ได้เงิน 120000 บาทไทยเทียบกับที่ swiss ถือว่าใช้ได้หรือเปล่าค่ะ

Previous topic - Next topic

the sun

 พี่บัวขาวจ้ะ ตะวันอ่านดูแล้ว ขำไปด้วยค่ะ คล้ายๆ เป็นศิลข้อที่ต้องปฏิบัติ ว่าไหม..หนึ่งในหลายข้อทำได้ค่ะ แต่ก้อมีบ้างบางข้อที่ขัดๆ เราทำไม่ได้ เอิ้กกกๆๆๆ ยอมรับค่ะ ว่าปีแรกที่แต่งงานกับสามีมามีความสุขมากค่ะ นี่เข้าปีที่สองแล้ว รวมระยะเวลาทั้งเริ่มรักกันและจนแต่งงานก้อจะสามปีแล้ว สามีเคยทำตัวอย่างไรกับเรา เขาก้อทำเหมือนเดิม ยิ่งรักมากขึ้นค่ะ ยิ่งรู้ว่ามีลูกด้วย เขายิ่งเป็นเหมือนคนรับใช้เราไปเลย ยกเว้ณทำกับข้าวค่ะ เขาทำไม่เป็น แต่ก้อว่าไปแล้วเราต้องดูกันอีกยาวนาน แค่ไม่กี่ปีบอกไม่ได้คะ การมีสามีเป็นคนสวิส ก้อโชคดีไปอย่าง วัฒนธรรมเขาก้อดี อะไรหลายๆ อย่างสอนคนสวิสให้เป็นคนดี แต่เสียอย่างค่ะ เรืองภาษา เราต้องได้มาเริ่มใหม่ เซงตรงนี้ อีกอยางคะ สวิสมีคนหลากหลายวัฒนธรรมเข้ามาอยู่รวมกันหลายประเทศ แต่หล่ะประเทศไม่เหมือนกัน เห็นหัวทองๆ เดินอยู่คิดว่าสวิสหมดคงไม่ใช่ เราก้อศึกษาประเทศเขาไม่ใช่แค่จะศึกษาคนสวิสเท่านั้น ต้องได้ศึกษาบุคคล อราวด์เดอะเวิร์ด เลยหล่ะ

Jojo

หวัดดีค่ะทุก ๆ คน  ;D

อ่านข้อความคุณบัวขาวแล้วมันใช่เลยอ่ะ ;) จะคล้าย ๆ หลักธรรมการครองชีวิตคู่ที่ถือปฏิบัติอยู่ตามนี้ค่ะ

หน้าที่ของสามีพึงบำรุงภรรยา
1. ด้วยการยกย่องนับถือว่าเป็นภรรยา
2. ด้วยไม่ดูหมิ่นภรรยา
3. ด้วยไม่ประพฤตินอกใจภรรยา
4. ด้วยมอบความเป็นใหญ่ให้
5. ด้วยให้เครื่องแต่งตัว

ภรรยาย่อมอนุเคราะห์สามี
1. จัดการงานดี
2. สงเคราะห์คนข้างเคียงของสามีดี
3. ไม่ประพฤติตนนอกใจสามี
4. รักษาทรัพย์ที่สามีหามาได้ไว้
5. ขยันไม่เกียจคร้านในกิจการทั้งปวง

และก็ไม่ต้องกังวลว่าจะทำไม่ได้ทุกข้อ อยู่ด้วยกันไปนานๆ โดยอยู่กันด้วยความรักเป็นเหตุผลหลัก (เรื่องเงินกะความสบายคิดว่าเป็นผลพลอยได้)+ความเข้าใจ ค่อย ๆ ปรับพฤติกรรมกันไป มันก็จะทำได้หมดครบทุกข้อเอง...ฟันธง ;D

ถึงคุณ moo5202
เห็นใจคุณจัง อยากบอกว่าไม่ต้องกังวลอะไรมาก อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ถ้าปัจจุบันมันทำให้คุณมีความสุข คุณก็ไม่ต้องไปใส่ใจในเรื่องของอนาคตที่มันยังมองไม่เห็น อย่าไปทุกข์กับความสุขปัจจุบัน ;D
การที่จะตัดสินใจแต่งงานกันน่ะมันง่ายมากค่ะ แต่การที่จะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันนั้นมันยากกว่ามากๆ ยังไงก็ขอเป็นกำลังใจให้นะคะ ส่วนเรื่องถูกหลอก คุณก็ให้ข้อมูลในบอร์ดไว้เยอะ ๆ  ถ้าเกิดอะไรขึ้นกะคุณจริง ๆ พวกเราก็จะช่วยค่ะ ;D
อย่าหยุดที่จะเดินหาโอกาส

moo5202

บีขอคำปรึกษาหน่อยค่ะ พวกพี่ ๆ น้อง ๆ ที่ สวิท

   เรื่องมันมีอยู่ว่าบีเอาเรื่องไปปรึกษาแม่เรื่องเค้า ส่วนแม่เค้าเอาไปปรึกษาป้าอีกทีหนึ่ง ป้าก็บอกว่าให้เรียนสินสอดเยอะ ๆ ประมาณว่าบ้านหนึ่งหลัง รถหนึ่งคัน เงินหนึ่งล้าน ป้าให้เหตุผลว่าหากเค้าทิ้งเราจะได้ไม่ต้องเสียใจกลับมาอยู่บ้านจะได้สบาย ไม่ต้องเครียดเมื่อกลับไทย(ทำมัยไม่คิดว่าอยู่กันรอดเลยหรอ) เฮ้อ....ส่วนตัวบีเองไม่เคยคิดอย่างนั้นเลย แต่สิ่งที่ป้าเค้าบอกก็เค้าใจว่าเป็นห่วงอยากให้ดูแล้วมั่นคง คือว่าบีไม่อยากให้เค้ามองว่าเราเห็นแก่เงิน แต่งเพราะเงิน เรื่องเงินไม่ใช่สิ่งสำคัญค่ะ เราก็มีสองมือสองเท้าเราหาเองได้ ไม่ได้กะว่าจะไปเกาะเค้า ญาติ ๆ ก็ยุยงให้ไปขอเค้าอย่างที่ป้าบอก ส่วนแม่ก็เริ่มเห็นด้วย หนูเองก็เริ่มเครียด ๆ ล่ะค่ะตอนนี้ หนูไม่อยากทำให้เค้ารู้สึกแบบนั้น กลัวเค้าจะเข้าใจเราผิด ๆ อยากทราบว่าตอนที่พวกพี่แต่งกันเนี้ย พวกพี่ ๆ มีวิธีบอกเค้าไง แล้วเรียกสินสอดอย่างไรบ้างค่ะ ขอประสบการณ์จากแม่บ้านที่สวิสหน่อยค่ะ

nidnid

ของพี่ไม่มีสินสอดใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่มีบ้านหนึ่งหลัง ไม่มีรถหนึ่งคัน ไม่มีเงินล้านจากสามี ถ้าได้แต่งงานและมาอยู่ที่สวิตฯ น้องจะเห็นเอง ทุกอย่างจะได้มาเอง โดยไม่ต้องขอ พี่ก็เข้าใจว่าประเพณีของเรา แต่ของฝรั่งเขาไม่มีค่าสินสอด เพราะฉะนั้นมันเรื่องละเอียดอ่อน
บางคนว่า ถ้าคิดจะแต่งงานกับหญิงไทย ก็ต้องเข้าใจวัฒนธรรม ประเพณีไทย แต่พี่บอกได้เลย ว่าไม่มีฝรั่งคนไหน ที่จะเข้าใจถ่องแท้
ทุกวันนี้สามีพี่ยังบอกเลยว่า "อย่าลืมบอกแม่ด้วยนะ ว่า ไม่ใช่แค่แม่คนเดียวที่จ่ายค่าเลี้ยงดู ส่งเสียให้เรียน ผมก็จ่ายเยอะเหมือนกัน"
แค่ค่าเรียน ค่าโน้นค่านี้ พี่ก็ได้เงินล้านเหมือนกัน แต่มันไม่มีเงินในบัญชีให้เห็นเท่านั้นเอง  ตอนไม่มีเขา เราก็ไม่มีเงินล้าน แต่ก็ยังอยู่ได้ แล้วพอมีเขาอยากจะมีเงินล้าน เพื่อให้ตัวเองอยู่ได้ แต่มันก็นานาจิตตัง แต่อยากให้เข้าใจ เพราะน้องบอกว่า เขามีเงินเดือนแค่สี่พันฟรังก์ แล้วจะหาเงินล้านที่ไหนมาให้
แต่ถ้าได้สามีรวย ก็อาจจะได้ แต่บอกได้เลยว่าฝรั่งทุกคนใช้เงินอย่างมีเหตุผล และค่อนข้างประหยัด เนื่องจากว่าค่าครองชีพสูง
แต่ถ้าอยากลองดูก็ขอเขาได้ ไม่รู้ว่าเขาจะตอบว่าไงเหมือนกัน
การมาอยู่ที่สวิตฯ เหมือนกับเริ่มจากศูนย์ ไหนจะค่าเรียน ค่าประกัน ค่าโน้นค่านี้ เขาต้องจ่ายให้น้องในระหว่างที่น้องยังไม่มีงานทำ และอีกอย่างงานก็ไม่ใช่ว่าจะหาได้ง่าย ๆ ขั้นแรกน้องต้องเรียนภาษาก่อน

the sun

สวัสดีค่ะ น้อง บี กับกระทู้ล่าสุดพี่ตะวันเห็นด้วยกับพี่แพนจะคะ ...ไม่ใช่ว่าจะมองในแง่ไหนก้อแล้วแต่..ไม่ใช่ว่าความสามารถแฟนน้องไม่มี หรืออย่างไร พี่ไม่ทราบ แต่ถ้าป้าอยากได้ ซึ่งป้ายังไม่เคยมีสามีฝรั่งหล่ะ ยังไม่เคยเข้าใจหัวอกฝรั่ง ให้ป้ามาหาฝรั่งเองแล้วป้าของบีจะเข้าใจ ค่ะ ..ความสามารถเห็นว่าเขาเป็นฝรั่ง ไม่ใช่เขาจะทำได้ มีเก็บถังใหญ่กันทุกคนนะคะ ไม่ต้องกลุ้มใจค่ะ ค่อยๆ อธิบายให้ทางครอบครัวเราเข้าใจนะคะ ยิ่งแฟนหนูบี มีเงินเดือนแค่ 4000 ฟรังค์ ถ้าพ่อแม่เขาไม่รวย ไม่สปอยลูกจริงๆ ขอบอกว่ายากคะกับค่าสินสอด บ้าน1 หลัง รถยนต์1 คัน กับเงินอีก 1 ล้าน  ถ้าเขาไม่มีเงินเก็บมาตั้งแต่อายุ 15 โน้นคงทำได้ยาก พี่ตะวันว่าน้องบีนั้นแหล่ะจะได้กลับใช้หนี้ช่วยสามีในอนาคต มาตกนรกพร้อมกันกับแฟนกรณีที่เขาไม่มีเงินแต่ไปบังคับเอานะ แต่ถ้ามีเงินก้อโล่งอกไป ด้วยความที่ผู้ใหญ่ฝ่ายบีไม่ให้ความเข้าใจเราทั้งคู่ อยากให้ลูกสาวมาตกนรก ก้อเรียกแพงๆ ไปเลย
ส่วนประสบการณ์พี่ เคยแต่งที่ไทย แม่เรียกสินสอด ก้อตามเนื้อผ้าค่ะ แม่พี่เข้าใจว่า ลูกสาวได้ผัวกรรมกรค่ะ แต่ไม่ใช่ขี้นก ต่างตรงไหนหน้อออ..เลยเรียกตามเนื้อผ้า ไม่มากเกิน ไม่น้อยเกิน แต่ก่อนเรียกพี่จะปรีกษาแม่ก่อนว่า ..แม่ฟังหนูนะ แฟนหนูงี้ๆๆๆๆๆ มีเงินเดือนเท่านี้ๆๆๆๆ พ่อแม่ทางแฟนรวยไหม จนเท่าไร พ่อแม่ทำไรที่สวิส..ถ้าแม่จะเรียกจนแม่รวยไปเลยชาตินี้ ให้หนูไปหาผัวใหม่ก่อนนะ ที่ไม่ใช่เขา อาจจะได้หรือไม่ได้ หนูไม่รู้ แต่คนนี้หนูรักเขา...จบ..จากนั้นแม่พี่ก้อเก็ตเลยทันที่ว่า...เฮ้ย..ลูกสาวเราจบป.ตรีมาก้อจริง มันไม่ใช่ จบด๊อกเตอร์นี่หว่า..เราเป็นลูก สส.ก้อไม่ใช่ ลูก รัฐมนตรีก้อไม่ใช่ เราก้อตาสีตาสา มีความมุ่งมั่นคนหนึ่ง  แม่พี่เลยว่า..เอ้า..สมน้ำสมเนื้อ ในหมู่บ้านนี้ไม่เคยมีลูกสาวบ้านไหนในหมู่บ้านได้ค่าสินสอดเท่านี้ได้ เอาเกินกว่าคนไทยนิดหน่อยๆ ไม่หน้าเกียลด แค่หลัก 6 ไม่ใช่หลัก 7  กะทองคำ แหวนนิดๆ หน่อยๆ ทองแม่พี่ยกให้คู่บาวสาว แหวนเพชร นั้นมันของเราอยู่แล้วคู่บ่าว ส่วนเงินสินสอดทั้งหมด จัดงานให้ใหญ่ไปเลย..ตำมันเข้าไปพริกละลายแม่น้ำ กินกันให้คุมไปเลย ไม่ต้องให้เหลือ ว่าจะเอาไว้เผื่อรวย  จัดให้ได้หน้าได้ตาลูกสาว ขี้เหร่ๆ นี่แหล่ะ ชีวิตนี้แต่งงานครั้งเดียว คนเราเกิดมาสิทธิจัดงานให้ตัวเองแค่ 2ครั้ง ครั้งแรก คือแต่งงาน (ถ้าคุณไม่แต่งหลายรอบนะ) ครั้งที่สอง คือตาย งานศพเราๆจะไม่สามารถอยู่เห็นได้ ว่าใครเขาจัดให้เราไง แต่งานแต่งก้อต้องทำให้ดีที่สุด เพราะเราเห็นได้ว่าเราต้องมีความสุขแน่นอน 
แชร์ประสบการณ์ เรียกสินสอดแค่นี้ค่ะ โชคดีค่ะ ให้แม่หนูบีเข้าใจนะคะ 



Jojo

Quote from: moo5202 on March 25, 2009, 02:38:32 PM
บีขอคำปรึกษาหน่อยค่ะ พวกพี่ ๆ น้อง ๆ ที่ สวิท

   เรื่องมันมีอยู่ว่าบีเอาเรื่องไปปรึกษาแม่เรื่องเค้า ส่วนแม่เค้าเอาไปปรึกษาป้าอีกทีหนึ่ง ป้าก็บอกว่าให้เรียนสินสอดเยอะ ๆ ประมาณว่าบ้านหนึ่งหลัง รถหนึ่งคัน เงินหนึ่งล้าน ป้าให้เหตุผลว่าหากเค้าทิ้งเราจะได้ไม่ต้องเสียใจกลับมาอยู่บ้านจะได้สบาย ไม่ต้องเครียดเมื่อกลับไทย(ทำมัยไม่คิดว่าอยู่กันรอดเลยหรอ) เฮ้อ....ส่วนตัวบีเองไม่เคยคิดอย่างนั้นเลย แต่สิ่งที่ป้าเค้าบอกก็เค้าใจว่าเป็นห่วงอยากให้ดูแล้วมั่นคง คือว่าบีไม่อยากให้เค้ามองว่าเราเห็นแก่เงิน แต่งเพราะเงิน เรื่องเงินไม่ใช่สิ่งสำคัญค่ะ เราก็มีสองมือสองเท้าเราหาเองได้ ไม่ได้กะว่าจะไปเกาะเค้า ญาติ ๆ ก็ยุยงให้ไปขอเค้าอย่างที่ป้าบอก ส่วนแม่ก็เริ่มเห็นด้วย หนูเองก็เริ่มเครียด ๆ ล่ะค่ะตอนนี้ หนูไม่อยากทำให้เค้ารู้สึกแบบนั้น กลัวเค้าจะเข้าใจเราผิด ๆ อยากทราบว่าตอนที่พวกพี่แต่งกันเนี้ย พวกพี่ ๆ มีวิธีบอกเค้าไง แล้วเรียกสินสอดอย่างไรบ้างค่ะ ขอประสบการณ์จากแม่บ้านที่สวิสหน่อยค่ะ
;D ค่านิยมค่ะ อันนี้มันเป็นค่านิยมที่ถูกปลูกฝังกันมานมนานน... ถ้ามีสามีฝรั่งต้องมีบ้าน มีรถ มีทองเส้นใหญ่ มีเงินส่งกลับไปที่บ้านเยอะ ๆ ฯลฯ  ;D ยังไงก็ต้องอธิบายให้ผู้ใหญ่เข้าใจ ถึงจะเกิดแรงกดดันภายในครอบครัวกันบ้างก็ตาม :-\
ของโจ้แต่งไม่มีสินสอดซักบาท จัดงานแต่งกันที่โรงเพยาบาลสงฆ์ ทุกวันนี้แหวนแต่งงานราคาสองสามหมื่นก็ไม่มีใส่กัน  ทำงานหาเงินช่วยทางบ้านด้วยน้ำพักน้ำแรงตัวเองอยู่ตลอด ขนาดคุณสามีอยู่เมืองไทยมาตั้ง 12 ปี ก็ยังไม่มีทีท่าจะเข้าใจประเพณีไทยสักเท่าไหร่  :'( จนไม่มีใครยอมรับเขยฝรั่งสักคน  :-\ พ่อกะสามีเกาเหลากันจนถึงทุกวันนี้ แม่โจ้ก็ยังโดนแซวว่าเป็นแม่ยายฝรั่งทำไมยังต้องทำงาน ???
แต่ก่อนท้องแก่จนคลอดลูกยังซ้อนแมงกาไซด์ ต๊อก ๆ ๆ สองคนผัวเมีย บ้านก็ต้องเช่าเค้าอยู่  ยังเคยถูกคนที่ทำงานด้วยกันเหน็บแนม ว่าแต่งกันมาจนลูกโตทำไมไม่เห็นมีบ้านซักที ดูอย่างคนโน้นซิ เจอกัน 4 เดือนฝรั่งซื้อบ้านให้แล้ว  ???...คิดกันซะงั้น
นี่ก็เพิ่งจะครบรอบแต่งงานปีที่เจ็ดเมื่อสองอาทิตย์ก่อน เราอยู่ด้วยความรักและเข้าใจกันมากกว่าทรัพย์สินซึ่งเป็นของนอกกาย เราช่วยกันหา ช่วยกันเก็บ ช่วยกันสร้าง ทุกวันนี้ชีวิตสมบูรณ์แล้วค่ะ จากสถานะผู้เช่าเปลี่ยนเป็นผู้ให้เช่า และชีวิตครอบครัวก็มีความสุขมาก ๆ สุขตามอัตภาพที่เราเป็นอยู่ ไม่จำเป็นต้องได้กอดเงินล้าน กอดสามีกะลูกอย่างทุกวันนี้ดีกว่าเยอะ   ;)
การที่โจ้พากันย้ายมาอยู่ที่สวิสก็จะมาหา มาเก็บ แล้วจะกลับไปสร้างกันต่อที่เมืองไทย ทุกวันนี้ไม่คิดจะขออะไรจากสามีไปมากกว่าการที่ขอให้เค้าส่งเราเรียน เพราะเราก็เห็น ๆ อยู่ว่าค่าครองชีพที่สวิสสูงมาก ๆ ได้ตกลงกันแล้วว่าไม่ว่าโจ้อยากเรียนอะไร ขอให้ช่วยหน่อย แค่เรื่องเรียนอย่างเดียวก็พอ เพราะโจ้จะถูกปลูกฝังมาว่า "พ่อและแม่ไม่มีทรัพย์มรดกให้ แต่จะให้ทุนทรัพย์ลูกคือการศึกษา" ก็เลยเอามาใช้กะคุณสามีมั่งอ่ะ ;D ทุกวันนี้ก็เลยเป็นเด็กนักเรียนทุน ทุน สมก.(สามี..รู) ;D
เพราะวัน ๆ ก็นั่งฝันไปเรื่อย ๆ ถ้าเรียนภาษาเยอรมันจนเก่ง เรียนต่อด้านนั้นด้านนี้เพิ่มอีกนิดหน่อย พอได้ทำงาน ได้เงินเดือน เอา 30 บาทคูณเข้าไป โอ๊วววว... เงินเดือนหลักแสน  ;D ค่าใช้จ่ายในบ้านก็ใช้เงินเดือนคุณสามีเพราะเป็นส่วนความรับผิดชอบของเค้า ส่วนเงินเดือนเรา...เก็บ ;D
และหากวันใดวันหนึ่ง ไม่มีสามีอยู่ข้าง ๆ อีกต่อไป โจ้คิดว่าตัวเองก็คงจะกลับไปอยู่เมืองไทย บ้านของเรา ความรู้ ประสบการณ์จากสวิสที่ติดตัวเราไปด้วยนั้น ถ้าไปหางานทำที่เมืองไทยเงินเดือนก็คงมิใช่น้อย ;D

แค่อยากจะเข้ามาแลกเปลี่ยนแนวความคิดกะมุมมอง แค่นั้นนะคะ  โชคดีนะคะ ;D
อย่าหยุดที่จะเดินหาโอกาส

nidnid

อย่างญาติ ๆ ของพี่ พวกน้า ๆ ทั้งหลายว่า ทำไมแกได้สามีจน พี่ก็เลยบอกว่า ถึงจะจนแต่ก็รวยกว่าสามีไทย ทำไมแกไม่หาสามีฝรั่งรวย ๆ พี่ก็เลยบอกว่า ใครหาได้รวย ๆ ก็หาไป ถือว่าโชคดี แล้วพี่ก็บอกว่า ก็แล้วทำไมไม่ให้ลูกสาวน้าไปหาสามีฝรั่งรวย ๆ ล่ะ ตั้งแต่นั้นมาไม่มีใครมายุ่งวุ่นวายกับพี่เลย พี่โชคดีที่แม่ไม่เคยบอกพี่ว่า "แกต้องขอค่าสินสอดเยอะ ๆ นะ" แม่พี่บอกเสมอว่า แกอย่าขออะไรเขามาก เขาให้แค่ไหนก็แค่นั้น เขาดีกับแก แม่ก็ดีใจ แค่นี้ที่แม่พี่ต้องการ

ชีวิตนี้อยู่อย่างไม่เป็นหนี้ ดีที่สุด
ทรัพย์สินเงินทองมากมาย ตายไปเอาไปไม่ได้จ๊ะ แถมสร้างปัญหาให้กับญาติ ๆ ที่ต้องมาแย่งสมบัติเราอีก  พี่ว่ามันเป็นบาปนะ ที่ทำให้ญาติ ๆ ต้องทะเลาะกัน เพราะเงินอันน้อยนิดของเราเนี้ย

เหมือนพี่ตะวันว่า ไม่ได้เป็นลูก สส. ไม่ได้เป็นลูกนายกรัฐมนตรี เรียกสินสอดสมน้ำสมเนื้อก็พอจ๊ะ

รักนะ

moo5202

ถ้าถามถึงตอนนี้ บีก็ไม่เคยนึกอยากได้อะไรจากเค้านะค่ะ แม้กระทั้งเรื่องเงินทองอะไรของเค้า บีก็ไม่เคยเอ่ยปากขอซักบาท ตั้งแต่ที่คบกันมาไม่เคยคิดเรื่องสินสอดเลย คิดอยู่อย่างเดียวขออย่าให้เค้าหลอกเรา รักเราจริง ๆ ไม่โดนหลอกไปขายตัวที่สวิสเป็นพอ หนูเองก็พอรู้ว่าเค้าไม่ค่อยมีหนูก็ไม่อยากเรียกร้อง บีเองไม่เคยกลัวลำบากนะค่ะ ไม่เคยยึดมั่นถือมั่นกับหน้าที่การงานในเมืองไทย แต่ทุกวันนี้โดนญาติ ๆ ว่าประนามกันยกใหญ่ นี้ขนาดยังไม่ได้อะไรกันเลย โทรมาด่าวันละหลาย ๆ รอบ รับโทรศัพท์ไม่หวาดไม่ไหว บอกว่าอยากมีสามีฝรั่งจนตัวสั่นบ้าง หลงฝรั่งบ้าง โดนหลอกบ้าง โง่บ้าง บอกว่าหน้าอย่างเรา ขี้เหร่อย่างนี้ใครจะเอา ส่วนแม่นั้น แรก ๆ แม่ก็บอกว่าสินสอดไม่ต้อง ขอให้มาคุยกันก่อนถ้าลูกรักเค้าแม่ยกให้ แต่หลัง ๆ ก็เริ่มบ่นว่าถ้าไม่มีเงินจะเอาไปทำมัย เป็นฝรั่งสำเหมาหรือเปล่าก็ไม่รู้ ก็เข้าใจค่ะว่าเค้าคงโดนญาติ ๆ ประนามมาเหมือนหนู หนูเข้าใจหัวอกความเป็นแม่ว่าต้องการให้ลูกสบาย ทุกวันนี้หนูเองก็ยังไม่กล้าบอกเค้า มันรู้สึกกระดากอายนะค่ะ เค้าก็คนธรรมดาคนหนึ่งไม่ได้รวยอะไร บีเองก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะต้องไปเป็นคุณนายที่โน้น ตอนนี้ญาติทุกคนเค้ากำลังดูหมิ่นดูถูกรอเห็นความพินาศย่อยยับของหนู หนูไม่โกรธหรอกค่ะ ถ้าเค้าจะคิดอย่างนั้น แต่ก็อึดอัดว่าปรึกษาใครไม่ได้แม้แต่แม่ตัวเอง  :-\  ส่วนตัวหนูถ้าหากว่าได้แต่งงานกันไปหนูก็จะขยันทำงานเป็นแม่บ้านแม่เรือน แต่ในส่วนตัวเค้าเราก็ไม่อาจทราบได้ว่าจะดีได้นานขนาดไหน จะทิ้งเราเมื่อไหร่ หนูกลุ่มใจจังค่ะ ไม่เคยคิดว่ามีความรักจะทำให้กลุ่มใจขนาดนี้ค่ะ  :'(

nidnid

นี่แหละที่เขาว่า ที่ไหนมีรัก ที่นั่นมีทุกข์

เอางี้ดีไหม พี่ว่า ใช้เวลาคบเขาไปก่อน อย่าเพิ่งรีบร้อนตามเขา ถ้าเขารักเราเขาก็ต้องรอเราได้ เราอยู่เมืองไทยรอเขา ทำงานของเราไป
คนเราคู่กันแล้ว มันก็บ่แคล้วกันดอก น้องเอ๊ย

แต่ถ้าแฟนไม่เข้าใจ มันก็เป็นเรื่องของเขา มันชีวิตเรานะบี อีกอย่างเพิ่งจะรู้จักกันได้ไม่นาน จะมาขอแต่งแล้ว มันก็เร็วไป ให้เขารอ ถ้ารอไม่ได้ก็ให้เขาหาคนใหม่ ถ้าเขาหาคนใหม่ ก็แสดงว่าเขาก็ไม่ได้รักเราจริง

อีกอย่างอายุยังน้อย ค่อย ๆ เลือก ค่อย ๆ หา แล้วของดีก็มาเอง คนเราดวงแต่งงานมีหลายครั้ง แต่ว่าจะประจวบเหมาะ ตอนไหนก็เท่านั้นเอง ถ้าตอนนี้จิตใจยังสับสน ก็ปล่อยให้เวลาเป็นเครื่องตัดสินดีกว่า

พี่เป็นกำลังใจให้นะ

the sun

หลายคนเข้ามาให้กำลังใจน้องบี ขออีกรอบหล่ะกัน อิอิอิ
  พี่ตะวันจะบอกว่าพี่ก้อเคยโดนมาจ้ะ กับสมาพันธ์ญาติๆที่ตาร้อนๆพร่าว บ้างทั้งตาทั้งกิริยาออกมาให้เห็นๆ เลย แหม้กระทั่งทราบว่าพี่จะแต่งงาน กำลังจัดการแต่งรอเจ้าบ่าวซึ่งยังอยู่สวิสอยู่เลย พากันยกมือสาธุขึ้นเหนือหัวให้เห็นๆ เลย แล้วบอกว่า...สาธุทีเทอญขอให้เจ้าบ่าวอย่ามาแต่ง จัดงานเก้อ ...พี่มีขนาดนี้นะ พี่ยังไม่สนเลย พี่ยึดมั่นในสิ่งที่พี่มีและแฟนยึดมั่นใจตัวแฟน ถึงพี่จะไม่มีแฟนเป็นฝรั่งมังคา พี่ก้อร้ว่าพี่ทำให้แม่ได้สบายมากกว่าที่ญาติจะมาช่วยเหลืออีก ญาติไม่ได้เอาไรมาให้พี่เลยแม้แต่บาทเดียว มีแต่ความอิจฉาริษยา รายรอบตัวพี่ จนหมอดูทักว่า อย่าไปฟังเสียงนกกาทัก จะทำให้เราสะดุด ทุกวันนี้พี่สบายใจแหล่ะ เวลากลับบ้านทีไม่มีญาติๆ มาลุมทึ้งลุมกิน สบายมากๆ เลย มะก่อนกลับบ้านที ญาติๆ นั่งรอตั้งแต่ยังไม่ลงเครืองเลย มารอลุมทึ้งกินๆ เสร็จก้อเผิ่นหนี ไปพูดโน้นนี่ รำคราญนะ ทุกวันนี้ใช่ว่าจะหยุดนะ เขาไม่หยุดหรอก คนตาร้อนๆ พร่าวๆ จนพี่หนีมาอยู่สวิสพี่ก้อได้ยินมาเรื่อยๆ กันคำพูดนินทาตามหลังมา แต่พี่ไม่สนใจ พี่ป้าน้าอาที่ชอบๆว่าๆ ให้  เรานั้นก้อใช่จะดีกว่าเรานะ ชีวิตเราต่างหาก ทีเขาว่าให้ดีๆ เรามาดีกว่าอีก พวกเขากับย่ำอยู่ที่เดิมๆ กัน
   อยากบอกบีว่า แนนโตแล้ว ไม่ต้องไปยึดติดกับคำพูดเสียงนกเสียงกา อย่ากลัวในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น อธิบายให้แม่เข้าใจก้อพอ พี่เข้าใจแม่บีนะ คงจะเหมือนแม่พี่แรกๆ ไปๆ มา เขาก้อปลงเอง บีต้องทำให้เขาเห็นนะ ว่า มีสามีฝรั่งแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้ฝรั่งช่วยเราถึงจะยกฐานะครอบครัวได้ มีเงินได้ นั้นคิดว่าชีวิตหลังแต่งงานอาจจะใช้ แต่ก่อนแต่งงาน เราก้อทำให้เห็นว่าเราทำได้
  เก็บคำพูดของญาติมาเป็นเครืองวัดการเดินทางและเป็นแรงผลักดัน ให้เขายอมรับตัวเราไปซะทุกอย่างไม่ได้หรอก ไม่ว่าจะเป้นใคร ต้องมีพูดบ้าง ดีแล้วทีเขาพูด สู้ๆๆ เอาใจช่วยจ้ะ   


Api

สวัสดีค่ะ คุณตะวัน น้องบี  คุณ JoJo และคุณ Pan

ก่อนอื่นต้องขอให้กำลังใจน้องบีนะคะ ความคิดเห็นเหมือนคุณ the Sun คุณ JoJo และคุณ Pan ค่ะแต่ขอแชร์ประสบการณ์เรื่องการแต่งงานนะคะ สมัยพี่คบกับคุณสามีแรกๆ  เค้าถามเรื่องแต่งงานก่อนที่พี่จะรักเค้าอีกค่ะ เค้าบอกว่าหมั้นก่อน แล้วค่อยแต่ง ถามเรื่องสินสอดเพราะเค้ารู้วัฒนธรรมไทยบ้าง ตอนนั้นพี่ยังไม่รักสามีพี่เลย พี่บอกประชดเรียกสินสอดสูงมาก พี่เรียกเพื่อที่เค้าจะเลิกจีบเราปรากฎว่า เค้ายอมทุกกรณี ไอ้ตอนที่พี่เรียกพี่กะว่าเค้าจะไม่มาตอแยพี่อีกปรากฎว่ามาหมั้นก่อน และเอาชนะใจพี่ได้เพราะความดีเค้ารักเราจริงๆ ยังเสมอต้นเสมอปลาย  พอแต่งงานสินสอดแม่พี่ลดให้ครึ่งหนึ่ง แถมคืนทองทุกบาทให้พี่ และสามี และเก็บเงินสินสอดไว้แค่ไม่กี่แสน คืนเงินสดกลับมาให้พี่ครึ่งหนึ่ง พี่ก็บอกสามีพี่ว่าแม่ยกให้ คุณสามีพี่ก็ให้พี่เก็บไว้ค่ะ หลังแต่งงานพี่ถามสามีพี่ว่าเค้าใจวัฒนธรรมไทยด้วยหรือ เค้าบอกว่ารู้นิดหน่อยจึงไปค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับสินสอดทองหมั้นไทย ทั้งในเว็บไซด์ และผลงานวิจัย มีทั้งบวกและลบ เค้าก็โมโหเราตอนแรกว่าทำไมเราเรียกสูงจัง แต่เพราะเค้ารักเรา และ รู้ว่าเราไม่ได้หวังเงินเค้า เพราะเวลาเราคบกัน พี่ไม่เคยที่จะขอให้เค้าจ่าย หรือซื้อของแพงๆ ให้ มีแต่บอกให้เค้าเก็บเงินเก็บทอง เอาไว้ อะไรประหยัดได้ก็จะประหยัดให้ เค้ายังว่าเราขี้เหนียว 55555 

ตอนนั้นเรามีหน้าที่การงานที่ดี การศึกษาก็สูง เค้าก็ใช้เวลาดูเราเหมือนที่เราดูเค้า เพราะพี่ไม่ได้ยึดติดเรื่องเงินทอง สมัยทำงานบริษัทข้ามชาติมีชาวแคนาดา ตามจีบจะมาขอเป็นหลักล้าน พี่ยังไม่สนใจเลยค่ะ เพราะเค้าเอาชนะใจไม่ได้ เค้าไม่อ่อนโยนเหมือนสามีพี่  พี่ขอแค่วันข้างหน้าเวลาเจ็บไข้ ขอเค้าเป็นคนที่อยู่เคียงข้างดูแลห่วงใจ และเป็นกำลังใจให้ก็พอแล้ว พี่ก็ขอโทษเค้าเรื่องสินสอดที่เราบอกมันสูงจริงๆ แม่และพี่สาวพี่ก็ดุเราว่าเราทำเกินไป แต่ตอนนั้นพี่ไม่ได้รักเค้าค่ะ ก็มีหนุ่มไทยเค้ามาจีบ พี่ก็ใช้สูตรเดียวกัน เพราะเราไม่ได้รัก เราก็เลยเรียกเพื่อให้เค้าเปลี่ยนใจจริงๆ ก็รู้ว่ามันไม่ดี แต่สุดท้ายพี่ก็ชนะความดีของคุณสามีค่ะ หลังจากเรารักเค้าแล้ว สินสอดไม่ได้มีความหมายเลย   แฟนพี่ไม่ได้รวยค่ะ ฐานะปานกลาง แต่เค้ารักเรามากๆๆ  เราทดลองใจเค้าหลายเรื่อง ผ่านการทดสอบใจ พี่จึงเปิดใจรับเค้ามาเป็นคู่ชีวิต พี่ไม่ได้รักเค้าที่อารมณ์ก่อน ไม่ได้หลง เพราะเงินทองหรือหน้าตา พี่บอกเค้าหลังจากเรารักกัน วันข้างหน้ากลับมาทำธุรกิจเล็กที่เมืองไทย ใช้ชีวิตปั้นปลายด้วยกันเท่านี้พี่ก็สุขใจแล้วค่ะ 

สำหรับกรณีน้องบี พี่อยากบอกว่าถ้าน้องมีความรักน้องต้องเอาใจเค้ามาใส่ใจเรามากๆ แคร์คนที่เรารัก พี่แนะนำว่าอธิบายให้แม่น้องเข้าใจ รวมถึงแฟนน้องด้วย เรื่องสินสอดหรือประเพณีไทย เป็นเรื่องละเอียดอ่อนคนต่างชาติเค้าเข้าใจยาก แต่น้องต้องเข้าใจแม่น้องด้วยค่ะ อย่างน้อยก็เพื่อเป็นหน้าเป็นตาให้พ่อแม่ สินสอดให้เหมาะสมกับฐานะทางบ้านเราด้วยไม่ใช้มากจนเกินไป จนชาวต่างชาติมองว่าพ่อแม่ต้องขายเราค่ะพยายามอธิบายให้แฟนเข้าใจ กรณีพี่อาจจะแตกต่างจากน้องบีนะ เพราะแม่พี่ไม่ได้สนใจชาวบ้าน แค่มาแต่งก็ดีใจแล้ว คนที่เรียกสินสอดพี่เองค่ะ แม่พี่ใจดีมากๆ พี่แต่งงานก็ให้เป็นหน้าเป็นตา ตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ เพราะวันที่พี่แต่งงาน แม่และพ่อของพี่ยิ้มอย่างมีความสุขค่ะและที่สุขที่สุดคือพี่ได้คู่ชีวิตที่ดีมาก เค้ารักเราและดูแลเราได้เท่านี้แม่พี่สบายใจแล้ว

อย่างไรก็ตามน้องบีพยายามอย่าไปสนใจชาวบ้านหรือคนที่ไม่ประสงค์ดีกับเรามากนักนะจ๊ะ แคร์คนที่เรารักและรักเราดีกว่า พวกที่พูดให้เราเจ็บช้ำน้ำใจ เป็นได้เพียงแมงหวี่แมงวัน ทำให้รำคาญอย่างเอามาใส่ใจเลยค่ะ พี่เป็นกำลังใจให้

rojui

ขอเล่าประสบการณ์ของตัวเองนะคะ
เมื่อปี1998 internet,e-mailยังไม่boomเหมือนสมัยนี้ รู้จักกับฝรั่งอเมริกาที่มานอนป่วยอยู่ที่
โรงบาลคนหนึ่ง เขาเอารูปเราไปให้เพื่อนฝรั่งที่สวิสดู ติดใจอีท่าไหนไม่รู้เขียนจดหมายส่งทางไปรษณีย์
ติดต่อกัน โดยไม่เคยเจอหน้ากันเลยเป็นเวลา2ปีเต็ม จนถึงปี2000 hotmail เริ่มบูม ก็หันมาส่ง
e-mail แทน เวลาเขาบินมาประชุมที่ Hongkong หรือสิงคโปร์ ก็จะโทรมาหาขอนัดเจอกันสักครั้ง ตอนช่วงนั้นไม่รู้กลัวอะไร กลัวเสียตัว กลัวเขาเห็นหน้าเราแล้วเลิกติดต่อ กลัวถูกหลอกไปขาย(ช่วงนั้นสาวไทยถูกหลอกไปขายเยอรมันเยอะ) กลัวฯลฯ
ก็เลยไม่เจอกันสักที พอช่วงเดือน ก.พ ปี2000เขาเขียนe-mailมาว่าจะแวะมาไทย
หลังจากเสร็จประชุมที่Hongkong เขายื่นคำขาดว่าถ้าไม่เจอกันครั้งนี้ก็คงไม่ต้องเจอกันแล้ว
เราก็เอาก็เอาวะ ประกอบกับช่วงนั้นติดวัณโรคจากคนไข้ผอมมากน้ำหนักแค่39กิโล ก็เลยตัดสินใจเจอเขา เพราะคิดว่าคนเราไม่รู้จะตายวันตายพรุ่งลองมันดูซักตั้ง แต่เราก็บอกความจริงกับเขาทุกอย่าง ว่าฉันเป็นโรควัณโรคนะกินยารักษาอยู่ ช่วงกินยาโรคจะไม่แพร่เชื้อติดต่อ เจอกันครั้งแรกไอ้สิ่งแรกที่กลัวก็เกิดขึ้น
เราก็เรียบร้อยโรงเรียนฝรั่งไป เขาบินกลับประเทศได้1เดือนก็ทำเรื่องเดือนเรื่องให้เราไปหาเขาที่สวิส มาสวิสครั้งแรกก็กลัวนะคะกลัวถูกหลอกไปขาย แต่ก็เลือกที่จะเสี่ยง ก่อนมาก็เอารูป และที่อยู่เขา รวมทั้งเอกสารpassportของเรามัดใส่ห่อให้เพื่อนไว้ ถ้าฉันไม่กลับมาตามกำหนดให้แจ้งสถานฑูตได้เลย  อันนี้แอบไปนะคะ พ่อแม่ไม่รู้ มีแค่เพื่อนรัก2คนที่รู้(อย่าเอาเป็นตัวอย่าง) ::)
แต่พอมาถึงสวิสเขาดีกว่าที่เราคิดไว้เยอะ พาเราตระเวนไปตามศูนย์ฟื้นสภาพปอด ดูแลดีมาก
ตอนนี้ถามเขาย้อนหลังดูทำไมเขาถึงทำอย่างนั้น รักฉันมากมายเลยเหรอหลังจากเจอกันครั้งแรก
เขาตอบอย่างไรรู้ไหม เขาตอบว่า เปล่าหรอกฉันสงสาร ซึ้งเลยค่ะ แล้วก็รักเขาขึ้นมาตอนนั้นเลย คิดไว้ในใจว่ายังไงๆฉันจะต้องได้(จับ)ผู้ชายคนนี้มาเป็นสามีให้ได้ ;D

แอบคบแฟนฝรั่งได้2ปีรวม2ปีเขียนจดหมายเป็น4ปี ไปๆมาที่สวิส4คร้งจึงพาเขามาแนะนำให้ทางบ้านรู้จัก
และผูกแขนแต่งแลย ไม่มีสินสอดไม่มีพิธีการใดๆทั้งสิ้นแค่พ่อแม่ ย่า ตาและยาย ญาติและเพื่อนบ้านอีก5-6
คนมาผูกข้อมือไห้ แถมได้ค่าผูกแขนมา 9 บาทเพื่อเป็นโชค

สาเหตุทีไม่มีสินสอดเพราะพ่อกลัวเขาไม่เอาลูกสาวตัวเองไหนๆก็อยู่กินกันแล้ว อีกอย่างไม่ได้บอกทางบ้าน
ว่าแฟนทำงานอะไร มีฐานะอย่างไรสามีจะเป็นคนแต่งตัวง่ายๆเวลาไม่ไปทำงาน มือไม้ก็หยาบกร้าน เพราะเขาออกกำลังกายยกน้ำหนัก พ่อก็เลยคิดว่าลูกเขยไม่มีค่าสินสอด ลูกสาวจะขึ้นคานเปล่าๆ
หลังแต่งงานพาพ่อกับแม่ไปเที่ยว เวลาสามีไปทำงานต้องใส่สูทผูกไทด์ พ่อเห็นถามว่าขอเรียกสินสอดย้อนหลัง
ได้ไหม :Dสายไปแล้วพ่อ

รู้จักอยู่กินแต่งงานกับสามีเข้าปีที่11แล้ว เขาก็ทำงานเราก็ทำงาน ถึงเงินเดือนเราจะไม่ถึงครึ่งเงินเดือนเขา
แต่เงินที่เก็บออมก็เป็นเงินของเราด้วย  ถึงพ่อแม่จะไม่ได้สินสอดแต่ก็ได้รับความช่วยเหลือจากเขยฝรั่ง
ตามอัตถภาพไม่ขาด
ยังไงๆก็อย่าไปคิดมากเรื่องสินสอดเลยค่ะ ปากชาวบ้านถึงสินสอดจะมากหรือน้อยก็ไม่วายเก็บมานินทาอยู่ดี

moo5202

ก่อนอื่นต้องขอขอบพวกคุณพี่ ๆ ที่เป็นแม่บ้านสวิทมากเลยนะค่ะ และก็ต้องขอบคุณเว็บไซท์ป้าพอลเป็นอย่างสูง

     อ่านแล้วซึ่งจังค่ะ :'( ไม่รู้ว่าเราจะโชคดีเหมือนอย่างพวกพี่ ๆ หรือเปล่าเน้อ  :D  ประสบการณ์จากพวกพี่ ๆ ทำให้รู้ว่าความรักไม่ได้อยู่ที่เงินทองแต่อย่างไร แต่อยู่ที่ความรักและความเอาใจใส่จากคู่ชีวิตของเรานั้นเอง ตอนนี้บีเองก็ขอดูใจเค้าไปก่อนค่ะ ไม่ได้รีบร้อนอะไร เห็นเค้าว่าจะมาหาตอนเดือน ธันวาคม นะค่ะ เค้าบอกว่าเป็น long holiday 3 เดือน(ไม่ทราบว่ามีอย่างงี้ด้วยหรอ หรือว่าโดนไล่ออกก็ไม่ทราบได้  ???) ตอนนี้บีเองก็รู้สึกสับสนนิดหน่อยในเรื่องของแม่ และก็เรื่องของเค้าค่ะ แต่ถ้าคิดว่าเป็นเนื้อคู่กันแล้วก็คงไม่แคล้วกัน จะยากดีมีจนอย่างไรก็ต้องคู่กัน ก็จะได้สบายใจเน๊อะ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดค่ะ แต่ถ้าไม่ใช่เนื้อคู่ก็ขอให้จากกันด้วยดีค่ะ  :)

     แต่อย่างไรก็ต้องขอขอบคุณพวกพี่ ๆ มากเลยนะค่ะ อยู่กันตั้งครึ่งโลกยังหาเวลามาให้คำปรึกษากับบีได้ ซึ่งใจจริง ๆ :'( หากมีวาสนาได้เป็นสะใภ้สวิสจริง ๆ เราคงได้เจอกันนะค่ะ  :)

    รักนะจุ๊ฟ จุ๊ฟ อิอิ

naddyswiss

คุณน้องบีคะ ช่วง Holiday หน้าหนาวสามเดือนเป็นไปได้นะคะ เพราะว่าพี่ชายสามีเค้าทำงานก่อสร้าง เค้าจะมีช่วงหยุดยาวหน้าหนาวเหมือนกันค่ะ แต่ช่วงหน้าหนาวงานก่อสร้างไม่มีเพราะหิมะมันตก เค้าก้อจะเป็นครูสอนสกีแทนค่ะ ช่วงเดือน เมษา ถึงเดือน พ.ย. เค้าจะอยู่ที่ Obersimmental ทำก่อสร้างอยู่ที่แถบนี้ค่ะ งานประจำเค้า หลังจาก พ.ย. ไปแล้วพี่แกก้อเบรคไปเทียวเมืองไทย ลูกเมียไม่มีค่ะ พี่แกก้อนั่นแหล่ะ พัทยา หุๆๆ หนุ่มโฉด เอ้ยหนุ่มโสดน่ะฮ่ะ แต่พอหิมะเริ่มลงเค้าก้อกลับจากไทย ไปทำงานเป็นครูสอนสกีต่อค่ะ จะบอกว่าตัวคนเดียว เค้าก้อมีเงินเก็บแบบเที่ยวเมืองไทยได้สบายค่ะ

ส่วนเรืองสินสอดทองหมั้น ที่ทางป้าคุณจะเรียกนั้น ขอบอกว่าโหดมากค่ะ โหดจริงๆนะคะ คือทำไมเราต้องจะคิดว่าอยู่กันไม่ได้ด้วยล่ะค่ะ เหมือนคุณโจ้บอกช่วยกันหาก้อได้นี่หน่า ตอนโหน่งแต่งญาติทางแม่ก้อทำเป็นกระแนะกระแน๋ว่า โหได้ลูกเขยฝรั่งทำไมเรียกถูกมากเลย ถ้าเป็นเค้าๆจะเรียกเป็นล้านเลย ตอนโหน่งแต่งงานอ่ะโหน่งท้องนะ สามีเราเค้าก้อดีใจ รับผิดชอบโหน่งทุกอย่างรวมถึงพ่อแม่โหน่งด้วย พ่อแม่โหน่งทำเค้าไม่ลงหรอกค่ะ ทุกวันนี้ความเป็นอยู่ โคตะระดีกว่าเมื่อก่อนร้อยเท่า พ่อแม่โหน่งบอกไม่ได้ขายลูกกินมีคนเอาลูกเราไปเลี้ยงไม่ทิ้งไม่ขว้างก้อดีถมไปแล้ว

อ้อส่วนเรื่องที่ป้าคุณคิดว่า ถ้าเผื่อเค้าทิ้งคุณๆจะได้มีบ้านอยู่ แต่ธรรมเนียมฝรั่งเนี่ยไม่มีสินสอด เพราะว่าคุณหย่ากันเนี่ย คุณได้เงินจากสามีนะคะ นี่แหล่ะคือสิ่งที่ว่าฝรั่งไม่ได้ให้สินสอดฝ่ายหญิง แถมผู้หญิงต้องจัดงานแต่งงานเองด้วย หุๆๆ

ก้อตอนสามีโหน่งหย่าเมียคนแรก เค้าก้อต้องให้เงินหล่อนมากมาย แถมต้องซื้ออพาร์ทเม้นท์ให้อีกหลังนึง รถอีกคันนึง หล่อนก้อไปเสพสมกับแฟนของหล่นแว๊ว ทั้งๆที่หล่อนมีชู้อ่ะ ผู้ชายยังทำอะไรไม่ได้เลย มีแต่เสียกับเสีย แต่โชคดีไม่มีลูกด้วยกัน

แต่เหนือสิ่งอื่นใดน่ะค่ะ อยากบอกว่าคุณควรจะมาดูสภาพชีวิตเค้าที่สวิสก่อนจะดีกว่าค่ะ อย่าด่วนตัดสินใจ อย่าคิดว่าเค้าเป็นฝรั่งต้องเอาไว้ก่อน คือเห็นมาหลายคนแล้วน่ะค่ะ ตามฝรั่งมาที่สวิส จะแต่งงานกะฝรั่งให้ได้ พอแต่งแล้วต้องหาให้ฝรั่งใช้ด้วยนี่สิ คือถ้าเราช่วยกันหามันดีกว่า ต้องมานั่งหาคนเดียวน่ะค่ะ แถมเลี้ยงปั๋วอีก โอ้วไม่ไหวนะฮ๊ะ

BUAKAO

เป็นภรรยาฝรั่งนะค่ะ จนก็มี รวยก็มีค่ะ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะรวยค่ะ อยู่เมืองไทยก็มีได้บ้านหนึ่งหลัง รถหนึ่งคัน เงินหนึ่งล้าน (ถ้ามีบุญ) สำคัญที่ว่าเรารู้หน้าที่ของภรรยาจริง จริงหรือเปล่า ถ้าเราทำหน้าที่ตรงนี้แล้วมีความสุขจริง จริง หรือเปล่า ทรัพย์สมบัตินั้นมันขึ้นอยู่กับบุญของแต่ละคนค่ะ  ;D