News:

ยินดีต้อนรับ สู่ Pall Swiss เว็บบอร์ดตัวใหม่



<<<ทิ้งของ>>>

Previous topic - Next topic

pall




การย้ายบ้านทุกคนจะมีปัญหามากมาย  
 เกี่ยวกับสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ  
 ที่ไม่อาจจะนำติดตัวไปได้หมด  
 บางคนอาจจะทิ้งหรือแจกจ่ายให้เพื่อนฝูงคนรู้จัก  
 หรือบางคนรักพี่เสียดายน้องไม่ยอมทิ้งพยายามเอาไปด้วย  
 ค่าขนย้ายของตอนย้ายบ้านที่เมืองนอกแพงมาก
 จะคิดเป็นระยะทาง  
 จำนวนคนช่วยขน...คิดเป็นชม........หรือ....  
 แล้วแต่ข้อกำหนดตกลงกันก่อนการเคลื่อนย้าย....  
 แต่ละแห่งและแต่ละบริษัทจะไม่เหมือนกัน  
 ย้ายเสร็จก็มีปัญหาตามมา
 คือต้องทำบ้านให้อยู่ในสภาพเดิม
 ตอนที่เราเซ็นต์สัญญาก่อนอยู่.......
 (การเข้าไปอยู่บ้านพักใหม่แต่ละแห่งเราต้อง
 มีการเซ็นต์สัญญาว่าบ้านพักอยู่ในสภาพแบบไหน
 เพื่อเป็นการไม่เสียเปรียบกัน)
 ถ้าสิ่งไหนชำรุดเสียหาย  
 เราต้องซ่อมแซมให้อยู่ในสภาพดีเหมือนเดิม..  
 แต่ขึ้นอยู่กับระยะเวลาการอยู่อาศัยด้วย  
 และสิ่งของบางอย่างมีอายุตามกฎหมาย  
 เราต้องตามให้ทันเขาด้วยไม่เช่นนั้นเราเสียเปรียบเขา  
 ต้องจ่ายเงินหน้ามืดแน่ๆถ้าไม่รู้กฎหมาย  
 เพราะเจ้าของบ้านหรือคนดูแลบางคนเขี้ยวมาก  
 
 ถ้าคนชอบBid ทั้งหลายจะรู้ดี...
 ฤดูการย้ายบ้านที่นี่ เราจะมีเป็นช่วงๆ.....
 และต้องบอกการย้ายล่วงหน้า 3เดือน  
 ตามข้อตกลงในสัญญาที่ทำกัน  
 คนชอบบิดบางคนที่ ต้องการประหยัดเงิน
 โดยไม่ต้องซื้อของใช้ในบ้านใหม่
 ในกรณีย์ที่ทิ้งของเก่าหมด
 ไม่ได้นำติดตัวมาเพื่อประหยัดค่าขนย้าย
 และได้ของดีจากคนที่ย้ายบ้านที่ซื้อของแพง  
 และขายประมูลถูกๆ มักจะรอช่วงนี้มาบิดกัน  
 คนขายบางคนขี้เกียจขนของเพราะค่าขนย้ายแพงมาก  
 ถ้าต้องย้ายไปอยู่รัฐอื่นเลยจัดการเอาลงประมูลจนหมด  
 และหาซื้อของใหม่แทนซึ่งประหยัดเวลา....  
 ไม่ต้องเครียดจากการย้ายบ้าน......  
 
 แต่บางคนที่ย้ายบ้านไม่ได้สนใจกับการขายของแบบนี้  
 แต่จะยกบริจาคให้กับสถานที่ต่างๆเช่น  
 HEILSARMEE เพียงแต่เราโทรศัพท์ไปบอกเขา  
 ทางHEILSARMEE จะบริการเอารถมาขนของให้เราฟรีทุกอย่าง.....  
 แต่ของที่เราบริจาคต้องมีมูลค่าทั้งหมดตั้งแต่ CHF 500 ขึ้นไป  
 แต่ถ้าไม่ถึงเขามาขนของไปเราจ่ายช่วยค่าขนส่งเพียงเล็กน้อย  
 ถ้าเปรียบเทียบกับการต้องจ่ายสะติคเกอร์ติดของ  
 สำหรับทิ้งที่ทางเขตที่อยู่ได้ระบุไว้เราต้องเปรียบเทียบว่าคุ้มไหม  
 
 บางคนอาจจะบริจาคของให้แก่Brockenhaus  
 คำนี้หมายถึงBrocki -Second-Hand-Kaufhaus  
 ถ้าเราบริจาคให้สถานที่แห่งนี้จุดมุ่งหมายพอๆกับ HEILSARMEE  
 ของทุกอย่างจะอยู่ในสภาพดีและบางครั้งได้ของใหม่ซิงๆๆ  
 คนทำงานให้กับ Brockenhaus  
 จะเป็นการทำงานฟรีๆไม่มีการคิดเงินค่าจ้าง  
 Brockenhaus จะมีทุกๆรัฐในสวิตฯ  
 
 สมัยตอนที่ป้ามาอยู่ใหม่ๆ
 ไม่ค่อยมีคนเข้ามาซื้อในBrockenhausหรือHEILSARMEE  
 เพราะต่างคิดกันว่ากระจอกเข้าไปซื้อจะทำให้อับอายขายหน้า  
 แต่ปัจจุบันนี้คนเข้ามาซื้อของกันธรรมดามาก  
 บางคนแต่งตัวแบบมาดามเลย  
 และบางคนทำงานสถานทูตติดป้ายสีเขียว  
 
 ใครที่คิดจะย้ายบ้านในอนาคตหรือกำลังจะย้ายบ้าน  
 ลองคิดให้ดีก่อนจะทิ้งของไปโดยเปล่าประโยชน์  
 การบริจาคของเก่าของเราให้สถานที่เหล่านี้  
 เหมือนกับเราได้ช่วยผู้เดือดร้อนทางอ้อม....  
 

**กระทู้นี้เป็นกระทู้เดิมหมายเลข 0039 ห้อง stories (เผื่อใช้ในการค้นหา)**

pall




**Papier Sammlung**  
 
 หมายถึงการเก็บพวกหนังสือเก่าทิ้ง  
 เชื่อไหมหนังสือเก่าๆที่เขาเอามามัดทิ้ง  
 บางครั้งหนังสือพวกนี้มีคุณค่ามากที่สุด  
 มีคนพบมาแล้วหนังสืออายุเก่าแก่ปี1600  
 แทบไม่น่าเชื่อเลยว่าหลงมาได้อย่างไร  
 บางครั้งเราจะเห็นคนไปเที่ยวเมียงมอง  
 และไปดึงเอาหนังสือที่เขามัดไว้เก็บกลับมาบ้าน  
 อาจจะเป็นหนังสือตำราอาหาร  
 ทำสวน...และหนังสือต่างๆ  
 
 ตอนลูกชายป้ามันยังเป็นเด็ก  
 ทางโรงเรียนที่นี่จะมีการให้ออกไปช่วยเก็บหนังสือพิมพ์  
 ที่เขามัดไว้เพื่อเอาเป็นรายได้เข้าโรงเรียน  
 ถ้ามันสองคนเก็บหนังสือพิมพ์เมื่อไรจะรู้เลยมันจะขนเอาหนังสือ  
 กลับบ้าน พูดถึงเก็บหนังสือพวกนี้พวกเด็กๆชอบกันมากนะ  
 ที่ไม่ต้องเข้าเรียนหนังสือ บางครั้งเด็กจะเอารถเข็นลากจากบ้าน  
 ไปช่วยขน อย่างลูกชายป้ามันชอบเอารถลากจากบ้านไปช่วย  
 และพวกเพื่อนๆจะนั่งกันเต็มรถเลยผลัดกันลาก  
 ชีวิตเด็กๆช่างน่าสนุกจริงๆ  
 นึกถึงความหลังแล้วเศร้าจริงๆ  
 เวลาผ่านไปไวเหลือเกิน.....................  
 
 
 ป้าชอบมากการสะสมพวกหนังสืออ่าน  
 ไม่ว่าหนังสืออะไรจะเก็บสะสมหมด  
 พวกหนังสือดารา หนังสือบันเทิงต่างๆ  
 
 ขวัญเรือน ดิฉัน แพรว .....ครัวแม่บ้าน.....อีกมากมาย  
 ป้าเก็บสะสมมาร่วม30ปีไม่รวมหนังสือปกแข็ง  
 ของพวกนักเขียนมีชื่อทุกๆคนหนังสือป้าจึงค่อนข้างจะเก่ามาก  
 และใบกระดาษบางเล่มออกสีเหลือง  
 
 ถ้าไม่ย้ายบ้านป้าไม่มีวันทิ้งหนังสือพวกนี้อย่างเด็ดขาด  
 ยอมรับว่ารักมาก หนังสือบางฉบับป้ามีครบทุกฉบับ  
 ตั้งแต่เขาออกใหม่ๆและจนบริษัทเขาเจ๊งไป  
 อย่างหนังสือฟ้าเมืองไทยป้ามีตั้งแต่ปกใหญ่มากเหมือนหนังสือพิมพ์  
 กุลสตรีตั้งแต่ปกเล็กและบาง......  
 
 เมื่อวานน้ำตาซึมทิ้งไปเป็นรุ่นที่สาม  
 และเป็นรุ่นสุดท้ายเพราะจะย้ายบ้านเร็วๆนี้  
 บ้านที่จะไปอยู่ใหม่เป็นห้องพักมีแค่ 3ห้องครึ่ง  
 เหมาะสำหรับลุงกับป้าสองคน  
 และห้องเก็บของเล็กมากไม่ใหญ่เหมือนที่อยู่ปัจจุบัน  
 ไม่สามารถเก็บหนังสือพวกนี้ได้  
 ป้านอนไม่หลับมาหลายเดือนจนทำใจทิ้งไปได้  
 ..............ลาก่อนเพื่อนรัก.........  
 หนังสือพวกนี้เป็นเหมือนเพื่อนสนิทของป้า  
 ช่วยแก้เหงา คลายเครียด ให้ความรู้ทุกอย่าง  
 

pall

ระหว่างที่ป้าเก็บหนังสือมัดเพื่อทิ้งไป  
 อ่านไปด้วยและยิ้มไปด้วยจากการเขียนยิ้มมังกร  
 ของนักเขียน ถาวร สิกขโกศล  
 ในหนังสือดิฉันปีพศ.2537  
 
 ***แล้วทำไมไม่รีบบอก***  
 
 เจ้าทึ่มคนหนึ่งลงทุนจ้างครูมาสอนหนังสือ  
 พยายามเรียนท่องจำสำนวนว่า  
 **”ไหนเลยจะมีเรื่องเช่นนี้ได้**  
 ท่องแล้วท่องอีกเพราะกลัวลืม  
 ต่อมาขณะที่โดยสารเรือ คนเรือร้องตะโกนเสียงดัง  
 เขาตกใจจนลืมสำนวนที่ท่องไว้  
 จึงรีบออกเดินหาจนทั่วเรือ  
 ผู้โดยสารต่างพากันช่วยหาและสงสัยถามเขาว่าหาอะไร  
 
 เขาบอกลืมคำพูดสำคัญคำหนึ่ง  
 ผู้โดยสารต่างพากันหัวเราะพูดว่า  
 ”คำพูดจะตกหายได้อย่างไร.....ไหนเลยจะมีเรื่องเช่นนี้”  
 เจ้าทึ่มได้ยินเข้าตบมือด้วยความดีใจมากและพูดว่า  
 “ถูกแล้วคำที่ฉันหาคำนี้แหละ..ทำไมพวกท่านไม่รีบบอกปล่อยให้ฉันหาเสียเหนื่อยแทบตาย”  
 

pall

**พิพากษาแบ่งทรัพย์**  
 
 ครั้งหนึ่งในสมัยราชวงศ์ซ่ง(พศ.1503-1822)  
 ขุนนางผู้ใหญ่คนหนึ่งถึงแก่อนิจกรรม  
 ในพินัยกรรมได้ระบุให้แบ่งทรัพย์สิน  
 แก่ลูกชายทั้งสองให้เสมอภาคกัน  
 
 ผู้จัดการมรดกได้ประชุมลุง ป้า น้า อา ของผู้รับมรดกทั้งสอง  
 ช่วยกันแบ่งทรัพย์สิน สิ้นเปลืองเวลาไปไม่น้อย  
 กว่าจะแบ่งให้เท่ากันได้ แต่ก็ลุล่วงไปด้วยดี  
 
 แต่ต่อมาอีกไม่กี่วันพี่ชายเกิดหวาดระแวงว่าลุงลำเอียง  
 เข้ากับน้อง เอาทรัพย์สินที่มีราคามากกว่าให้เป็นส่วนแบ่งไป  
 ส่วนน้องก็หวาดระแวงว่าอาปกป้องเอาผลประโยชน์ให้พี่  
 แบ่งข้าวของให้มากกว่า  
 ต่างฝ่ายต่างคิดว่าตนได้รับมรดกน้อยกว่า  
 กลายเป็นข้อวิวาทบาดหมางกัน  
 
 ในที่สุดเรื่องก็ลุกลามฟ้องร้องกันถึงโรงถึงศาล  
 ไปตามลำดับจนถึงขั้นถวายฏีกา  
 ฮ่องเต้จึงมีพระราชโองการให้  
 อัครมหาเสนาบดีจางฉีเสียนเป็นผู้ยุติปัญหานี้  
 
 จางฉีเสียนคิดว่าถ้าเอามรดกมาแบ่งใหม่  
 เจ้าสองคนคงคิดว่าได้น้อยกว่า  
 หาหลักฐานพยานมายืนยันความคิดของตนอยู่ร่ำไป  
 เรื่องจะไม่มีวันยุติ........จะจัดการอย่างไรดีหนอ....  
 
 ในที่สุดจางฉีเสียนก็ออกนั่งบัลลังก์  
 ถามคู่คดีคนพี่ว่า  
 
 "เจ้าว่าเจ้าได้รับส่วนแบ่งข้างน้อยน้องชายได้ส่วนข้างมากไช่ไหม"  
 "ใช่ครับใต้เท้าไม่ยุติธรรมต่อเกล้ากระผมจริงๆ"  
 "เจ้าก็ว่าเจ้าได้รับมรดกส่วนข้างน้อยเหมือนกันใช่ไหม"  
 จางฉีเสียนหันไปถามคู่คดีผู้น้อง  
 
 "ถูกแล้วขอรับใต้เท้าโปรดประทานความยุติธรรมด้วย"  
 'เอาล่ะ พรบรมราชโองการอยู่นี่  
 หากสอบพบว่าคนใดคนหนึ่งพูดไม่จริง  
 หรือพูดกลับกลอกจะมีโทษฐานเพ็จทูลฮ่องเต้นะพวกเจ้าทราบไหม"  
 
 "ทราบขอรับที่ให้การมาทั้งหมดล้วนเป็นจริง  
 และไม่มีวันกลับกลอก"  
 พี่นอ้งสองคนพูดเกือบจะพร้อมกัน  
 
 "ถ้าเช่นนั้นไม่เห็นจะยากอะไร เจ้าคนพี่ไปครอบครอง  
 ส่วนที่น้องชายได้รับไป  
 เจ้าคนน้องไปครอบครองมรดกส่วนของพี่  
 หวังว่าพวกเจ้าคงไม่กลับคำให้การอีกนะ"  
 
 พี่น้องสองคนได้แต่แลดูตากันรับคำพิพากษาโดยดุษณีภาพ  
 
 ***เรื่องของ ถาวร สิกขโกศลเขียน**