เด็กที่เพิ่งย้ายมาจากเมืองไทยกับการฉีดวัคซีนที่สวิส

Previous topic - Next topic

Jojo

สวัสดีค่ะทุก ๆ คน
เพื่อน ๆ คนไหนที่เพิ่งนำลูกย้ายมาจากเมืองไทย หรือกำลังจะนำลูกมาอยู่ที่สวิส อย่าลืมนำสมุดบันทึกประวัติเด็ก หรือสมุดบันทึกการฉีดวัคซีนมาด้วยนะคะ สำคัญมาก ;D และก็ไม่ต้องกังวลถ้าสมุดบันทึกเป็นภาษาไทย เพราะ 2 อาทิตย์ก่อนลูกโจ้ไม่สบายก็เป็นครั้งแรกที่ไปหาหมอที่สวิส หมอเค้าถามเกี่ยวกับประวัติการฉีดวัคซีนจากเมืองไทย โจ้ก็เอาสมุดจากโรงพยาบาลศิริราชเนี่ยละค่ะให้เค้าดู กะบอกชื่อวัคซีนเป็นภาษาอังกฤษ พวกตัวย่อของวัคซีนหมอเค้าก็เข้าใจค่ะ เพราะตารางการฉีดวัคซีนสำหรับเด็กที่สวิสเค้าใช้ศัพท์ตัวย่อเหมือนกัน แล้วก็บอกเค้าว่าฉีดเมื่อไหร่บ้าง กี่ครั้ง รายละเอียดตามนี้นะคะ
* วัคซีนบีซีจี ป้องกันวัณโรค  = BCG
* วัคซีนป้องกันโรคตับอักเสบบี = Hepatitis B vaccine
* วัคซีนป้องกันโรคคอตีบ บาดทะยัก ไอกรน = Dtp  (Diptheria , tetanus , pertussis vaccine)
* วัคซีนป้องกันโรคโรคโปลิโอ   Poliomyelitis vaccine
* วัคซีนป้องกันโรคหัด คางทูม หัดเยอรมัน  = MMR
* วัคซีนป้องกันโรคไข้สมองอักเสบ  JE vaccine
* วัคซีน HIP
เห็นบางคนต้องไปแปลเป็นเยอรมัน โจ้ว่าไม่จำเป็นค่ะ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับคุณหมอที่ไปหาด้วยนะคะ ส่วนหมอของโจ้บอกเท่านี้เค้าก็เข้าใจและก็โอเคค่ะ เค้าขอเก็บสมุดจากเมืองไทยไว้ขอทำประวัติการฉีดวัคซีน เพื่อจะทำนัดฉีดวัคซีนสำหรับครั้งต่อไป ข้อมูลนี้เผื่อจะมีประโยชน์สำหรับคนที่ยังไม่ทราบนะคะ  ;D
อย่าหยุดที่จะเดินหาโอกาส

jaaeh

        สวัสดีค่ะ คุณjojo และก็ขอบคุณมากๆสำหรับข้อมูลนี้ด้วยค่ะ ดิฉันก็พาลูกสาวอายุ2ปีกว่ามาอยู่ที่สวิสด้วยเหมือนกันค่ะ ยังคิดเรื่องฉีดวัคซีนอยู่เลยค่ะว่าจะทำยังไงดีเพราะที่เมืองไทยลูกสาวจะครบกำหนดฉีดเดือนเมษายนนี้ค่ะ แต่ดิฉันไม่ได้เอาสมุดฉีดวัคซีนมาด้วยเพราะเดือนกรกฎาคมก็จะกลับไทยอีกรอบเลยคิดว่าฉีดเดือนนั้นได้แต่ต่อๆไปนี่คิดหนักเหมือนกันค่ะ พอดีได้มาอ่านข้อความของคุณ jojo แล้วเลยเป็นประโยชน์ให้ดิฉันมากเลยค่ะ

      ไม่ทราบว่าคุณjojo อยู่แถวไหนค่ะ ใกล้ซูริคหรือป่าว แล้วลูกสาวคุณjojo อายุเท่าไหร่ค่ะ  พอดีลูกสาวดิฉันเหงามากเลยค่ะเขาต้องการเพื่อนๆ ถ้าอยู่ใกล้กันเผื่อบางทีเด็กอาจจะเป็นเพื่อนเล่นกันได้ค่ะ

       ดิฉันอยู่ Dietlikon Zurich 8305 ค่ะ ไว้คุณกันน่ะค่ะ

Jojo

สวัสดีค่ะคุณ jaaeh ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ;D

เสียดายจัง อยู่ไกลกันมากค่ะ โจ้อยู่โซโลเทิร์น ลูกสาวโจ้ 6 ขวบกว่า ๆ แล้วค่ะ แกก็มีปัญหาเหมือนกันตอนย้ายมาใหม่ ๆ  มาถึงสวิสก็เข้าเรียนอนุบาลเลย แกจะมีปัญหาเรื่องภาษาอันดับแรก ถึงจะเป็นลูกครึ่งแต่ด้วยความที่อยู่เมืองไทยเค้าจะติดพูดภาษาไทยมากกว่าสวิสเยอรมัน อีกทั้งคุณพ่อก็ดันพูด ฟังไทยรู้เรื่องอีก :P แกก็เลยถนัดภาษาไทยซะมากกว่า จึงทำให้สื่อสารกับเพื่อนไม่รู้เรื่องในช่วงแรก บางทียังเคยร้องไห้พูดกับเราว่า ที่โรงเรียนไม่มีเพื่อนมาเล่นกับแกเลย ไม่เหมือนโรงเรียนที่เมืองไทยเลย...ตอนนั้นสงสารลูกมาก ๆ เลยค่ะ ดังนั้นจึงต้องใช้เวลาค่ะ ค่อย ๆ ให้เด็กปรับตัวค่ะ เดี๋ยวก็ดีขึ้นเอง ;D

ปัจจุบันนี้เพื่อน ๆ ลูกสาวแถวอพาร์ทเม้นต์ที่อยู่ก็มีบ้าง แต่ก็ไม่ได้ปล่อยให้มาเล่นด้วยกันเหมือนเด็ก ๆ ที่เมืองไทยหรอกค่ะ เล่นกันเฉพาะที่โรงเรียนเท่านั้น สังคมมันไม่เหมือนกัน ที่นี่เค้าจะต่างคนต่างอยู่ ยิ่งเป็นชาวต่างด้าวอย่างเรา ๆ ด้วยแล้ว ลำบากค่ะ...เพราะจะไปคุยกะพ่อแม่เด็ก ภาษาก็ยังไม่แข็งแรง :'(

กิจกรรมสำหรับเด็กที่สวิสเยอะมาก ๆ ค่ะ ฉะนั้นต้องรีบฝึกภาษาให้คล่องพอแข็งแรง จะได้พาลูกไปโน้นไปนี่ได้โดยไม่ต้องพึ่งคุณสามี ;D
นี่ละค่ะปัญหาของคนเป็นแม่ที่เพิ่งย้ายมาอยู่สวิส :'( เข้าใจหัวอกเดียวกันค่ะ
อย่าหยุดที่จะเดินหาโอกาส

Jojo

เข้ามาอัพเดทข้อมูล เรื่องการฉีดวัคซีนเด็กค่ะ

วันนี้พาลูกสาวไปหาหมอตามนัด หมอเค้าได้ทำตารางการฉีดวัคซีนของสวิสให้ใหม่ Impfausweis/Vaccination Certificate โดยอ้างอิงข้อมูลการฉีดวัคซีนจากเมืองไทยด้วย ไม่ยุ่งยากเลยค่ะ ลูกสาวเลยโดนไป 1 เข็ม ;D

หมอเค้านัดอีกครั้ง 2 เดือนถัดไป เป็นการเช็คแบบละะเอียด เกี่ยวกับ การมองเห็น การได้ยิน ประสาทสัมผัสต่าง ๆ แล้วก็จะทดสอบเกี่ยวกับพฤติกรรมเด็กด้วย อะไรประมาณนั้นนะคะ ก่อนที่จะขึ้นชั้นประถม มาตรฐานการแพทย์ของสวิสดีจังเลยค่ะ เค้าใส่ใจในรายละเอียดต่าง ๆ ดีมาก และที่สำคัญไม่ต้องเสียเงินเลย เพราะได้ทำประกันของเด็กไว้  ;D

อยากจะเล่าเรื่องของเด็กไทยที่ย้ายมาอยู่สวิสค่ะ คือเด็กคนนี้เป็นลูกติดแม่มานะคะ พอมาอยู่สวิสก็เข้าชั้นอนุบาล เพียง 4 เดือนก็ได้ขึ้นชั้นประถม ปัญหาที่เกิดก็คือการปรับตัวทางด้านภาษา และพฤติกรรมของเด็กค่ะ ทางโรงเรียนเค้าประเมินว่า เด็กคนนี้ไม่สามารถจะเรียนตามเพื่อน ๆ ในห้องเรียนได้ทัน ไม่สามารถตอบคำถาม หรือทำตามในสิ่งที่ครูสั่งได้ดี ทางโรงเรียนและหน่วยงานที่ดูแลด้านการศึกษาได้เรียกตัวผู้ปกครอบเข้ามาคุย โดยทำการสอบถามทั้งแม่ และพ่อเลี้ยงของเด็ก เริ่มตั้งแต่ตั้งท้องว่ากินอะไร จนกระทั่งคลอดเลี้ยงลูกยังไง มีปัญหาภายในครอบครัวหรือป่าว  แล้วก็สอบถามเด็กแบบตัวต่อตัว ว่าแม่กับพ่อเลี้ยงดูยังไง มีปัญหากับพ่อเลี้ยงหรือป่าว ถูกตีบ้างมั๊ย ถามจนเด็กเครียดนะคะ (แม่เด็กเค้าว่างั้น)

ทางหน่วยงานเค้าวิเคราะห์ทุกอย่างแบบละเอียดมาก ๆ จนได้ข้อสรุปว่าเด็กคนนี้เป็นโรคสมาธิสั้น เลยต้องแยกห้องเรียนให้มาเรียน ในกลุ่มเด็กประเภทเดียวกันค่ะ ซึ่งห้องเรียนนี้จะมีจำนวนนักเรียนน้อยกว่า และจะเรียนช้ากว่าปกติ เพื่อให้เหมาะสมกับพฤติกรรมของเด็ก

จึงเห็นได้ว่ามาตรฐานการศึกษาของสวิสดีมาก ๆ ค่ะ นอกจากจะเรียนฟรี (เพราะจ่ายภาษีแพง) ;D เค้าก็ยังใส่ใจในเรื่องคุณภาพการศึกษาที่เด็กจะต้องได้รับ ไม่ว่าเด็กจะมาจากครอบครัวฐานะแบบไหน ทุกคนได้รับมาตรฐานการศึกษาที่เท่าเทียมกัน ซึ่งต่างจากเมืองไทย เด็กฐานะดีเท่านั้นถึงจะได้เรียนโรงเรียนดี ๆ มีมาตรฐาน :)
อย่าหยุดที่จะเดินหาโอกาส