Pall's Webboard

General Category => ห้องทู้เก่า Pall's Webboard => Topic started by: เขมรน้อย on November 06, 2005, 01:30:21 PM

Title: คุณแม่คนไทยในสวิส
Post by: เขมรน้อย on November 06, 2005, 01:30:21 PM
เมื่อไม่นานมานี้ได้อ่าน คสคส คอลัมน์ที่คุณกานดาเธอเขียนเกี่ยวกับแม่ของเด็กไทยในสวิส อ่านแล้วตะหงิด ๆ ใจ คิดว่าจะเขียนไปอธิบายความจริงหลาย ๆ อย่างที่ใครหลาย ๆ คนที่เมืองไทย ไม่เคยได้ประสบแต่ได้อ่านเพียงแค่จากคนไม่กี่คนแล้วก็ตัดสินพวกเราในทางลบ แต่กะว่าจะรอดูอารมฌ์ของตัวเองก่อน เพราะเราเขียนอะไรก็ค่อนข้างจะแรงและตรง แต่เราก็ต้องการความตรงที่ไม่แรงของเรา ซึ่งก็พอจะมีอยู่เหมือนกัน  เพื่อนที่ได้อ่านใครมีความคิดเห็นอย่างไร ดูแลลูกอย่างไรให้คงความเป็นเด็กไทยให้มากที่สุด ลองมาแชร์กันดูซิค่ะ ได้ความรู้และประสบการณ์ของความเป็นแม่ของเพื่อน ๆ ก็จะดี เขมรน้อยจะได้ไม่เอาแต่ความเห็นตัวเองไปเขียนค่ะ ขอบคุณมากค่ะ  
 

**กระทู้นี้เป็นกระทู้เดิมหมายเลข 0958 ห้อง pallswiss (เผื่อใช้ในการค้นหา)**
Title: คุณแม่คนไทยในสวิส
Post by: pall on November 06, 2005, 02:16:36 PM
สวัสดีจ๊ะเขมรน้อย
 ป้าไม่ได้เป็นสมาชิกคู่สร้างคู่สม
 อยากเห็นข้อความที่คุณกานดาเขียนมากเลย
 ขอความกรุณาให้เขมรน้อยช่วยนำข้อความทั้งหมด
 มาช่วยลงให้อ่านได้ไหมจ๊ะอยากอ่านมากจริงๆ
 ขอบใจมาล่วงหน้า
Title: คุณแม่คนไทยในสวิส
Post by: บัวขาว on November 06, 2005, 03:48:15 PM
อยากอ่านด้วยคน พี่เขมรเอาลงให้อ่านบ้างดิ ขอบคุณค่ะ
 
Title: คุณแม่คนไทยในสวิส
Post by: เขมรน้อย on November 06, 2005, 04:55:33 PM
ขอเวลาหน่อยน่ะค่ะ ต้องไปค้นอีกที สัญญาว่าจะเอามาให้อ่านค่ะ  และจะขอความเห็นจากทุกคนด้วยค่ะ จะก็อปลงในเมล์ที่จะส่งให้คุณกานดาเธอด้วยค่ะ แต่ขอบอกไว้ก่อนว่า จุดประสงค์เพื่อต้องการทำความเข้าใจกับคนไทยทุกคนที่ได้อ่าน แต่ไม่ได้เคยมีประสบการณ์อย่างที่เรามีค่ะ ไม่ต้องการทะเลาะ หรือแก้ตัวแทนหรืออะไรทั้งนั้น แต่ต้องการให้เขาทราบว่าเรายังเป็นคนไทย ที่รักความเป็นไทยค่ะ และพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะให้ลูกของเรารักษาความเป็นไทยไว้และคิดว่าใครหลาย ๆ คนที่นี่ก็คงจะรู้สึกเหมือนเขมรน้อยค่ะ รอนิดหน่อยน่ะค่ะ
Title: คุณแม่คนไทยในสวิส
Post by: เขมรน้อย on November 06, 2005, 07:20:07 PM
คสคส ปีที่ 26 ฉบับ 509 ประจำวันที่ 10-20 ตุลาคม ทศ 2  2548
 คอลัมน์ ภรรยาพาที หัวข้อ คนไทยพูดไทย
 
 เขมรน้อยเห็นด้วยแทบทุกหัวข้อที่คุณกานดาเธอเขียนมาทั้งหมดยกเว้นอยู่วรรคหนึ่งที่ว่า
 
 ทีนี้ไปดูภาษาไทยในต่างประกันบ้างค่ะ    ครูไทยคนหนึ่งในสวิสเล่าว่าเดี๋ยวนี้คนไทยที่นั่นไม่ค่อยเห็นความสำคัญของภาษาไทยด้วยเหตุผลต่าง ๆ นา ๆ เช่น   กลัวลูกจะสับสนเรื่องภาษาเพราะพ่อพูดอีกภาษาหนึ่ง แม่พูดอีกภาษาหนึ่งเลยตัดสินใจให้ลูกพูดภาษาของประเทศนั้นอย่างเดียว
 กลัวลูกจะรู้ไม่เท่าทันเด็กอื่นในท้องถิ่นที่อาศัยอยู่ มัวแต่พูดภาษาไทยบ้างฝรั่งบ้าง เลยตามฝรั่งไม่ทัน
 
 รู้สึกอายหรือไม่ทันสมัย ที่อุตส่าห์บินมาไกลข้ามทวีปมา ยังมัวแต่พูดภาษาเดิมอยู่อีก ต้องออกสำเนียงฝรั่งชัดไปเลยลืมภาษาไทยไม่ว่า บางคนคงจบประถมมาจากเมืองไทย ซึ่งหมายความว่า พูดไทยได้ชัดแจ๋ว แต่ไปอยู่สวิสได้สองปี พูดไทยไม่ค่อยได้เสียแล้ว คนไทยพูดด้วยกลับตอบกลับเป็นภาษาฝรั่งทั้งที่พูดฝรั่งก็ยังไม่ค่อยได้นั่นแหละ อย่างนี้ตั้งใจลืมแน่นอน คิดว่าผู้ใหญ่คงเสี้ยมสอนไว้ไม่ใช่ความคิดบริสุทธิ์ของเด็กแน่นอน ไม่พูดไทยเพราะกลัวถูกล้อว่าเป็นเด็กต่างชาติ ข้อนี้เห็นใจเด็ก สิ่งที่เด็กกลัวที่สุดคือการถูกเพื่อนล้อเลียนหรือไม่ยอมรับเข้ากลุ่ม ผู้ใหญ่ต้องช่วยเหลือมากหน่อย ผู้ใหญ่เองก็ไม่อยากพูดไทย เวลาเจอคนไทยทำเป็นเฉยหรือเลื่ยงพูดภาษาอื่น ไม่อยากทักทาย กลัวมาขอความช่วยเหลือ กลัวมาคุ้ยประวัติ กลัวตีสนิทแล้วเอาไปนินทาต่อ คงจะเบื่อนิสัยคนไทย อุตส่าห์หนีไปนอกแล้วยังตามมารังควานอีก เวลาเจอคนไทยจะต่างคนต่างกลัวกัน ไม่ไว้ใจกัน ไทยยังกลัวไทย แล้วชาติไหนจะไม่กลัวเรา
 
 นี่ล่ะค่ะที่ตัดออกมาส่วนที่เขมรน้อยรู้สึกตะหงิดตะหงิด มันไง ไงอยู่น่ะ มีส่วนจริงไม่ถึงสิบเปอร์เซ็นต์ และเขมรน้อยต้องการความเห็นจากหลาย ๆ คน ว่าเคยเจอบ้างใหม ยอมรับว่าเคยเจอ แต่ น้อยมาก น้อยจริง ๆ และจากที่ประสบมา ไม่จริงค่ะ ใช่ค่ะ พวกเรากลัวกันเอง ระแวงกันเอง แต่มันไม่ใช่อย่างที่ว่าซะมากกว่าใช่ ทำไมไม่เอา*เปอร์เซ็นต์ที่มากกว่ามาเขียนค่ะ
Title: คุณแม่คนไทยในสวิส
Post by: เขมรน้อย on November 06, 2005, 08:04:47 PM
ขอเริ่มค่ะ
 
 เขมรน้อยเห็นว่าพวกเราทุกคนให้ความสำคัญกับภาษาไทยมาก พวกเราพูดภาษาไทยมากกว่าภาษาเขา และยังสอนให้ลูกพูดภาษาเราแม้ว่าลูกเราหลายคนเกิดที่นี่ค่ะ บางคนพูดกับลูกภาษาลาว เขมรน้อยยังพูดกับลูกทั้งลาว ไทย เขมร แต่ลดเหลือแค่ภาษาไทยเพราะลูกจะช้า ลินดามาที่นี่ตอนเก้าขวบ ที่เมืองไทยเราพูดที่กันสองภาษา คือ ไทย และอังกฤษ เพื่อน ๆ ลินดา พูดภาษาเขมร ลินดาได้ภาษาลาวไม่กี่คำ  
 
 พอมาสวิส ลำบากมาเพราะพ่อไม่เคยสอนเยอรมันตให้เลย เพราะไม่คิดว่าจะมาใช้ชีวิตที่นี่ ลูกร้องให้ทุกวันเพราะไม่เข้าใจเพื่อน ๆ และคำสั่งของครู ครูต้องเอาเวลาสอนมาแปลให้ฟัง กลับมาจากโรงเรียนร้องไห้ทุกวัน บอกว่าเด็กที่นี่ไม่เหมือนที่เมืองไทย เขาไม่ฟังครู เถียงครู รับไม่ได้  ฯลฯ
 
  ตอนแรกเขาจะเน้นภาษาเยอรมันให้ลูก จะมีห้องของเด็กที่มาในสวิสใหม่ ๆ และไม่รู้ภาษาของที่นี่ เลย เราลำบากทั้งแม่และลูก  แต่เราทั้งคู่ภูมิใจในภาษาและวัฒธรรมเรามาก เราแม่ลูกได้รับเชิญจากครูของโรงเรียนให้ รำไทยให้เพื่อน ๆ นักเรียนของเขาดู เราเลือกเรือมอันเร เพราะสายเลือดแม่แรงมากในการรำท้องถิ่น ลูกรำได้ด้วย เราขอให้คุณยายและป้า รวมถึงคุณครูมัธยมตำบลตระแสง จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งเคยร่วมทำงานสอนรำมาด้วยกัน และ เคยส่งเด็กเข้าประกวด เนื่องในวันเกิดของพระเทพฯ (ขอใช้ภาษาชาวบ้านน่ะค่ะ) ส่งข้อมูลและชุดผ้าใหมที่ใช้ในการรำมากให้เรา และต่อหน้าเพื่อน ๆ ในโรงเรียน เราก็ได้พูดภาษาของเราทั้งสามภาษาให้เพื่อน ๆ เขาฟัง และอธิบายความหมายของท่ารำต่าง ๆ ให้พวกเขาฟัง เขายังบอกว่าถ้ามีเวลาอยากให้ทำกับข้าวไทยมาให้ดูด้วย จะได้มาทานอาหารด้วยกันด้วย แต่เราไม่มีเวลา
 
 เพราะฉะนั้นสวิสและคนสวิสหรือเด็กสวิสไม่มีการล้อเลียนเด็กที่เป็นคนต่างชาติค่ะ เพราะเขาให้ความสำคัญกับศิลปวัฒนธรรม ในทุก ๆ ด้าน ของทุก ๆ ชาติ และครูของเขายังขอให้คุณแม่พูดภาษาไทยกับลูก และขอให้คุณพ่อพูดภาษาเยอรมันกับลูก ส่วนภาษาท้องถิ่นหรือที่คนที่นี่เราเรียกกันว่า ไดอะเล็ก หรือ ไดอะแลก นั้น เพื่อนของเขาจะสอนเขาโดยธรรมชาติ  เพราะฉะนั้นขอบอกว่า เด็กที่ไม่ทันสมัยคือเด็กที่พูดภาไทยหรือภาษาของตนไม่ได้ค่ะ อย่าลืมว่า จากประชากร 7.4 เป็นสวิสแท้ประมาณห้าล้านกว่า ๆ (อย่างมาก) นอกนั้นแค่สัญชาติเท่านั้นค่ะ
 
 ส่วนที่ว่า เด็กมาอยู่สวิสสองปีพูดภาษาไทยไม่ค่อยชัด คิดบ้างไหมว่าเด็กเครียดขนาดใหน ในโรงเรียนที่ไม่เข้าใจครูหรือเพื่อน เด็กก็มีสํญชาติญาณของการอยู่รอดในสังคมพอ  
 
Title: คุณแม่คนไทยในสวิส
Post by: เขมรน้อย on November 06, 2005, 08:14:25 PM
พอ ๆ กับผู้ใหญ่ ต้องการที่จะเข้าใจคำพูดของเพื่อน ครูหรือใคร ๆ ที่เขาสนทนาด้วยเขาจึงพยายามทั้งคิดและพูดเป็นภาษาที่คนส่วนมากและเพื่อน ๆ ของเขาใช้กัน  และเด็กเรียนรู้เร็วและลืมเร็วพอ ๆ ก้นน่ะค่ะถ้าคุณครูคนนั้นคิดว่าผู้ใหญ่เสี้ยมสอนไว้ก็ขอมองว่า คิดในแง่ลบมากเกินไปค่ะ ลองมองหาความคิดในแง่บวกบ้าง และมองดูคนไทยที่มาอยู่ที่อย่างที่เป็นอยู่กันจริง ๆ ศึกษาทั้งธรรมชาติของมนุษย์ ธรรมชาติของคนไทย ธรรมชาติของเด็ก ธรรมชาติของคนที่นี่ สังคมที่นี่ว่าพวกเราต้อง อยู่อย่างไร เรียนอย่างไร ที่จะอยู่ได้อย่าง มีความสุขที่สุด ตามอัตรภาพของพวกเรา พวกเราต้องการจะเป็นคนไทยที่มีคุณภาพกันทุกคน (และต้องการการยอมรับจากสังคมสวิสด้วย (ตรงนี้เป็นความคิดเห็นของเขมรน้อยคนเดียวค่ะ)
Title: คุณแม่คนไทยในสวิส
Post by: เขมรน้อย on November 06, 2005, 08:47:41 PM
อ้อ ลืมอธิบายว่า สวิสมีประชากรที่ไม่ใช่สวิสมากขนาดนี้ เพราะเขายอมรับพวกเราและต้องการให้พวกเรารักษาความเป็นเราพร้อมทั้งให้โอกาสมากมายกับลูกของเรา ที่จะอยู่ในสังคมของเขาได้อย่างภูมิใจในตัวเองไม่อายใคร และเราไม่ต้องอายด้วย เพราะในชั้นของลูก สวิสแท้ประมาณยี่สิบถึงยี่สิบห้าเปอร์เซ็นต์ เราไม่อายค่ะ เราภูมิใจค่ะ
 
 
 พวกเราเครียดกันมากที่นี่ พวกเราแทบจะทุกคนไม่มีพี่น้องอยู่ใกล้ อากาศ อาหาร สังคม ความคิดของคนที่นี่ ขอร้องว่าอย่าตัดสินเราจากคนไม่กี่คน ความคิดไม่กี่ความคิด สื่อ มีความสำคัญมาก เราไม่ต้องการให้คนไทยด้วยกันมองเราในแง่ลบไปมากกว่านี้ แค่ที่เราเจอกันที่นี่ ก็สาหัสพอแล้ว
 
 จริงค่ะที่ว่าคนไทยเราระแวงกันเอง แต่เขมรน้อยคิดว่า เขมรน้อยมองเขาอย่างน่าสงสารมากกว่า เพราะเขมรน้อยเคยเจอ และตอนนี้ไม่สนเจอใครก็ทักภาษาไทย ถ้าเขาทักตอบก็คุยกัน ระบายกันไป ไม่เคยคิดและกลัวว่าใครจะมาคุ้ยประวัติ ก็อยากจะให้คุ้ยน่ะค่ะ จะภูมิใจมากถ้าคุ้ยเจอ และจะขอบคุณที่ให้ความสำคัญขนาดมาคุ้ยประวัติ  
 
 เขมรน้อยเคยคิดที่จะไปถามสถานทูต หรือ กงสุลไทยว่ามีสอนภาษาไทยให้เด็กไทยเราที่นี่หรือเปล่า เพราะต้องการให้ลูกได้เรียนเพิ่มเติมภาษาไทย จะสอนเราก็ไม่มีเวลาสอน ยิงตอนนี้ ตื่นตีห้าไปทำงาน กลับถึงบ้านทุ่มกว่าแน่ะ  
 
 อย่างที่ว่าค่ะ มันเป็นความเห็นที่เขียนไม่ค่อยสละสลวยเพราะไม่ใช่นักเขียน เพื่อนคิดกันอย่างไรก็ลองบอกกันมาบ้าง สอนลูกอย่างไร ให้อะไรกับลูกบ้างและลูกของเพื่อน ๆ เป็นอย่างไร บอกันบ้างน่ะค่ะ เขมรน้อยพูดให้คำเดียวว่าภูมิใจในความเป็นไทย และภูมิใจในตัวลูกมาก เขามีความเป็นไทยพอ ๆ กับความเป็นสวิสค่ะ  
 
 สำหรับหลาย ๆ คน อาจจะคิดว่าที่คัดลอกมานั้นไม่สำคัญเพราะเป็นแค่ความเห็นของคน ๆ หนึ่ง และมนุษย์นั้น ต่างจิต ต่างใจ ถ้าคนที่เขามีประสบการณ์ และคิดเป็น เขาก็จะแยกแยะเป็น แต่อย่าลืมว่าพวกที่แยกแยะไม่เป็นเขามีกันมากกว่าคนที่แยกแยะเป็นและคิดเป็นค่ะ สำหรับเขมรน้อยสำคัญค่ะ ถ้าคิดว่าเขมรน้อยคิดมากไปก็บอกกันได้น่ะค่ะ ยินดีรับฟังค่ะ
Title: คุณแม่คนไทยในสวิส
Post by: แนน on November 07, 2005, 10:00:02 AM
เห็นว่าที่เขาเขียนมาก็มีความเป็นไปได้นะคะ อันนี้ขอแสดงความคิดเห็นในเรื่องของผู้ใหญ่ เพราะไม่มีความรู้เรื่องเด็กๆ เพียงแต่เขาใช้ความคิดเห็นจากคนๆเดียวและความรู้สึกส่วนตัว เพื่อที่จะบอกกล่าวถึงปัญหาที่มีอยู่ เพราะถ้าไม่มีปัญหานี้จริงๆ เขาก็คงจะเขียนว่า ให้คนไทยในประเทศอื่นดูเป็นตัวอย่าง ว่าคนที่นี้รักษาความเป็นไทยอย่างดีเลิศ และปัญหาที่เขาเขียนมาตัวคุณเองก็ยอมรับว่ามันมี คิดว่าเรื่องเปอร์เซ็นไม่ใช่ส่วนสำคัญ ปัญหาก็คือปัญหา ไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็ต้องแก้ไข  
 เท่าที่ดูมา สื่อก็มักจะนำเสนอข้อมูลให้คนเห็นอย่างที่ตัวเองต้องการ ไม่ว่าสื่อแบบไหนก็เป็นเหมือนกันทั้งนั้น หน้าที่กรอง เป็นหน้าที่ของคนอ่านเอง จะมาคาดหวังให้สื่อมีจรรยาบรรณ ก็ออกจะมองโลกในแง่ดีไปหน่อย ส่วนใครจะแยกแยะได้หรือไม่ก็เป็นเรื่องธรรมดาคะ เป็นสิทธิส่วนบุคคล ทุกคนมีสิทธิออกความเห็น คุณเองก็มีสิทธิจะมองว่าที่เขาออกความเห็นมาเป็นอย่างไร
 ในคุยเรื่องนี้แล้วก็อยากจะเล่าให้ฟังบ้างนะคะ  
 อันนี้ไม่ได้เจอกะตัว แต่น้องที่สนิทเขาเล่าให้ฟังว่า เห็นคนไทยก็เลยอยากเข้าไปคุยด้วยความเหงา แต่ก็ไม่น่าใจเลยถามเป็นภาษาไทยว่า เป็นคนไทยหรือเปล่าคะ ส่วนเขาตอบเป็นอังกฤษว่า โน เป็นคนจีน แต่มันดันฟังคำถามภาษาไทยออก น้องก็บอกว่าเมื่อกี้ยังได้ยินคุยไทยอยู่เลย 55 ตลกสุดๆๆ  
 ส่วนที่เคยเจอเองเป็นลูกครึ่งไทย สวิสคะ มาจากตอนใต้ มาเรียนเยอรมันเหมือนกัน เขาก็บอกนะคะว่าเป็นลูกครึ่ง เวลาคุยกันก็คุยเป็นเยอรมัน ธรรมดาคะ เขาคุยภาษาไหนก็ตามๆเขาไป ถ้าตามได้ แต่ก็เจอกันวันเดียวนะคะ แล้วก็ต่างคนต่างไป
 ส่วนเรื่องที่สอนภาษาไทยให้เด็กไทยก็มีที่วัดไทยไม่ใช่เหรอคะ พาลูกไปเรียนสิคะ รู้หลายภาษายังไงก็ได้เปรียบอยู่แล้ว ไม่มีข้อแม้ว่าจะเป็นภาษาอะไร ภาษาไทยยังยากกว่าเยอรมันอีก ไปเรียนไว้แต่เด็กจะได้เป็นเร็ว  
 ส่วนตัวเรื่องเชื้อชาติไม่ค่อยมีอิทธิพลมากเท่าตัวตนนะคะ (เรื่องปรัชญามากนะคะ) เพระตัวตนมีเพียงแค่เราคนเดียวคะ ถ้าเราไม่รักษา ถ้าสูญ ก็จะไม่เหลืออะไรเลย นอกเรื่องหรือป่าวเนี้ย แต่ก็อยากจะบอกว่า  ทำอะไรก็ได้ ที่ทำแล้วภูมิใจ ทำแล้วไม่ต้องอาย เวลาที่จะพูดหรือนึกถึง ฉนั้น คิดก่อนทำคะ lol โชคดีทุกคน
Title: คุณแม่คนไทยในสวิส
Post by: อ่านแล้วเฉยๆ on November 07, 2005, 11:02:09 AM
เป็นตัวของเราเองน่ะดีที่สุด
 คนอ่านก็คือคน
 คนเขียนก็คือคน
 ดูแลตัวเราเอง
 และครอบครัวเราเอง
 จะเป็นสิ่งดีที่สุด
 เขาเขียนหนังสือขาย
 จริงบ้างไม่จริงบ้าง
 คนอ่านต้องพิจารณาเอาเอง
 ว่าเชื่อได้แค่ใหน
 แต่เชื่อมั่นในตัวเองเป็นดีที่สุด
 นานาจิตตัง..
 
Title: คุณแม่คนไทยในสวิส
Post by: เขมรน้อย on November 07, 2005, 11:38:18 AM
สวัสดีค่ะคุณแนน ต้องขอบคุณที่มาให้ความเห็น และเป็นความเห็นที่น่าสนใจมาก เขมรน้อยไม่ได้คาดหวังอะไรมากมายจากสื่อหรอกค่ะ แต่คิดว่าคงจะไปคาดหวังจากคุณครูคนไทยคนนั้นมากไปกระมัง เพราะถ้ามาเป็นครูในสวิส ควรจะทราบดีว่าสภาพของเด็กที่เกิดจากเมืองไทยโตที่เมืองไทยและจบประถมจากเมืองไทยมาอยู่ที่นี่ เขาต้องเผชิญกับอะไรบ้างน่ะค่ะ และแม่ของเด็กจะต้องเจออะไรบ้าง  
 
 เขมรน้อยเข้าใจค่ะว่าพื้นฐานของคนทุกคนต่างกันแน่นอน เพราะอย่างนั้นน่ะซิค่ะถึงขอให้เพื่อน ๆ เขียนมาให้ความเห็น และเขมรน้อยจะขอเน้นเรื่องที่ดีและเป็นจริงไปให้คนไทยในเมืองไทยที่ได้อ่าน พอจะเข้าใจพวกเราบ้าง และที่เขมรน้อยคิดว่าสื่อตรงนี้สำคัญมาก ก็เพราะเมื่อประมาณต้นปีนี้หรือปลายปีที่แล้วก็ไม่ทราบ จำไม่ได้แล้วค่ะ เพื่อนหญิงไทยเราที่นี่แหละค่ะ เธอก็ไปเขียนว่า คนไทยที่นี่ ถ้าไม่มีทองเส้นใหญ่ ๆ ใส่ก็ไม่คบ ไม่เรียกเข้าบ้าน ต้องเป็นระดับเดียวกันจึงจะคบ เขมรน้อยก็เงียบไม่ได้คิดอะไรมาก เขาคงเจอมาแล้วเครียดเลยเหมารวม แต่ ทั้งโทรศัพย์ ทั้งจดหมาย ทั้ง อีเมล์ มาจากเพื่อน ๆ เมืองไทย และครู อาจารย์ที่เคารพ ทั้งแม่ ทั้งน้อง เพื่อนๆ ที่อยู่ประเทศอื่น ถามกันให้วุ่น เราก็เลยบอกว่า เขาคนเดียวที่พูดอาจจะเป็นจริงแต่ไม่ใช่ในกลุ่มเราแน่นอน และก็บอกเขาไปว่า ที่นี่เขมรน้อยอยู่อย่างประหยัด และเพื่อน ๆ เขมรน้อยทุกคน ทำงาน และหางานทำ ไม่มีเวลาที่จะมานั่งใส่ทองแข่งกันค่ะ เขมรน้อยรักภาษาไทยมาก แม้จะเรียนเน้นภาษาไทยจบแค่ ปวส แต่ก็พยายามอย่างยิ่งที่จะใช่ภาษาไทยให้ถูกต้อง ส่วนภาษาอื่นนั้น ขอแค่พอหางานทำได้เข้าใจคนของเขาให้ถูกต้อง เขมรน้อยก็พอใจแล้ว  
 
   
 เขมรน้อยเห็นว่า เรื่องเชื้อชาติไม่ค่อยมีอิทพลเท่าตัวตนนั้น   อยู่ที่ว่าเรามองกันในมุมใหนค่ะ และถ้าตัวตนของคนคน ๆ ไม่มีความรักและภาคภูมิใจในเชื้อชาติของตน แน่นอนค่ะไม่แค่ตัวตนของเขาหรอกค่ะที่สูญไป แต่ชาติพันธุ์ที่เขาเกิดมา รากเหง้าของผู้ให้กำเหนิดของเขาก็จะสูญไปพร้อมกับเขาด้วยเพราะเขาก็คือหนึ่งในเชื่อชาตินั้น(แม้จะแค่หนึ่งก็ตาม) ในส่วนนี้เขมรน้อยให้ความสำคัญเชื่อชาติกับตัวตนพอ ๆ กันค่ะ  ส่วนเรื่องของการดำเนินชีวิตประจำวันนั้น คิดว่า อาจจะใช่ค่ะ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ซับซ้อนคุยกันได้ไม่จบหรอกค่ะ  
 
 อย่างที่ว่าค่ะ ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะคิดจะทำ ส่วนตัวเขมรน้อยคิดว่าก้าวแรกที่เท้าเล็ก ๆ ของเราเหยีบพระแม่ธรณีนั้น คือผื่นแผ่นดินไทย ภาษาที่เขมรน้อยพูดคือภาษาเขมร ที่เราพูดกันในประเทศไทย (มีส่วนคล้ายแต่ไม่เหมือนที่เขาพูดกันในกัมพูชา) ภาษาที่เราเรียนคือภาษาไทย เพราะฉะนั้นข้าผู้น้อยภูมิใจที่ไปเกิดเป็นคนไทยค่ะ
 
 ที่เขมรน้อยเขียนมาทั้งหมด จุดประสงค์เดียวคืออยากให้คนไทยมองเราที่อยู่ที่นี่ในความเป็นจริงที่เราอยู่ที่เราเป็นกัน ซึ่งหลาย ๆ อย่างมีบวกมากกว่าลบค่ะ  
 
 วัดไทยหรือค่ะ ในซูริคไม่มีหรือค่ะ วัดไทยใกลมากค่ะ สำหรับเรา เพราะเราไม่มีรถ ใช้เวลาเดินทางสอง ชม ค่ะ ไกลไป ขอบคุณค่ะที่ให้ข้อมูลมา โชคดีเช่นกันค่ะ
Title: คุณแม่คนไทยในสวิส
Post by: เขมรน้อย on November 07, 2005, 11:42:12 AM
ลืมค่ะ หวัดดีค่ะป้า และทุก ๆ คน ถ้าคิดได้ อย่างคุณอ่านแล้วเฉย ๆ ก็ดีน่ะ ไม่เครียดดี หลาย ๆ เรื่องข้าน้อยก็คิดอย่างนั้นค่ะ แต่หลาย ๆ เรื่อง ข้าน้อยบ่คิดจังซั่นค่ะ ขอบคุณค่ะ
Title: คุณแม่คนไทยในสวิส
Post by: แนน on November 07, 2005, 07:46:36 PM
เอ้อ ตัวตนไม่ได้ขึ้นอยู่กะมุมมองนะ แต่ตัวตนเกิดมาจากการหล่อหลอม สั่งสมประสบการณืของแต่ละคน ซึ่งเรื่องเชื้อชาติ หรือรากเหง้าจะเข้ามาเกี่ยวข้องหรือไม่ ก็เป็นการเข้าใจและยอมรับของแต่ละคน จุดมุ่งหมายของตัวตนคงจะไม่ได้มีไว้รักษาเผ่าพันธุ์ แต่มีใว้เพื่อตัวของคนคนนั้นเอง ปรัญชาวันละนิด จิตแจ่มใสนะจ้า
Title: คุณแม่คนไทยในสวิส
Post by: บัวขาว on November 08, 2005, 10:59:14 PM
ทุกวันนี้ห่วงเรื่องสุขภาพจิตลูกที่สุด
 เนื่องจากว่า ญาติก็ไม่มี เพื่อนก็ไม่ค่อยมีที่นี่ ตอนเช้าคนที่นี่เขาก็โดยมากทำงาน ซื้อของ เช็ดบ้านถูบ้าน สนามเด็กเล่นก็ไม่มีเด็กสักคน อากาศหนาว แล้วจะหาเพื่อนให้ลูกที่ไหน อายุลูกก็ยังไม่ถึง เพกรุ๊ปก็เข้าไม่ได้ อนุบาลก็ตั้งห้าขวบ ที่บ้านก็พูดภาษาคำเมืองกับฝรั่งเศล แล้วลูกจะให้ลูกเรียนภาษาเยอรมันที่ไหน ส่งลูกเข้าเนอรเซอรี่ตัดปัญหาทุกอย่าง มีลูกสองคนคนเล็กก็ยังเล็กมาก เลี้ยงคนเดียวเหนื่อยบางคนอาจมองว่าบัวขาวขี้เกียจเลี้ยงลูก (แต่ก็มีความจริงบางส่วน 555555) ใครไม่ลองไม่รู้ เลี้ยงลูกเล็ก เล็กในต่างประเทศคนเดียวนี้เหนื่อยจริง จริง  ไม่ไหนมาไหนก็กระเตงกันไป ตอนนี้ส่งคนโตไปเนอสเซอรี่ครึ่งวัน ตัดปัญหาทุกอย่าง  
 หนึ่งช่วยแบ่งเบาภาระไปเยอะมาก เรามีเวลาได้พักผ่อนบ้าง มีเวลาดูแลคนเล็กด้วย
 สองลูกมีเพื่อน มีสังคม สุขภาพจิตดี
 สามลูกได้ฝึกพูดภาษาเยอรมันถูกต้อง
 เนอรเซอรี่ให้หลายอย่างทีเดียว หลายคนอาจบ่นว่าแพง แต่ว่าคุ้มค่าเหลือเกิน เดี๋ยวนี้ลูกไปไหนมาไหนไม่ต้องกลัว ได้ทั้งสามภาษา ส่วนบัวขาวพูดภาษาคำเมืองกับลูกทุกคำ ทุกที่ ไม่มีคำว่าอายเพื่อให้ลูกเขาใจเราที่สุด และเราเข้าใจลูกที่สุด แต่เวลาเขาจะ โห้ย หรือจะ หยา มาเราก็ไม่เคยว่า ไม่ห้าม (อยากพูดไร พูดมาดิ เข้าใจทุกอย่าง555)ให้อนุญาติพูดได้ตามใจเขา บางทีในรถไฟเด็กอื่นพูดเยอรมัน เขาก็พูดเยอรมันกับเราด้วย แบบว่าอยากโชว์ออฟ ข้าก็พูดได้นะเฟ้ย เราก็เราก็พูดไปกับเขา แต่เราพูดคำเมืองนะ  
 ลูกคนโตสุขภาพจิตดีมาก เข้ากับเด็กอื่นได้ ไม่อาย เห็นสนามเด็กเล่น (ช่่วงที่ไม่หนาวเกินไป ) วิ่งไปเล่นเลย ไม่อาย ไม่กลัว รักน้อง ไม่ค่อยอิจฉาน้อง เพราะมีไรทำช่วงเช้า ช่วงบ่ายก็มีเวลาอยู่กับน้องกับแม่ คิดว่าจะให้อยู่เนอรครึ่งวันไปเรื่อย เรื่อย จนถึงสามขวบ เพราะสามขวบเขาจะมีกิจกรรมแล้ว ทั้งเพกรุ๊ป ทั้งคิดเดอร์พาราดิส เรียน เต้นรำ ร้องเพลง ออกกำลังกาย มีกิจกรรม มีไรให้ทำเขาจะได้ไม่เบื่อ และมีเวลาเล่นกับน้องมากขึ้น คิดว่าอยู่เนอรปีเดียวนี่ดีที่สุด เขาเริ่มเข้าตั้งแต่สองขวบ บางคนอาจเห็นว่าเร็วไป(มันก็เร็วไปจริง จริง แต่คุณแม่เหนื่อยมาก) ส่วนเรื่องคนไทยระแวงกันกันเองนั้นบัวขาวไม่รู้หรอกค่ะ เพราะมาอยู่สามปี วัน วันก็เลี้ยงลูก ทำงานบ้าน ทำกับข้าวไม่มีเวลาไปไหน นอกจากพาลูกออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์ เดินเล่น และซื้อของ
 
Title: คุณแม่คนไทยในสวิส
Post by: คุณแม่คนไทยในสวิสเหมือนกัน on November 09, 2005, 10:17:48 AM
เอ...จริง ๆ กระทู้นี้น่าจะเป็นกระทู้ฮอท  และมีคนเข้ามาตอบเยอะ ๆ นะคะ  อ่านอยู่หลายวันแล้ว  อยากตอบเหมือนกันแต่ไม่ค่อยกล้าตอบเท่าไร  เกรงว่าจะเป็นการถูกใจตัวเอง  แต่ไม่ถูกใจใคร....แฮ่
 
 เขมรน้อยจ๋า......เข้าใจกับความรู้สึกจ๊า  เพราะเคยเป็นมาก่อน  แต่ระยะเวลาผ่านไปมันก็ต้องทำใจ  และก็ปรับตัวให้เข้ากับปัญหาตรงนี้  มูลอาจจะมีอยู่บ้างแม้จะติ๊ดเดียว  หรืออาจจะเป็นไปได้ว่าเป็นเรื่องนั่งเทียนไม่มีใครเป็นแบบนี้เลย  เพราะว่าไม่เคยเห็นและไม่รู้จักคนแบบคุณกานดาเธอว่ามาเลยค๊า   และอีกอย่างไม่เคยอ่านต้นฉบับจริง ๆ  เธอไม่ได้อ้างเลยค๊าว่าคนที่ว่าถึงเป็นใคร  มีแค่คนเดียวหรือว่ามีร้อยคน  หรือห้าพันคนในจำนวนหนึ่งหมื่นคนที่มีอยู่ในประเทศสวิส  คิดเข้าข้างตัวเองไว้เลยจ๊าว่า  "มีเราอย่างน้อยคนนึงละที่ไม่เป็นแม่คนไทยในสวิสแบบที่คุณกานดาว่ามาล้านเปอร์เซนต์ 555..."
 
 ********************************************************************
 
 คณอ่านแล้วเฉย ๆ  สนับสนุนค๊า  เพราะถ้าคุณทำได้คุณจะเป็นคนที่มีความสุขกับหนังสือบันเทิงเริงใจฉบับนั้นมาก ๆ  ขอให้อ่านเพื่อความบันเทิงไปในทุกเรื่อง  ความเป็นจริงอย่าไปสนใจมันมาก  ทำให้สุขภาพจิตเราดีขึ้น  เห็นด้วยไม่อ่อนไหวกับสื่อที่ป้อนให้   คุณเป็นคนมีความสุขที่น่าอิจฉาจริง ๆ คะ
 
 **********************************************************************
 
 คุณแนนคะ  เรื่องปรัชญงปรัชญาเราไม่รู้เรื่องหรอกค๊า  ความรู้น้อยบางอย่างพูดไทยยังแปลไทยไม่ค่อยออกเลยค๊า  นับประสาอะไรกับภาษาเยอรมัน  ถ้าคนไทยเค้าพูดภาษาเยอรมันด้วยเนี๊ยะถ้าเราพูดได้แล้วตอบไป  มันมีผลดีนะค๊า  ทำให้เราได้ใช้ภาษาที่อุตส่าห์ข้ามน้ำข้ามทะเลมาเรียนถึงประเทศสวิตเซอร์แลนด์   เรากลับแปลกใจเสียอีกเวลามีคนไทยด้วยกันพูดภาษาเยอรมัน  ทำไมคนไทยด้วยกันดันหาว่าเราดัจจริตไปอีกละสิ  แถมเวลาไปเรียนภาษาเยอรมันเจอคนไทยด้วยกันพอพูดไทยกัน  ครูดันต่อว่านี่ ๆ  ๆ เราเรียนภาษาเยอรมันกันนะ ควรจะพูดเยอรมัน  เอาใจใครไม่ถูกเลยโดนทั้งขึ้นทั้งล่อง
 
 เพื่อนคุณแนนเล่าให้ฟัง  บอกเพื่อนว่าอย่าเก็บเอามาใส่สมองเลยค๊า แถมไม่น่าเล่าต่อให้คุณแนนฟัง  ไม่รู้เล่าเพื่ออะไรเนอะ  คงเล่าเพื่อตอกย้ำให้คนไทยด้วยกันไม่พอใจคนไทยด้วยกัน  5555    คิดเอาเอง   เพราะเรื่องนี่มันเป็นเรื่องโจ๊กระดับโลกค๊า  เคยได้ยินแต่คนเค้าเล่าว่าเคยเจอคนไทยด้วยกันพอทักแล้วเค้าไม่ทักตอบ   โดยส่วนตัวไม่เคยเจอเลยค๊า  เพราะตอนอยู่เมืองไทย  เราไปไหนก็ไม่เคยทักใครเลย  เพราะไม่รู้จักเลยไม่ทักง่ะ  พอมาอยู่ที่นี่ถ้าคนไม่รู้จักก็คือไม่ทักง่ะ  มารยาทแย่ ๆ แบบนี้มานานเป็นสิบแล๊ว  555
 
 **********************************************************************
 
 คุณบัวขาวค๊า   ถ้าอยู่ใกล้ ๆ จะหอมซักฟอดใหญ่ ๆ  เพราะเป็นแม่ที่ขี้เกียจเหมือนกัน.....แฮ่   แถมมีความคิดเหมือนกันค๊าตรงที่ "เป็นห่วงสุขภาพจิต" ของลูกเป็นที่สุด  ดีคะที่ไม่ซีเรียสในเรื่องภาษาของลูก  ดีใจที่คุณพูดภาษาที่คุณถนัดที่สุดกับลูกของคุณ  เพราะคุณสามารถที่จะพูดกับลูกคุณในร้อยเปอร์เซนต์  แถมยังสนับสนุนให้ลุกคุณได้ใช้ภาษาที่จำเป็นและสำคัญในชีวิตประจำวันของเค้า  ชอบคะชอบคุณตรงที่คุณว่า  " ส่วนบัวขาวพูดภาษาคำเมืองกับลูกทุกคำ ทุกที่ ไม่มีคำว่าอายเพื่อให้ลูกเขาใจเราที่สุด และเราเข้าใจลูกที่สุด แต่เวลาเขาจะ โห้ย หรือจะ หยา มาเราก็ไม่เคยว่า ไม่ห้าม (อยากพูดไร พูดมาดิ เข้าใจทุกอย่าง555)"   ดีใจจังเลยคะที่มีแม่มีความคิดเห็นอย่างเราอีกคนอยู่
 
 **********************************************************************
 
 โดยส่วนตัวนะคะเราก็เลี้ยงลูกแบบตามใจตัวเองคะ  พูดง่าย ๆ ไม่ได้เลี้ยงแบบให้คนอื่นพอใจ  เลี้ยงแบบที่บางสิ่งบางอย่างคนอื่นอาจจะไม่ยอมรับ  แต่ตัวเราและครอบครัวเรายอมรับ  จะเน้นทางให้ลูกมีสุขภาพจิตดี และมีความสุขที่จะอยู่ในสังคมและขนบธรรมเนียมทั้งสองชาติคือไทยกับสวิส เพราะตัวเค้าเองเป็นลูกครึ่งไทยสวิส  ใช้วิธีเลี้ยงแบบที่ไม่เครียดและซีเรียสว่าลูกจะต้องเก่ง และดีในสายตาของคนอื่น  แต่ขอให้ลูกเป็นเด็กอารมย์ดีมีความสุข  และยอมรับกฎระเบียบและข้อกำหนดในการดำเนินชีวิตในชีวิตประจำวันบ้าง  ว่าอย่างไหนควร หรือไม่ควร  แต่อยากบอกว่าไม่เคยที่จะ  "ยัดเยียดความเป็นไทยให้ลูกเลย"   ลูกพูดภาษาถิ่นของที่นี่ได้คะเพราะใช้กับพ่อกับญาติพี่น้อง  พูดภาษาไทยได้แต่อาจจะไม่ดีมาก แต่ก็ไม่แย่สำหรับเด็กที่เกิดและโตที่นี่ แต่คิดว่าเข้าใจภาษาไทยได้ทุกอย่างตามวัยอายุของเค้า  เพราะเราพูดภาษาไทยกับลูกทุกคำ ทุกวัน และทุกเวลา เพราะคิดว่าพูดได้กับลูกได้ดีที่สุดเนื่องจากเป็นภาษาแม่  แต่บางครั้งลูกอาจจะตอบเป็นภาษาถิ่นของที่นี่  หรือแม้จะตอบไทยคำถิ่นคำ  แต่ตอบถูกคำถามสำหรับเราก็โอเคแล้วคะ  แต่ถ้าเป็นคำตอบที่เค้าต้องการให้เราแก้ไขคำพูดให้ถูกต้องก็จะพูดให้เค้าฟังอีกรอบ
 
 เรื่องเรียนภาษา  สอนเองเลยคะ  ไม่มีคุณครูคนไหนดีไปกว่าตัวเราเองหรอกคะ(เข้าข้างหรือให้กำลังใจตัวเองไว้ก่อน)  ถ้ากลับไทยซื้อหนังสือเรียนทุกวิชาของชั้น ป.1-ป.4  ตามหลักสูตร สปช. ถ้าไม่รู้หลักการสอน  ก็ซื้อหลักสู่ตรการสอนมาด้วยเลยคะ  จะมีเป็นตารางเลยว่าวันนี้สอนอะไร ทำอย่างไร  ถ้าเราอ่านภาษาไทยได้นะสอนได้อยู่แล้ว  อย่าดูถูกความสามารถของเราเอง  เรานะเป็นครูสอนลูกที่ดีที่สุดในโลกเลยคะ  แต่อย่าลืมว่าถ้าเด็กไม่รับนะเหนื่อยเปล่า ๆ คะ  เพราะเค้าไม่ค่อยใช้ด้วย  ลองหาวิธีโน้นน้าวที่จะให้เค้ายอมรับที่จะเรียนเองด้วยนะคะ  อันนี้เล่าจากประสบการณ์เพราะเคยรับสอนเด็กลูกครึ่ง  แต่เด็กแต่ละคะพอถามว่าทำไมถึงอยากมาเรียนอ่านเขียนภาษาไทย  เด็กส่วนมากนะตอบว่าแม่อยากให้เรียน  รวม ๆ แล้วเด็กไม่อยากเรียนหรอกแต่พ่อแม่อยากให้เรียน  แต่ว่าอันนี้เอามาสรุปไม่ได้หรอกคะเพราะว่าสอนไปไม่กี่คนเอง  เพียงแต่มาเล่าให้ฟังนะคะว่าถามเด็กให้แน่ก่อนว่าเค้าอยากเรียนหรือว่าเราอยากให้เรียนจะดีกว่า  ยิ่งถ้าเกินต้องนั่งรถไปเรียนตั้งไกลนะเด็กจะเครียดซะเปล่าคะ  
 
 ********************************************************************
 
 ก็แค่ความเห็นหนึ่งความเห็นนะคะ  อ่านกันเล่น ๆ อย่าไปซีเรียสกับมันมาก ๆ ถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ซึ่งกันและกัน  อันไหนทำให้ใครไม่พอใจ  "ขอกราบอภัยมา ณ ที่นี่ด้วยคร๊าบบบบบบบบบบบบบ"
 
 
Title: คุณแม่คนไทยในสวิส
Post by: แนน Schuuuuuulmädchen on November 10, 2005, 03:15:59 PM
มาอีกแล้วจ้า มาบอกที่เรียนภาษาไทย ถ้ายังสนใจอยู่
 
 ที่ โรงเรียนภาษา Benedict กะ Migros Klubschule ที่อื่นก็น่าจะมีอีก
 http://www.benedict.ch/
 http://www.klubschule.ch/
 
 ส่วนคุณแม่ ก็มีหนังสือแกรมม่าเยอรมันดีๆมาแนะนำด้วยนะ
 -Lehr und Übungsbuch der deutschen Grammatik เขียนโดยDreyer . Schmitt, สำนักพิมพ์ Hueber
 -EM Übungsgrammatik (Wiederholung der Grundstufe Mittelstufe), Hueber (อันนี้มีตัวการ์ตูนด้วยไม่เครียดเท่าอันแรก)
 
 ขอแก้ต่างให้น้องเขานิดนึง ที่เขาเล่าให้ฟัง ก็ไม่มีจุดมุ่งหมาย หรือประสงค์จะก่อความไม่สงบอะไรหรอกคะ ไม่เคยคุยเรื่องไร้สาระในวันว่างกันหรือคะ นึกอะไรได้ก็เล่าๆไป ไม่ได้สำคัญอะไรขนาดนั้นหรอกคะ อย่าคิดไปไกล
 
 Ist das,was ich geschrieben habe,schwer zu verstehen ? Nein,oder?
Title: คุณแม่คนไทยในสวิส
Post by: มาบอก on November 11, 2005, 10:14:01 AM
โรงเรียนที่คุณแนนให้มานะคะ  เป็นโรงเรียนสอนภาษาไทยสำหรับผู้ใหญ่คะ  ไม่เหมาะสำหรับเด็กหรอกคะ  และส่วนมากคอร์สจะเป็นกลางคืนนะคะ  นอกจากมิกโกร เบเนดิกช์ แล้วนั้นยังมีโรงเรียนอินลิงค์กว่า โฮกโฟคชูเล่ะ  อีกด้วยคะเพราะคนที่มาเรียนสวนมากเป็นสามีของชาวไทย  ส่วนโรงเรียนเด็กนะคะที่เบิร์นติดต่อคุณสมคิด  ส่วนที่อื่นคงต้องสอนแบบพรีวาท  หรือใกล้วัดศรีฯ  ก็เรียนที่วัดเลยคะ
 
 ส่วนแกรมม่าเยอรมันนะคะ  ถ้าเป็นคนยังไม่คล่องเยอรมันมันแนะนำให้ซื้อของ  อาจารย์วรรณา  แสงอร่ามเรื่อง  มีสามเล่มคะ อธิบายอย่างละเอียดยิบ ๆ และเข้าใจง่ายมาก ๆ เลยคะ
 
 
Title: คุณแม่คนไทยในสวิส
Post by: ปุ้ย on November 12, 2005, 09:19:14 PM
สวัสดีค่ะคุณมาบอก...ปุ้ยสนใจแกรมม่าเยอรมัน..ของอาจารยํวรรณา  แสงอร่ามมากเลยค่ะ...แล้วจะติดซื้อใด้ที่ใหนค่ะ...ขอลายละเอียดนิดนะค่ะ..ขอบคุณค่ะ...
Title: คุณแม่คนไทยในสวิส
Post by: ปุ้ย on November 12, 2005, 09:20:37 PM
สวัสดีค่ะคุณมาบอก...ปุ้ยสนใจแกรมม่าเยอรมัน..ของอาจารยํวรรณา  แสงอร่ามมากเลยค่ะ...แล้วจะติดต่อซื้อใด้ที่ใหนค่ะ...ขอลายละเอียดนิดนะค่ะ..ขอบคุณค่ะ...
Title: คุณแม่คนไทยในสวิส
Post by: มาบอกต่อ on November 14, 2005, 12:06:28 AM
คุณปุ้ยคะ  สงสัยต้องฝากใครซื้อที่เมืองไทยละคะ  ที่นี่ไม่มีขาย  แต่อาจจะสั่งได้ที่ร้านหนังสือ "Stauffacher"  แต่ราคาอาจจะแพงหน่อย  แต่ถ้ามีใครฝากซื้อแล้วส่งมาให้   ที่เมืองไทยซื้อได้ตามศูนย์หนังสือจุฬา เลยคะมีเวปอยู่นะคะ  มีทั้งหมดสามเล่มคะ  แต่ที่ก็อปมาให้เป็นเวปที่เสิร์ชหาหนังสือของอาจารย์วรรณา ที่มีในร้านทั้งหมดนะคะเลือกดูนะคะ  
 
 http://www.chulabook.com/cgi-bin/main/2003/speedsearch.asp
 
 
 
 
Title: คุณแม่คนไทยในสวิส
Post by: มาบอกต่อ on November 14, 2005, 12:09:59 AM
เป็นงงคะว่าทำไมลิงค์ใช้ไม่ได้  ลองใหม่อีกที
 
 http://www.chulabook.com/cgi-bin/main/2003/speedsearch.asp
 
 
Title: คุณแม่คนไทยในสวิส
Post by: มาบอกต่อ on November 14, 2005, 12:12:07 AM
คงต้องเสิร์ชเองนะคะ  ใส่ชื่อผู้แต่งเข้าไปว่า  วรรณา แสงอร่ามเรือง
Title: คุณแม่คนไทยในสวิส
Post by: pui on November 14, 2005, 12:04:09 PM
ขอบค่ะคุณมาบอก....แล้วปุ้ยจะโทรบอกน้องสาวที่อยู่กรุงเทพไปซื้อที่ศูนยํหนังสือแล้วส่งมาให้ค่ะ...ขอบมากๆเลยค่ะ...
Title: คุณแม่คนไทยในสวิส
Post by: pall on November 15, 2005, 11:33:11 AM
สวัสดีค่ะทุกๆคน
 สวัสดีจ๊ะเขมรน้อย
 ขอบใจมากสำหรับข้อมูลที่นำมาลงให้อ่าน
 และความคิดเห็นของเขมรน้อยเข้าใจถึงความรู้สึกดี
 ป้าเข้ามาตอบช้าไปหน่อยเพราะไม่อยู่บ้าน
 
Title: คุณแม่คนไทยในสวิส
Post by: pall on November 15, 2005, 11:33:48 AM
ป้ายอมรับว่าเป็นคนที่ใช้ชีวิตเรียบง่ายสบายๆ
 ไม่ซีเรียส....ไม่ตั้งเป้าหมาย...ไม่คาดหวัง...
 หรือบังคับปลูกฝัง....สั่งสอนใครให้ต้องทำตามใจของตัวเอง
 
 **การเลี้ยงลูกของป้า**
 
 ป้าเลี้ยงลูกไม่มีปรัชญาอะไรทั้งสิ้น
 ป้าจะเลี้ยงลูกแบบธรรมชาติให้เรียนรู้ด้วยตัวเอง
 การเรียนรู้ด้วยตัวเองเป็นวิธีที่ดีที่สุด
 และได้รู้ถึงผลของการกระทำ...
 ซึ่งทำให้ได้เรียนรู้ถึงปัญหาที่ตามมาและข้อสุดท้าย
 ได้เรียนรู้การแก้ปัญหาของตัวเอง.....
 การเรียนรู้ตั้งแต่เล็กๆถึงการสร้างปัญหาที่ทำด้วยตัวเอง..
 หรือปัญหาที่ได้รับจากคนอื่นจะทำให้ได้เรียนรู้การแก้ปัญหาต่างๆ
 ไม่ว่าปัญหาใหญ่หรือปัญหาเล็ก
 ในอนาคตข้างหน้าเขาจะเข้มแข็งพร้อมจะก้าวเดิน
 ต่อไปข้างหน้าด้วยความมั่นใจ
 และสามารถสร้างครอบครัวที่ดีของตัวเองได้อย่างภาคภูมิใจ
 ไม่ว่าจะมีปัญหาอะไรที่พร้อมที่จะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาในอนาคต
 
 ที่บ้านป้าจะไม่มีคำว่าห้าม....หรือคำว่าอย่าทำ...
 เพราะคิดว่ามนุษย์เรายิ่งห้ามไม่ให้ทำเท่าไรก็เหมือนยั่วยุมากเท่านั้น
 
 **ยกตัวอย่างง่ายๆ...**
 ตอนลูกป้าเล็กมากๆเขาจะจุดเทียนไข
 ป้าบอกจุดเลยลูกส่งกล่องไม้ขีดและเทียนให้พร้อม
 พอเขาจุดเสร็จดีใจมากปรบมือชอบใจกัน
 ป้าก็ไปเปิดหน้าต่างให้ลมพัดเข้ามาจนเทียนล้ม
 ไฟลุกไหม้เพราะกระดาษหนังสือพิมพ์อยู่ข้างๆ
 ป้ายืนดูเฉยอยากรู้ว่าเขาจะทำอย่างไร
 เห็นเขาวิ่งไปเอาผ้าที่อยู่ข้างๆไปดับไฟและเอามือไปดับเทียน
 แล้วร้องลั่นเพราะความร้อน...
 หลังจากนั้นป้าก็ถามเขาว่าเป็นอย่างไรบ้าง
 เขาบอกว่าเขาเจ็บมือ..และกลัวมากกลัวแม่ด่า
 และกลัวไฟไหม้บ้าน
 ป้าเลยบอกว่าเห็นไหมถ้าไม่ระมัดระวังจะเกิดอะไรขึ้น
 การจุดเทียนเพื่อความสนุกไม่ระมัดระวัง
 ถ้าเกิดไฟไหม้บ้านผลจะเป็นอย่างไร
 อนาคตต้องนอนกลางถนนในอากาศหนาวแบบนี้
 หรือไม่อาจจะโดนจับขังคุก
 หรือแม่ต้องจ่ายเงินจนหมดตัวถ้าไม่มีประกันไฟ
 แล้วหนูก็จะหิว.(ป้าจะพูดกับลูกโดยใช้คำว่าหนูแทนตัวเขา)
 คำว่าหนูใช้เรียกลูกมาตั้งเล็กจนถึงปัจจุบัน
 
 ต่อมาพอลูกป้าจะจุดเทียนไขขึ้นมาใหม่
 เขาจะคิดเองแล้วควรจะทำอย่างไรเพื่อเป็นการป้องกัน
 ไม่ให้เกิดอุบัติเหตุไฟไหม้เหมือนตอนแรก
 ป้าเห็นแล้วดีใจที่เขาเริ่มรอบคอบขึ้น
 โดยเอาจานมาวางและเอาเชิงเทียนมาใส่
 หนังสือพิมพ์หรือพวกเชื้อไฟจะนำออก*ง
 เวลาเทียนไขล้มจะล้มไปในจานเป็นการป้องกันไฟไหม้อีกแบบหนึ่ง
 
 สิ่งที่เอ่ยมานี้เป็นแค่ตัวอย่างที่ป้าให้ลูกได้เรียนรู้
 ถึงการไม่ระมัดระวังมักจะสร้างปัญหาที่กระทบคนข้างเคียง
 ซึ่งอาจจะเป็นปัญหาใหญ่ขึ้นมาได้
 อย่าประมาทคิดว่าคงไม่มีอะไรเกิดขึ้น
 และเมื่อเกิดปัญหาต้องรู้จักการแก้ปัญหาเอง
 อย่าไปวิ่งหาคนอื่นมาให้ช่วยแก้
 เมื่อเรียนผูกก็ต้องเรียนการแก้ปัญหาด้วยตัวเอง
 ตราบใดที่เรายังมี2มือ2ขาสมบูรณ์
 อย่าวิ่งไปขอความช่วยเหลือจากเขา
 ถ้าเรายังไม่เริ่มการแก้ปัญหาหรือช่วยเหลือตัวเองก่อน
 แล้ววิ่งไปขอความช่วยเหลือจากคนอื่น
 เป็นสิ่งที่น่าละอายที่สุดหมดค่าและศักดิ์ศรีของความเป็นคน
 และอย่าไปยืมจมูกคนอื่นหายใจ
 ชั่วชีวิตจะมีแต่คำว่าบุญคุณที่เขาต้องมาทวง
 และเอ่ยย้ำเราจนชั่วชีวิต
 เรื่องนี้คนใกล้ชิดจะรู้ดีว่าป้าและลูก
 จะเหมือนหยิ่งมากที่ไม่เคยเอ่ยปากขอความช่วยเหลือจากใคร
 ลูกป้าถ้ามีปัญหาไม่เคยมาขอความช่วยเหลือ
 ไม่ว่าจะเป็นความเดือดร้อนต่างๆด้านเงินทอง
 หรืออะไรทั้งสิ้น
 เราจะแค่พูดปรับทุกข์กัน
 ป้ากับลูกจะสนิทกันคุยกันทุกเรื่อง
 ไม่ว่าเรื่องส่วนตัวคุยทุกอย่างไม่ปิดบังกัน
 
 
 **การปลูกฝังพื้นฐาน...**
 ยอมรับว่าเรื่องนี้เข้มงวดมากที่สุด
 เด็กควรจะเริ่มเรียนรู้จากครอบครัว
 ถึงกฎระเบียบแบบแผนต่างๆ
  ถ้าเด็กมีพื้นฐานดี
 มีสุขภาพจิตดี..มีระเบียบ...
 ยอมรับกฎเกณฑ์ของครอบครัวและของสังคม
 ในอนาคตข้างหน้าเขาพร้อมที่จะเป็นคนดี
 และไม่เป็นภาระของสังคม
 หรือเป็นภาระของใครๆ  
 เวลาที่เขาเข้าสังคมที่มีกฎระเบียบแบบแผนมากๆ
 เขาจะไมรู้สึกอึดอัดเพราะความเคยชินมาก่อน
 เขาจะได้ใช้ชีวิตตัวเองกับคนอื่นๆอย่างมีระเบียบ
 แบบแผนเข้ากับคนอื่นๆได้ดีไม่มีปัญหาตามมา
 
 บ้านป้าจะมีกฎระเบียบที่ปลูกฝังเขา
 ไม่ว่าจะเป็นมรรยาท...การพูดจา.
 การอ่อนน้อมถ่อมตน(สิ่งนี้ปลูกฝังมาก)..
 ป้ากับลูกจะพูดกันเพราะมาก...
 เราจะไม่ด่ากัน..ลูกป้าไม่รู้จักคำด่าที่เป็นภาษาไทย
 ป้าจะเน้นถึงการยอมรับผิดถึงข้อผิดพลาดของตัวเองถ้าทำผิดขึ้นมา
 จะเน้นมากให้รู้จักคำว่า....(ขอโทษ)
 และรู้จักอะลุ่มอล่วยความผิดพลาดของคนอื่น...จะเน้นมากับการให้อภัย
 และการช่วยเหลือคนที่ด้อยกว่า...
 หรือคนที่ต้องการความช่วยเหลือ.. ไม่ว่าคนแก่หรือใคร
 และช่วยโดยที่ไม่ทำให้คนที่เราต้องการช่วย
 เป็นคนเห็นแก่ตัวและงอมืองอเท้า
 ได้แต่ขอความช่วยเหลือจากคนอื่นตลอดเวลา
 
 **’การเถียง....***
 ยอมรับโดยส่วนตัวว่าไม่ชอบให้ลูกมาเถียง
 ถ้าป้าพูดหรืออธิบายจะไม่ยอมมาให้ลูกพูดแซงหรือเถียง
 ถ้าพูดจบแล้วอธิบายได้..ถ้าเหตุผลลูกถูกป้าผิดก็คือป้าต้องขอโทษ
 ถ้าป้าถูกเขาต้องไปนอนพิจารณาใหม่ว่าถูกต้องไหม
 และลูกป้าจะไม่มีการมาปิดประตูใส่หน้า
 หรือไล่ป้าออกจากห้อง
 คนไทยที่รู้จักจะรู้ดีว่าลูกป้ายำเกรงป้ามาก
 เพราะลูกรู้จักนิสัยผู้เป็นแม่ดี
 
 
 
 **ขนบธรรมเนียมประเพณีไทย...ศาสนา...**
 
 
 **เกี่ยวกับศาสนา....**
 ลูกป้าตั้งแต่แรกเกิดในใบเกิด
 ช่องที่ต้องกรอกเกี่ยวกับศาสนาจะว่าง..
 ไม่มีทั้งคำว่าศาสนาพุทธ...หรือศาสนาคริสต์
 ป้ากับลุงคิดว่าถ้าเขาโตขึ้นให้เขาเลือกเอง
 เราเป็นเพียงผู้ให้กำเนิด...แต่พอเขาเติบโตขึ้น
 เขาจะเลือกเองว่าต้องการนับถือศาสนาอะไร
 ป้าไม่บังคับถ้าเขาจะนับถือศาสนาคริสต์
 เพราะทุกศาสนาก็สอนให้เป็นคนดีอยู่แล้ว
 
 พอลูกเริ่มรู้ความ...ป้าจะเอาพระให้เขาใส่
 พร้อมทั้งให้เขาเห็นว่าเรากราบไหว้พระ
 เขาจะเห็นและซึมซับและจะกราบไหว้ตามเรา
 และถามเราถึงการกราบนั้นหมายถึงอะไร
 ป้าก็จะอธิบายจนเขาเข้าใจและทำตามโดยปราศจากข้อสงสัย
 โดยความเต็มใจและสมัครใจ
 เขาจะเรียนรู้ไปเองโดยความเคยชิน
 และซึมซับไปเองโดยไม่รู้ตัว
 โดยเห็นจากจะไปสอบไล่..
 หรือเดินทาง..หรือทำอะไรเมื่อต้องการกำลังใจ
 ลูกป้าจะไปขอพรจากสมเด็จพ่อหรือจากปู่โต
 หรือจากพระที่บ้าน....(เขาไม่ยอมบอกว่าไปขออะไร)
 และตอนทำบุญนำเงินใส่ซองถามเขาอยากทำด้วยไหม
 เขาเต็มใจนำเงินมาใส่ทำด้วยเพราะทำมาตั้งแต่เด็กๆ
 และรู้ว่าทำเพราะอะไร.
 ปัจจุบันเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา
 ป้าถามเขาอีกว่าเขาต้องการนับถือศาสนาอะไร
 เขาบอกเขาเป็นพุทธทำไมต้องมาถามเขาอีก
 ซึ่งคำตอบของเขาในปัจจุบันก็เป็นข้อสรุป
 และพิสูจน์ตัวเขาให้ป้าได้รู้อย่างแท้จริง
 ว่ากาลเวลาไม่ได้เปลี่ยนนิสัยลูก
 
 ***เกี่ยวกับความเป็นคนไทย....***
 ป้าคิดถึงตัวเองเหมือนแม่ปู
 ตัวเองไม่ค่อยจะเป็นคนไทยที่ดีเท่าไร
 
 แล้วจะไปสอนคนอื่นเขาได้อย่างไรเมื่อตัวเองยังเป็นแบบนี้
 
 ป้าไม่ได้พูดไทยกับลูก....(ไม่เคยสนใจถึงแม้จะโดนด่ามาแล้ว)
 ไม่ได้ปลูกฝังหรือยัดเยียดความเป็นไทย
 ขนบธรรมเนียมประเพณีไทยหรือภาษาในหัวสมองลูก
 ไม่บังคับหรือเคี่ยวเข็ญให้เขาต้องมาทำตามเราทุกอย่าง
 เพราะป้าคิดว่าเขาเกิดที่นี่...ใช้ชีวิตที่นี่...
 ดังนั้นเขาควรจะตัดสินใจและเลือกเองว่า
 อนาคตข้างหน้าเขาต้องการอะไรในตัวเอง
 
 ถึงแม้ว่าป้าไม่ได้ยัดเยียดหรือสั่งสอนลูก
 แต่ถ้าคนไทยที่รู้จักหรือได้เจอลูกป้าจะรู้ถึงความเป็นคนไทยอย่างดี
 ลูกป้าเขารักความเป็นคนไทยและภาคภูมิใจในความเป็นคนไทยมาก
 เขาอยากรับใช้ชาติอยากอยู่เมืองไทย
 รักทุกอย่างที่มีความเป็นไทยโดยที่ป้าไม่ได้สั่งสอน
 แต่เขาจะซึมซับโดยไม่รู้ตัวตั้งแต่เด็กๆ
 ลูกป้าจะรู้การไหว้เมื่อแนะนำให้รู้จักโดยไม่ต้องบอกย้ำ
 เขาจะทำเองโดยอัตโนมัติ...และความเคยชิน
 และเห็นจากผู้เป็นแม่ที่ทำให้เขาเห็น
 ตอนแรกจะไม่เข้าใจพอเราอธิบายถึงการทักทาย
 ที่คนไทยทำกันเขาก็เลยรู้และทำตามมาตั้งแต่เด็ก
 โดยไหว้และพูดคำว่าสวัสดีครับ...
 และจะย่อตัวขอโทษเมื่อต้องเดินผ่านคนที่นั่งอยู่
 และ****ไม่ใช้เท้า....**
 ยอมรับโดยส่วนตัวว่าเกลียดมาก
 **เกี่ยวกับการใช้TEENสะกิดชี้ให้ดูของ..หรือสะกิดคน***
 ลูกป้าจะไม่เคยทำ...และป้าก็ไม่เคยทำให้ลูกเห็นเลย
 เขาเองจะบอกเองว่าไม่ชอบการใช้เท้าแบบนั้น
 และไม่ชอบการทุ่มเถียง
 ไม่ชอบความหยาบคายหรือใช้กำลัง
 เขาชอบความมีเหตุผลที่สุด
 
 ลูกป้าปัจจุบันพอพูดภาษาไทยได้
 และพอเข้าใจ..เขาเรียนรู้ภาษาไทยด้วยตัวเอง
 เขาหัดเรียนและพูดจากหนังสือ
 และถามป้า...พร้อมทั้งบ่นว่าน่าจะสอนภาษาให้เขานานแล้ว
 ปัจจุบันเราจะพูดภาษาไทยกัน
 ถ้าไม่ต้องการให้ฝรั่งฟังรู้เรื่องซึ่งเป็นความลับของเรา2คน
 
 ****ลูกป้าได้ทำถูกจุดประสงค์ที่ป้าคิดว่า***
 ถ้าเขาต้องการความเป็นคนไทยหรือรักความเป็นไทยจริงๆ
 เขาต้องขวนขวายและหาเองตอนโต...
 โดยความเต็มใจ….และความสมัครใจเอง...
 เขาจะรู้ค่าของความเป็นคนไทยมากกว่า
 ที่เราได้แต่คิดว่าปลูกฝังโดยหรือยัดเยียดถึงความเป็นคนไทย
 ที่เขาเองไม่รู้ถึงความต้องการของตัวเองอย่างแท้จริง
 
 ***ไม้แหลมไม่ต้องเสี้ยมคม..มันแหลมด้วยตัวมันเอง**
 
 
 **ธงชาติไทย...กับพระมาหากษัตริย์**
 ยอมรับว่าเกี่ยวกับพระมาหากษัตริย์เขาไม่ลึกซึ้งเท่าไร
 ต้องเข้าใจเขาด้วยว่าเขาเกิดและเติบโตที่นี่
 แต่เขารู้เกี่ยวกับในหลวงและพระราชินี
 และป้าก็บอกเขาตลอดเวลา
 แต่เกี่ยวกับธงชาติไทย..ลูกป้าเป็นมาก
 ลูกป้าภาคภูมิในมากเกี่ยวกับเรื่องนี้
 เขาจะมีธงชาติไทย..อยากสวมใส่ผ้าที่มีเครื่องหมายชาติไทย
 เขารู้ความหมายดีมากถึงสีของธงชาติ
 เขาฝันมากอยากทำหน้าที่รับใช้ชาติวิ่งให้ชาติไทย
 เขาบอกว่าชุดทีมชาติไทยสวยที่สุดในโลก
 ............................................................................
 **ขอสรุปง่ายๆ....***
 เกี่ยวกับเรื่องนี้...ป้ารู้สึกธรรมดา..ไม่คิดอะไรมาก
 ป้าไม่สนใจใครว่าใครจะคิดหรือพูดอย่างไร
 ป้าไม่พูดภาษาไทยกับลูกไม่ใช่เพราะอาย..
 หรือรังเกียจความเป็นคนไทย
 แต่มีเหตุผลเป็นของตัวเอง..และรักเหตุผลของตัวเอง
 เกี่ยวกับคนไทยไม่ว่าจะอยู่ในประทศไทย
 หรืออยู่เมืองนอก...**คนไทยก็คือคนไทย**
 ความคิดและการกระทำของแต่ละคนต่างมีอิสระ
 ต่างคนต่างมีสิทธิที่จะคิดหรือทำอะไรได้
 เราไม่สามารถที่ไปห้ามความคิดหรือการกระทำของเขาได้
 ความคิดของเขาจะอยู่มุมแคบหรือมุมกว้าง
 หรือการมองโลกแบบอยู่ในกะลาครอบ
 มองโลกอย่างเป็นกลางหรือมองแบบเข้าข้างตัวเอง
 มันเป็นแค่ความคิด**และบทสรุปของเขาเองเท่านั้น**
 ใครที่อ่านข้อความที่เขาเขียนมา...
 จะคิด....หรือจะเชื่อ..ก็ล้วนแต่ขึ้นอยู่กับการพิจารณา
 มันสมอง...และความคิด....ของคนอ่านทั้งนั้น
 
 เขาและเราต่างก็เป็นมนุษย์...
 ที่มีความโลภ...โกรธ...หลง...
 และมีอีโก้ในตัวเอง...
 การเป็นตัวของตัวเองเอง...
 เชื่อมั่นความเป็นคนที่มีค่าของเราคนหนึ่ง..และรักศักดิ์ศรีของเรา
 พยายามทำตัวให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
 ดูแลชีวิตเราและครอบครัวให้ดีที่สุด
 ไม่เป็นภาระให้ใคร..หรือภาระของสังคม...
 แค่นี้ก็ดีที่สุด...
 
Title: รับสอนภาษาเยอรมัน (ดอทช์) เนเธอร์แลนด์(ดัตด์) อังกฤษ ไทย สำหรับชาวต่างชาติ
Post by: เจี๊ยบ on August 05, 2008, 03:37:31 PM
รับสอนภาษาค่ะ สนใจติดต่อ 08-7688-0371  หรือ jeab-rattana@hotmail. de
รับสอนทั้งกลุ่ม/ เดียว  ขอทราบรายละเอียดได้ตลอดเวลาค่ะ