สาวกช็อกโกแลตมาทางนี้(คนชอบเก็บข้อมูลเชิญจ้า)

Previous topic - Next topic

พรหล้า

อ่านเจอ...เลยเก็บมาฝาก
     
 ขนมหวานรสละมุนลิ้นอย่างช็อกโกแลตนั้น เป็นที่โปรดปรานของคนทุกเพศทุกวัย มานานนับศตวรรษ เพราะนอกจากจะมีรสชาติหอมหวาน กลมกล่อม ที่ชวนให้เผลอใจหลงใหล จนยากจะถอนตัวแล้ว ช็อกโกแลตยังเป็นสื่อสากลที่คนทั่วโลก นิยมมอบให้กันเพื่อแสดงถึงมิตรภาพ และความรัก โดยมีตำนานจารึกไว้ว่า ในช่วงกลางศตวรรษที่ 11 กษัตริย์มอเตซูม่า (Montezuma) ที่ 2 จักรพรรดิ์ของแคว้นแอสเท็กซ์ ประเทศเม็กซิโก นิยมดื่มช็อกโกแลตวันละ 50 ถ้วย เพื่อเยียวยาชีวิตรัก ทุกวันนี้ช็อกโกแลตจึงเป็นของขวัญ ที่ขาดไม่ได้ในวันวาเลนไทน์
 
         ปัจจุบันนี้ ช็อกโกแลต เป็นของกำนัลยอดนิยมที่หนุ่มสาวทั้งในยุโรป อเมริกา ญี่ปุ่น รวมถึงประเทศไทยของเรา ใช้เป็นสื่อแทนความรู้สึกดี ๆ ได้เช่นเดียวกันกับการมอบดอกกุหลาบสีแดงสด แต่ก่อนจะถึงเทศกาลวันวาเลนไทน์ที่หลายคนเฝ้านับวันรอ เรามาทำความรู้จักกับเจ้าขนมหวานสื่อรัก ที่ชื่อว่าช็อกโกแลตกันดีกว่า
 
 
 ถิ่นกำเนิดของโกโก้
         ช็อกโกแลตที่เราบริโภคกันอยู่ทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นรสชาติไหนหรือยี่ห้ออะไร ล้วนเป็นผลผลิตซึ่งมีโกโก้เป็นวัตถุดิบสำคัญทั้งสิ้น ที่สำคัญประวัติความเป็นมาของผลไม้ชนิดนี้ มีความน่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว
 
         โกโก้ เป็นพืชยืนต้น ที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในลุ่มแม่น้ำอะเมซอน มานานกว่า 4,000 ปีแล้ว โดยชาวมายาส์ของแคว้นยูคาฐาน และชาวแอสเท็กซ์ ของแม๊กซิโก ทำการเพาะปลูกพืชพื้นเมืองชนิดนี้มานาน อีกทั้งยังมีความเชื่อว่าโกโก้นั้น เป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่เทพยดาประทานมาให้ และด้วยเหตุนี้เอง ที่ทำให้ในเวลาต่อมาราวศตวรรษที่ 18 นักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดนที่ชื่อ ลินนีอุส ได้ตั้งชื่อทางวิทยาศาสตร์ของโกโก้ว่า ทีโอโบรมา คะคาโอ (Theobroma cacao) เพราะคำว่าว่า ทีโอโบรมานั้นเป็นภาษากรีกซึ่งแปลว่า ภักษาหารของพระผู้เป็นเจ้า
 
         ในราชอาณาจักรแอสเท็กซ์เมื่อราว 200 ปีก่อนคริสตกาล เมล็ดโกโก้เป็นสิ่งมีค่าและสามารถใช้แลกเปลี่ยนแทนเงินตราได้ นอกจากนั้น ชาวเอสเท็กซ์ยังมีความเชื่อว่า โกโก้มีสรรพคุณในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยแม้ว่า คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส จะเป็นชาวยุโรปคนแรกที่ค้นพบโกโก้โดยบังเอิญ เมื่อเขาเดินทางไปยังทวีปอเมริกาเป็นครั้งที่ 4 ในปี พ.ศ. 2045 แต่นักสำรวจผู้ยิ่งใหญ่ท่านนี้ กลับไม่ได้ใส่ใจกับผลไม้ที่มีรูปร่างเหมือนลูกรักบี้เลยแม้แต่น้อย
 
         จนกระทั่งอีก 2 ทศวรรษต่อมา เมื่อนายพลเออร์นานโด คอร์เทส นักสำรวจชาวสเปนสังเกตเห็นว่า จักรพรรดิ์แห่งแอสเท็กซ์ทรงโปรดปรานเครื่องดื่มพิเศษชนิดหนึ่ง ที่เรียกขานในภาษาฝรั่งเศสว่า โชโกลาต์ นั้นมีรสขมมาก แต่ก็สามารถทำให้ร่างกาย มีความรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นอย่างน่าประหลาด
 
         นายพลคอร์เทสเป็นผู้นำเมล็ดโกโก้ กลับไปถวายพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 5 ซึ่งเป็นกษัตริย์แห่งสเปนในสมัยนั้น ก่อนที่โกโก้จะแพร่หลายไปในประเทศอื่น ๆ เช่น ทรินิแดด ไฮติ เกาะต่าง ๆ ทางแอฟริกาตะวันตกและหมู่เกาะเวสต์อินดีส รวมไปถึงประเทศฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และศรีลังกาในเวลาต่อมา
 
 กว่าจะมาเป็นช็อกโกแลตแสนอร่อย
 
         ชาวสเปนเป็นชนชาติแรกที่ค้นพบ รสชาติอันแสนวิเศษของช็อกโกแลต โดยพวกเขาพบว่า การหมักทำให้เมล็ดโกโก้มีกลิ่นและรสดีขึ้น หากนำไปต้มโดยเติมน้ำและน้ำตาลไป จะได้เครื่องดื่มชนิดใหม่ที่พวกเขาให้ชื่อว่า ช็อกโกแลต ซึ่งเป็นที่นิยมชมชอบในหมู่ขุนนางชั้นสูง ของประเทศสเปนเป็นอย่างมาก และมีการคิดค้นสูตรการปรุงใหม่ ๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการเติมส่วนผสมที่เป็นเครื่องเทศ เช่น อบเชย กานพลู เมล็ดผักชี รวมไปถึงการเพิ่มความหอมมันจากเครื่องดื่มช็อกโกแลต
 
         หลังจากนั้นอีกเกือบหนึ่งศตวรรษ ความหอมหวานของเครื่องดื่มช็อกโกแลต จึงเริ่มเข้าไปแพร่หลายในทวีปยุโรป โดยในช่วงกลางปี พ.ศ. 2143 ความนิยามของเครื่องดื่มช็อกโกแลตขยายไปถึงอิตาลี ฮอลแลนด์และฝรั่งเศส นอกจากนั้นยังมีหลักฐานยืนยันว่า เครื่องดื่มชนิดนี้เป็นที่รู้จักของขุนนางอังกฤษในปี พ.ศ. 2207 ต้นศตวรรษที่ 18 เป็นช่วงเวลาที่เริ่มมีการเปิดร้านขายเครื่องดื่มช็อกโกแลต แข่งกับร้านขายกาแฟในกรุงลอนดอน และผลของการปฎิวัติอุตสาหกรรมที่ทำให้มีการนำเครื่องจักรเข้ามาช่วยในการผลิต ก็ทำให้เครื่องดื่มช็อกโกแลตมีราคาต่ำลง จนคนทั่วไปสามารถหาซื้อมาบริโภคได้ โดยในปี พ.ศ. 2271 เจ.เอส.ฟราย (J.S.Fry) เป็นผู้ตั้งโรงงานทำช็อกโกแลตในประเทศอังกฤษ ขึ้นเป็นครั้แรกที่เมืองบริสตอล
 
         ในปี พ.ศ. 2371 คอนราดฟอน เฮาเซ่น นักเคมีชาวสวีเดน ค้นพบวิธีการสกัดไขมันที่เรียกว่า ไขมันโกโก้ ออกมาเป็นช็อกโกแลต ซึ่งสามารถนำมาแปรรูปเป็นผงโกโก้ได้สำเร็จ โดยที่ เจ.เอส.ฟราย รวมถึงแคดเบอรี่ เป็นผู้นำมาเป็นวัตถุดิบสำหรับการผลิตช็อกโกแลตแท่ง สำหรับบริโภคได้ในอีกสองทศวรรษต่อมา คนทั่วโลกจึงได้ลิ้มรสของช็อกโกแลตในรูปแบบที่ไม่ใช่เครื่องดื่ม ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา หลังจากนั้นอีกประมาณ 30 ปี ชาวสวิสจึงพัฒนาธุรกิจขนมหวานและช็อกโกแลตนม จนเป็นที่นิยมบริโภคมาจนถึงปัจจุบัน
 
 ช็อกโกแลตที่เรารับประทานกันทุกวันนี้ สามารถแบ่งออกได้หลายชนิด ได้แก่
         - Unsweetened Chocolate หรือ Bitter Chocolate
 ช็อกโกแลตที่มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบ มีรสขมนำ
         - Sweet Chocolate ,Semi-Sweet Chocolate ,Bitter-Sweet Chocolate และ Extra-Bitter Sweet Chocolate
 ช็อกโกแลตที่มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบในปริมาณที่ต่างกัน
         - Milk Chocolate หรือ ช็อกโกแลตนม  
 ช็อกโกแลตที่มีนมเป็นส่วนประกอบ
         - White Chocolate
 ช็อกโกแลตที่ประกอบด้วยไขมันโกโก้ นมเหลวและน้ำตาล แต่จะไม่มีน้ำช็อกโกแลตเป็นส่วนผสมเลย ช็อกโกแลตชนิดนี้จึงมีสีขาวล้วน
         - Chocolate Couverture
 ช็อกโกแลตที่มีไขมันโกโก้ เป็นส่วนประกอบในปริมาณสูง จึงเหมาะสำหรับใช้เคลือบหรือชุบขนม ให้มีลักษณะเป็นเงาดูสวยงาม
         - Chocolate Chips
 ช็อกโกแลตชิ้นเล็ก ๆ ที่ผ่านขั้นตอนการทำให้จับตัว และไม่ละลายง่ายเหมือนช็อกโกแลตชนิดอื่น  
 
         โดยทั่วไปสูตรของส่วนผสมต่าง ๆ ในการผลิตช็อกโกแลตจะเป็นความลับของแต่ละบริษัทผู้ผลิต ซึ่งนอกจากจะคิดค้นให้มีแบบพิมพ์แต่ละชนิด เพื่อผลิตช็อกโกแลตให้มีรูปร่างหน้าตาที่แตกต่างกันแล้ว ยังคิดค้นการเพิ่มส่วนผสมพิเศษหรือการสอดไส้ต่าง ๆ เพื่อให้ได้ช็อกโกแลตที่มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น
 
         สำหรับรสชาติช็อกโกแลตของแต่ละประเทศนั้นแตกต่างกันไป ตามสายพันธุ์ของเมล็ดโกโก้ที่นำมาเป็นวัตถุดิบ โดยช็อกโกแลตที่ผลิตในประเทศสวิตเซอร์แลนด์มักใช้เมล็ดโกโก้จากบราซิล ส่วนช็อกโกแลตตำรับฝรั่งเศสจะผลิตขึ้น จากเมล็ดโกโก้ของประเทศที่เคยเป็นอาณานิคมในแอฟริกาตะวันตก และช็อกโกแลตของฮอลแลนด์นั้น ผลิตจากเมล็ดโกโก้ที่ปลูกในประเทศทางแถบเอเชีย เช่น มาเลเซียและไทย
 
 บริโภคช็อกโกแลตอย่างไรจึงได้ประโยชน์
 
         ความเชื่อในเรื่องของ การรับประทานช็อกโกแลตนั้น เป็นประเด็นที่นักวิทยาศาสตร์ ให้ความสนใจมาเนิ่นนานแล้ว ด้วยต่างก็ต้องการพิสูจน์ให้ได้ว่า การบริโภคช็อกโกแลต ซึ่งมีรสชาติเป็นที่ติดอกติดใจคนทั่วโลกนี้ มีข้อดีหรือข้อเสียอย่างไรบ้าง
 
         เมื่อไม่นานมานี้มีรายงานผลการวิจัย เกี่ยวกับการบริโภคช็อกโกแลตว่า ขนมหวานยอดนิยมในช่วงเทศกาลวาเลนไทน์ชนิดนี้ มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ที่เรียกว่า ฟลาโวนอยด์ (Flavonoid) เช่นเดียวกับที่พบในพืชผักและใบชา เป็นส่วนประกอบสำคัญ ดังนั้นการรับประทานช็อกโกแลตในปริมาณที่เหมาะสม จึงมีส่วนช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจ หรือแม้กระทั่งให้คุณประโยชน์ในการป้องกันมะเร็งบางชนิดได้
 
         อย่างไรก็ตาม รายงานล่าลุดของจุลสาร American Journal of Clinical Nutrition ระบุว่า มนุษย์จะได้รับประโยชน์จากช็อกโกแลตและโกโก้ หากได้รับประทานในปริมาณที่เหมาะสมเท่านั้น โดยการรับประทานช็อกโกแลตดำประมาณครึ่งออนซ์ หรือแป้งโกโก้ที่ไม่ใส่น้ำตาล 1/4 ช้อนโต๊ะ จะทำให้ความสามารถในการต่อต้านอนุมูลอิสระของร่างกายเราเพิ่มขึ้นประมาณ 4 เปอร์เซ็นต์ และปริมาณของ LDL ซึ่งเป็นคอเลสเตอรอลที่เป็นพิษก็จะลดลงเช่นกัน
 
         การที่คนในสมัยก่อนนิยมให้คนป่วยดื่มโกโก้ร้อนหรือช็อกโกแลตร้อน เพื่อบำรุงร่างกายนั้น มีสาเหตุมาจากความจริงที่ว่า ในโกโก้หรือช็อกโกแลตร้อน 1 ถ้วยนั้นมีปริมาณของสารคาเฟอีนประมาณ 10 มิลลิกรัมและปริมาณสารคาเฟอีนที่น้อยกว่ากาแฟถึง 10 เท่านี้เองที่ช่วยกระตุ้นร่างกายให้มีความรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นได้
 
         โกโก้หรือช็อกโกแลตร้อนยังมีสรรพคุณช่วยให้หายเครียดด้วย เนื่องจากช็อกโกแลตมีสารบางชนิดไปกระตุ้นให้สมองหลั่งสารเคมีแห่งความสุขที่ชื่อ เอ็นดอร์ฟิน (Endorphin) ออกมาช่วยทำให้รู้สึกมีอารมณ์ดี นอกจากนั้นชาวยุโรปส่วนใหญ่ยังเชื่อว่าทำให้สุขภาพแข็งแรงและมีอายุยืนยาว อีกทั้งยังสามารถช่วยลดไข้รักษาอาการอาหารไม่ย่อย และช่วยให้มีลมหายใจที่หอมสดชื่นอีกด้วย
 
 

**กระทู้นี้เป็นกระทู้เดิมหมายเลข 0119 ห้อง openroom (เผื่อใช้ในการค้นหา)**

pall

สวัสดีจ๊ะพรหล้า
 ขอบใจมากสำหรับข้อมูลดีๆ
 ชอกโกแลตที่ป้าชอบกินมากคือชอกโกแลตขาว
 สามารถกินได้เป็นกก.ตอนนี้เห็นชัดว่ามีปัญหา
 ตอนกดแป้นคอม...พุงมันค้ำมากจริงๆ

พรหล้า

มีพุงดีแล้วค่ะป้า...เค้าเรียกว่ามีฐานะ
 หุหุหุ...