นี่ค่ะ มีระบุเวลาที่ลางานเรียบร้อย คิดในใจทำไมไม่ดูให้ดีก่อนมาเม้งชั้นเนี่ย แล้วก็ถูกไล่ให้ไปนั่งรออีกรอบ สักพักก็เรียกไปอีก คุณพี่ฝรั่งคนเดิม
- กับคนนี้เป็นอะไรกัน (พี่ที่เขียนจดหมายเชิญ)
- เป็นเพื่อนของพี่สาวค่ะ แต่ก็ไม่ได้พักกับเขานะค่ะ ย้ำมันเข้าไปเพื่อความมั่นใจ
จากนั้นเค้าก็พลิกดูพาสปอร์ตประมาณ 10 ครั้ง โชคดีที่ไม่ได้ออกนอกประเทศครั้งแรก เคยไปเวียดนาม กับฮ่องกงกับเพื่อนมาแล้ว ก็พอจะเนียนเป็นนักท่องเที่ยวได้ หลังจากนั้นเค้าก็ให้ใบนัดมา อ้อ เค้ายึดสมุดบัญชีแม่ไปด้วย 2 วันถัดมาก็ได้คืนพร้อมพาสปอร์ต ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี กระบวนการก็ไม่ยุ่งยาก
คือ อยากให้เราเตรียมเอกสารให้พร้อม แล้วก็เห็นใจสถานทูตนิดนึง ว่าเรามีจุดด้อยตรงไหน ทำไมเค้าถึงไม่ให้วีซ่า สถานทูตก็พยายามจะช่วยเหลือเราเต็มที่อยู่แล้ว เค้าก็ไม่อยากให้เราเกิดปัญหาตอนที่ไปถึงที่โน่น มันก็เลยค่อนข้างยากที่เค้าจะให้วีซ่า แต่เราๆท่านๆชอบคิดแต่ว่า ชั้นอยากไป ชั้นจะไป สถานทูตใจร้าย ทำไมไม่ให้วีซ่า แล้วก็ตะบี้ตะบันขอมันเข้าไป ครั้งแรกไม่ผ่าน ครั้งที่ 2 อุทธรณ์ วัดดวงกันอย่างเดียว โดยไม่เตรียมพร้อม พอไม่ได้ก็เสียใจ ก็ลองเตรียมเอกสารดูนะคะ แล้วก็ให้ครอบครัวการันตีดีกว่าให้แฟนการันตีค่ะ เพราะว่ายังไงก็พ่อ - แม่เรา ไม่ทิ้งกันอยู่แล้ว ถ้าแฟนมันไม่มีอะไรการันตีสถานทูตได้ว่า ถ้าเกิดทะเลาะกันที่โน่น เค้าจับเราโยนออกมา คราวนี้ก็แย่เลย ใครจะช่วยเรา สาธยายมายืดยาว เอาเป็นว่า ลองดูนะคะ เผื่อว่าจะมีประโยชน์กับใครหลายๆคน

pall

สวัสดีค่ะ คุณOla
ขอบคุณในน้ำใจและการเสียสละเวลาเข้ามาเขียนให้ข้อมูลที่มีประโยชน์เกี่ยวกับการขอวีซ่าเป็นวิทยาทานแก่กัน
ข้อมูลเป็นประโยชน์อย่างมากเลยค่ะสำหรับคนที่กำลังจะทำเรื่องยื่นขอวัซ่า
ขอขอบคุณอีกครั้งนะคะ

TECHINI

สวัสดีค่ะ ทุกคน รวมทั้งสวัสดีคุณkurumi พอดีว่ามีประสบการณ์ในการขอวีซ่าอุธรมาเล่าให้ฟังค่ะ นุชเคยขอวีซ่าไปเยี่ยมคุณแม่เหมือนกัน แล้วสถาฑูตก็แจ้งว่าวีซ่าVisitไม่ผ่านเช่นกันเครียดมากๆ :-[ :-[ทั้งที่คุณพ่อที่เป็นแฟนใหม่ของแม่เป็นคนการันตีแท้ๆ แล้วที่รู้สึกแย่ไปกว่าเดิมคือการไปขอครั้งนี้เป็นการไปครั้งที่ 2 เนื่องจากนุชได้เคยไปแล้ว1ครั้งตอนอายุ 18(2001)ครั้งแรกที่ไปตอนนั้นแม่ก็เพิ่งแต่งงานได้ 1ปีเอง แต่คนการันตีเป็นเพื่อนที่ทำงานของพ่อซึ่งนุชไม่ได้รู้เขาเลยแล้วสถานฑูตก้ไม่ได้ถามอะไรเลย ถามแต่คุณแม่ซึ่งตอนนั้นคุณแม่กลับมาทำเรื่องให้(เพราะอายุ18ปียังไม่บรรลุนิติภาระ)ประมาณ1เดือนวีซ่าผ่านง่ายๆมากๆ งงทั้งหนูและคุณแม่(ไม่เห็นยากเหมือนที่คนอื่นๆบอกเลย)แต่พอครั้งที่ 2คุณพ่อเป็นคนทำทำไมไม่ได้ ตอนคุณพ่ออายุ25 คุณแม่อายุ40(ช่วงปี2004ที่ขอวีซ่าครั้งที่2)คุณแม่ก็เลยให้ไปถามสถานฑูตว่าทำไมไม่ผ่าน สถานฑูตได้ให้ส่งเรื่องอุธรให้ บอกให้รอ 2เดือน แล้วจะส่งไปที่สวิส นุชก็รอจน1เดือนครึ่งแม่เลยไปติดต่อที่อำเภอว่าเรื่องมาหรือยัง (ลืมบอกไปว่าก่อนส่งเรื่องอุธรสถานฑูตได้บอกเหตุผลที่วีซ่าไม่ผ่านมาว่า ไม่แน่ใจในจุดประสงค์ที่จะไปสวิส)พอคุณแม่ไปถามอำเภอว่า'ทำไมลูกจะมาเยี่ยมแม่มันทำไมมาไม่ได้ เพราะคุณแม่ก็เสียภาษี ตรงไม่เคยทำอะไรผิดด้วย ถ้างั้นไม่อยู่มันแล้วสวิสนี่ ไม่มีความยุติธรรมเลย'(ตอนนั้นคุณแม่ยังถือ Pass Bอยู่ค่ะ)คุณพ่อก็โกรธมากๆเช่นกัน บ้านนุชอยู่Aarwangen ConTon Bernค่ะ สุดท้ายแม่ถามอำเภอโยนไป บอกว่าตำรวจที่Bernไม่ให้ผ่าน คูณพ่อคุณแม่รีบไปถามตำรวจพร้อมทั้งโทรมาหาสถานสวิสที่เมืองไทยด้วย ทั้ง2ที่บอกว่าอำเภอไม่ให้ พร้อมทั้งบอกชื่อว่าคนไหน คุณพ่อคุณแม่เลยกลับไปอำเภอถามคนที่ตำรวจบอกชื่อมาเพื่อขอเหตุผล 'เจ้าที่หน้าอำเภอบอกกลัวว่านุชจะไปแล้วไม่กลับ'คุณแม่เลยบอกว่าคุณรู้ได้ยังไง เพราะลูกฉันเคยมาแล้ว1ครั้งกลับตรงด้วย ทั้งๆที่ลูกฉันมีโอกาสที่จะมาอยู่ได้ตั้งแต่คุณแม่แต่งงานแล้ว แต่เขาไม่มา'(เพราะน้องสาวของนุชได้ไปสวิสตั้งปี2003)
แล้วเจ้าหน้าที่อำเภอคนนั้นบอกให้รออีก2อาทิตย์แจ้งคุณแม่ว่าให้นุชไปติดต่อที่สถานฑูตแจ้งผลวีซ่า สรุปนุชรอทั้งหมด 2เดือนครึ่ง
หลังจาก2อาทิตย์แล้วก็ไปสถานฑูต พร้อมทั้งเตรียมเอกสารไปด้วย(ให้เขารู้ว่าเราไปแล้วคิดจะกลับแน่นอน)
-ใบรับรองจากมหาวิทลัยที่นุชเรียนอยู่
-คุณแม่ได้เขียนจดหมายให้นุช(เป็นภาษาเยอรมัน)1ฉบับ ในจดหมายเขียนเหตุผลที่จะไปสวิสว่าที่นุชจะไปสวิสเนื่องจากไปเยี่ยมคุณแม่กับน้องสาวจริงๆเพราะถ้า2คนที่ไม่ใช่ไม่ได้อยู่คงจะไม่คิดไปสวิสหรอก เพราะค่าใช่จ่ายก็สูง ประมาณนี้ค่ะ ;D ;D
??? ??? ??? ??? ??? ??? ??? ??? ??? ??? ??? ??? ??? ??? ??? ??? ??? ??? ??? ??? ??? ??? ??? ??? ??? ??? ??? ??? ??? ???
พอไปสถานฑูตก็ได้วีซ่าเลย ดีใจมากๆค่ะ :-* :-* :-* :-* :-* :-* :-* :-* :-* :-* :-* :-*
หลังนั้นนุชไปขอวีซ่า Visitไปเที่ยวอีกทุกปีวีซ่าผ่านตลอดเลยค่ะ  ;D ;D ;D ;D ;D ;D ;D ;D
ครั้งล่าสุดขอวีซ่าไปสวิสเอาแฟนไปด้วยยังผ่านเลยค่ะ คนการันตีคนเดียวกันด้วย :) :) :) :) :) :) :) :) :) :) :) :) :) :)
นุชว่าที่สำคัญในการขอวีซ่านะควรมีเอกสารที่ชัดเจน ว่าจุดประสงค์ที่ไปอะน่าเชื่อถือ หลักฐานยืนยันว่าไปแล้วจะกลับมาเมืองไทยแน่นอน อะที่สำคัญ
ที่สำคัญถ้าได้ภาษาด้วยก็จะเป็นผลดีประกอบการขอวีซ่าด้วยนะ ว่าถ้าเรามีปัญหาเราสามารถเอาตัวรอดได้สบายๆ
;D ;D ;D ;Dขอให้กำลังคนที่วีซ่ายังไม่ผ่านและกำลังขอวีซ่านะค่ะ ให้พยายามเดี๋ยวสำเร็จค่ะ โชคดีทุกคนนะค่ะ
ciao ciao ciao


Api

ขอแบ่งปันข้อมูลเพิ่มเติมค่ะ กรณี Apiขอวีซ่าเยี่ยมเยียน ซึ่งขอเป็นครั้งแรกในจดหมายเชิญ ผู้เชิญต้องระบุว่าได้เคยเชิญใครมาบ้างแล้วในอดีต
เจ้าหน้าที่สถานฑูตให้กลับไปเพิ่มข้อความนี้ในจดหมาย และให้ส่งกลับภายในวันเดียวกัน Api จึงต้องโทร.แจ้งผู้เชิญให้ระบุ และ fax มายังสถานฑูต และสำหรับเอกสารที่ต้องยื่นให้สถานทูตก็เหมือนที่ระบุค่ะ Api ใช้ใบรับรองการเป็นนักศึกษาของนิด้า ซึ่งเราก็มีงานทำแต่ว่าไม่ได้ใช้ใบรับรองจากที่ทำงาน แต่ว่าหนังสือรับรองรายได้ของผู้เชิญ Api ไม่ได้ยื่นที่นี่ค่ะ ผู้เชิญได้ติดต่อกับเจ้าหน้าที่ของสวิสเอง
เจ้าหน้าที่สถานฑูตที่กรุงเทพฯ สัมภาษณ์ก็ดีค่ะ ถามเป็นภาษาอังกฤษ นิดหน่อย ว่ารู้จักกับคู่หมั้นได้อย่างไร ที่ใหน เราทราบวิธีการสัมภาษณ์เพราะว่าเราทำงานฝ่ายบุคคล  เราก็ตอบตามความเป็นจริงเป็นภาษาอังกฤษ เจ้าหน้าที่สถานฑูตคนที่หลายคนบอกว่าดุๆ ได้บอกว่า ที่ถามละเอียดเพราะเป็นหน้าที่ เราก็เข้าใจค่ะ เค้าไม่อยากรู้เรื่องส่วนตัวเราหรอก แต่มันเป็นหน้าที่ และตอนนี้ที่สวิตก็มีปัญหาจากคนต่างด้าวเข้าประเทศเยอะมากเราก็เห็นใจค่ะ และเจ้าหน้าที่ก็บอกให้รอรับผล แต่ไม่ได้เลยนะ ต้องขับรถมารับเอกสารอีกตามวันนัดค่ะ ก็จะได้ซองขาวมีเอกสารส่งให้ผู้เชิญแล้วผู้เชิญจะดำเนินการเองค่ะ จากนั้นรอสัก 2 สัปดาห์ก็ได้วีซ่าแล้ว ที่ได้วีซ่าไม่ยาก อาจเพราะเรายื่นเอกสารครบ และเจ้าหน้าที่มั่นใจว่าเราจะกลับมาเมืองไทยแน่นอน รวมไปถึงประวัติของผู้เชิญ คือคู่หมั้นเรา มีการจ่ายภาษีให้รัฐครบ และ ใช้เงินการันตี 30,000 ฟรังก์ค่ะ  ก็ไปเที่ยวมาเรียบร้อยแล้วชอบสวิตมากค่ะ  แต่คิดถึงอาหารไทย ไปสำรวจตลาดอาหารเอเชียในซูริคแล้ว มีเยอะ ตอนนี้เรียนจบโทที่เมืองไทยแล้ว กำลังจะแต่งงานกับคู่หมั้นเดือนหน้านี้ก็คบกันมา 2 ปี 4 เดือนหมั้นแล้ว 1 ปีจะได้อยู่ด้วยกันสักทีดีใจมากค่ะ ตอนนี้กำลังเดินเรื่องขอจดทะเบียนสมรสที่เมืองไทย และขอมีถิ่นพักอาศัยที่สวิส ถ้าดำเนินการเรียบร้อยแล้วจะมาแชร์ประสบการณ์เป็นวิทยาทานกับเพื่อนๆชาว pallwiss นะคะ

ท้ายนี้ ถ้าใครกำลังขอวีซ่าอยู่ตอนนี้ก็ขอให้ได้ดังใจทุกท่านค่ะ

Api  :-*

angkanaruk

สวัสดีค่ะ ทุกๆคน กิ๊ฟวีซ่าผ่านแล้วค่ะ  เกือบจะถึงปี แต่ก้อไม่รู้ว่าใช้ชีวิตที่นู่นจาเปงยังไง กำลังจะเดินทางคืนนี้ค่ะ ยังไงก้อขอให้โชคดีน่ะค่ะ เด่วว่างๆจาเอา มาเขียนการทำวีซ่าให้ฟังค่ะ

ladypatth

ดีใจด้วยนะคะ สมหวังแล้ว เดินทางปลอดภัยนะคะ